7 พ.ค. 2022 เวลา 02:00 • ไลฟ์สไตล์
วิธีเลือกซื้อเมล็ดกาแฟ #ฉบับมือใหม่
2
คุณเป็นไหม... เมื่อต้องเลือกซื้อเมล็ดกาแฟสักตัวเป็นเรื่องยากเหลือเกิน จะเลือกแบบไหนดี แบบไหนอร่อย แนะนำแนวทางดีๆ ที่จะทำให้คุณเลือกกาแฟในแบบที่ชอบได้ง่ายๆ ในแบบฉบับมือใหม่ อย่ารอช้าไปเลือกกาแฟสักถุงดีกว่า!
หากพูดถึงการเลือกซื้อเมล็ดกาแฟ ต่างมีตัวเลือกมากมายให้ได้เห็น ไม่ว่าจะเป็นในร้านกาแฟร้านประจำ ทั้งโรงคั่วใหญ่และเล็กต่างก็มีให้เลือกมากมาย แต่การเลือกเมล็ดกาแฟที่ถูกใจสักถุงกลับเป็นเรื่องที่ยากเย็น ยิ่งเป็นมือใหม่แล้วก็ยิ่งตัดสินใจได้ยาก บางครั้งเลือกดูรีวิวจากแหล่งข้อมูลต่างๆ แต่กลับไม่ใช่รสชาติที่ถูกใจ
วันนี้เรามาพร้อมวิธีง่ายๆ ในการเลือกซื้อเมล็ดกาแฟมาฝาก ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือมือฉมังก็สามารถนำไปใช้ได้ เป็นอีกหนึ่งข้อมูลดีๆ ที่จะทำให้การเลือกซื้อเมล็ดกาแฟของคุณไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
1. โทนรสชาติที่ชอบ
สำหรับใครที่ไม่รู้ว่าจะต้องเลือกดื่มกาแฟแบบไหน หรือตัวไหนดี เริ่มต้นกันด้วยโทนรสชาติที่ชอบจะง่ายที่สุด มาดูกันว่าแต่ละโทนนั้น จะหาได้จากเมล็ดกาแฟแบบใดบ้าง
1
โทนถั่ว ช็อกโกแลต และคาราเมล
พบเจอได้ง่ายโดยเฉพาะเมล็ดกาแฟในบ้านเรา เพราะเมล็ดกาแฟจากประเทศไทยส่วนใหญ่จะเป็นกาแฟโทนนี้เป็นส่วนใหญ่ นอกจากกาแฟไทยแล้วยังพบได้ในเมล็ดกาแฟจากบราซิล และโคลอมเบีย เช่นเดียวกัน
1
โทนดอกไม้ เปรี้ยวอมหวานของผลไม้
เป็นหนึ่งโทนโปรดสำหรับคนรักกาแฟหลายๆ คน ด้วยกลิ่นหอม และรสชาติหวานอมเปรี้ยวนี้ ทำให้รู้สึกถึงความแปลกใหม่และพิเศษไม่เหมือนใคร ซึ่งมักพบได้จากทวีปแอฟริกา อย่างเช่น เมล็ดกาแฟจากประเทศเอธิโอเปีย เคนยา ปานามา คอสตาริกา กัวเตมาลา และฮอนดูรัส เป็นต้น
โทนบาลานซ์ บราวชูก้า คาราเมล และถั่ว
เป็นอีกหนึ่งโทนที่เป็นที่ชื่นชอบสำหรับคนที่ชอบกาแฟแบบดื่มง่าย เหมาะกับการชงหลากหลายรูปแบบ มักพบได้จากกาแฟในทวีปอเมริกากลาง เช่น ฮอนดูรัส กัวเตมาลา คอสตาริกาเอลซัลวาดอร์ และนิการากัว เป็นต้น
ทั้งหมดนี้เป็นแนวทางคร่าวๆ เพื่อเลือกหาเมล็ดกาแฟรสชาติที่ถูกใจ ซึ่งสามารถนำไปประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อเมล็ดกาแฟของคุณได้
2. ระดับการคั่วที่เหมาะกับการใช้งาน
ในการเลือกใช้เมล็ดกาแฟควรพิจารณาถึงระดับการคั่วด้วยเช่นกัน แม้ว่าจะเป็นเมล็ดกาแฟตัวเดียวกัน แต่หากคั่วในระดับการคั่วที่แตกต่างกัน ก็ทำให้ได้รสชาติที่แตกต่างกันได้เช่นกัน และแต่ละระดับการคั่วเองก็มีความเหมาะสมในการใช้งานที่แตกต่างกัน
Light Roast (คั่วอ่อน)
- สี : น้ำตาลซินนามอน
- รสชาติ : กาแฟยังคงให้กลิ่นและรสชาติที่เป็นคาแรคเตอร์ของกาแฟ ให้ความรู้สึกถึงผลไม้ เพราะยังมีความเป็นกรด(Acidity) อยู่มาก จึงทำให้สัมผัสถึงความเปรี้ยวได้
- การนำไปใช้งาน : เหมาะสำหรับชงแบบ Filter เช่น Drip Coffee และ Aeropress เป็นต้น
1
Medium Roast (คั่วกลาง)
- สี : น้ำตาลแดง
- รสชาติกาแฟ : ความเปรี้ยวยังคงอยู่แต่น้อยกว่า Light Roast สามารถสัมผัสถึงความหวานของกาแฟได้
- การนำไปใช้งาน : เหมาะสำหรับการชงทั้ง Filter และ Espresso เช่น Drip Coffee, Aeropress, French press และเครื่องชงเอสเพรสโซ เป็นต้น
1
Medium-Dark (คั่วกลางค่อนเข้ม)
- สี : น้ำตาลเข้ม เริ่มมีน้ำมันบนผิวเมล็ดบ้างเล็กน้อย
- รสชาติกาแฟ : เริ่มมีความหวานและเนื้อสัมผัสมากขึ้น ความเปรี้ยวลดลงมาก กาแฟเริ่มมีกลิ่นหอมของกาแฟคั่ว
- การนำไปใช้งาน : เหมาะสำหรับชงด้วยเครื่องชงเอสเพรสโซ และ Moka Pot เป็นต้น
Dark Roast (คั่วเข้ม)
- สี : น้ำตาลแดงเข้มไปจนถึงสีดำ ผิวของเมล็ดกาแฟจะมีน้ำมันเคลือบ
- รสชาติ : มีกลิ่นหอมกาแฟคั่ว เนื้อสัมผัสมาก มีความหวานปนขมคล้ายดาร์กช็อกโกแลต แทบจะไม่มีรสเปรี้ยว
- การนำไปใช้งาน : เหมาะสำหรับชงด้วยเครื่องชงเอสเพรสโซ และเหมาะสำหรับการทำเป็นกาแฟใส่นม เป็นต้น
2
เมล็ดกาแฟยิ่งคั่วเข้มมากคาแรคเตอร์ของกาแฟก็จะยิ่งสูญเสียมากขึ้น รสชาติของกาแฟก็จะเข้มขึ้น ความเปรี้ยวลดลงแตกต่างกันไปตามแต่ละแหล่งเพาะปลูก และเมล็ดกาแฟแต่ละระดับการคั่วที่เหมาะสมกับการชงแบบไหนเป็นเพียงการแนะนำเท่านั้น ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับผู้ดื่มว่าชื่นชอบแบบไหน เพราะการดื่มกาแฟนั้นไม่มีผิด ไม่มีถูกเป็นสูตรตายตัว เป็นหนึ่งในความน่าหลงใหลในโลกของกาแฟ ที่ทำให้คุณได้ทดลองและสนุกไปกับการดื่มกาแฟในทุกๆ วัน
1
3. กระบวนการแปรรูป
ก่อนที่จะมาเป็นเมล็ดกาแฟคั่วสีน้ำตาลที่เราเห็นกันนั้น ต้องนำไปผ่านกระบวนการต่างๆ ที่เรียกว่า “กระบวนการแปรรูปกาแฟ” ซึ่งกระบวนการแปรรูปที่แตกต่างกันก็จะมีผลต่อกลิ่นและรสสัมผัสของกาแฟด้วยเช่นเดียวกัน แม้จะเป็นเมล็ดกาแฟจากต้นเดียวกัน หากแปรรูปในกระบวนการผลิตที่แตกต่างกัน ก็จะทำให้ได้กาแฟที่มีกลิ่นและรสชาติที่มีความหลากหลายได้ และนี่คือเหตุผลว่าทำไมจึงเป็นสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามในการเลือกซื้อเมล็ดกาแฟ ซึ่งโปรเซสหลักๆ นั้นจะมีอยู่ 3 แบบ ได้แก่
กระบวนการผลิตแบบเปียก (Wet Process, Washed Process)
เป็นกระบวนการที่ใช้น้ำในการแปรรูปในทุก ๆ ขั้นตอน ดังนั้นเมล็ดกาแฟที่ผ่านกระบวนการผลิตแบบนี้ จะมีความชัดเจนในรสชาติมาก ทั้งในด้านกลิ่น รสชาติ ความเป็นกรดที่คล้ายผลไม้อย่างชัดเจน และมีรสชาติที่สะอาด ทำให้เราสัมผัสกลิ่นและรสของกาแฟได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีคุณภาพที่สม่ำเสมอมากกว่า และควบคุมการกระบวนการผลิตได้ง่ายกว่ากระบวนการผลิตแบบอื่นๆ
กระบวนการผลิตแบบแห้ง (Dry Process, Natural Process)
ด้วยวิธีนี้ กาแฟจะค่อยๆ แห้งอย่างช้าๆ โดยการตากแดดทั้งที่ยังเป็นผลเชอร์รีอยู่ ทำให้เมล็ดกาแฟสามารถดูดซับสารต่างๆ เหล่านั้นได้อย่างเต็มที่ เมล็ดกาแฟที่ผ่านกระบวนการผลิตนี้ จะมีรสชาติที่จัดจ้าน เข้มข้น มีเนื้อสัมผัสมาก และด้วยการตากในลักษณะนี้จะทำให้เกิดกลิ่นคล้ายผลไม้สุก ผลไม้ตากแห้ง หรือกลิ่นคล้ายไวน์
กระบวนการผลิตแบบกึ่งเปียกกึ่งแห้ง (Honey Process, Semi-Washed Process, Pulped-Natural Process)
เป็นกระบวนการผลิตที่อยู่ระหว่างแบบเปียกและแบบแห้ง นำไปตากจนแห้งโดยที่ยังมีเมือกติดอยู่ ทำให้กาแฟมีความหวาน รวมถึงทำให้เกิดกลิ่นคล้ายผลไม้
นอกจาก 3 โปรเซสหลักๆ แล้ว ปัจจุบันก็มีโปรเซสอื่นๆ อีกหลากหลาย ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อให้กาแฟมีรสชาติที่มีความหลากหลายและแปลกใหม่ และสำหรับ Bluekoff เองก็มีโปรเซสพิเศษอย่างการหมักกาแฟแบบไม่ใช้ออกซิเจน เพื่อให้ลดข้อเสียของกาแฟ รสชาติกาแฟมีความคลีนขึ้น รวมทั้งยังทำให้กาแฟไทยมีรสชาติที่พิเศษขึ้นกว่าเดิม อย่างเช่น Carbonic Process และ Hybrid Anaerobic Process สามารถทดลองดื่มกันได้เลย
4. วันที่คั่ว
เรื่องวันคั่วของเมล็ดกาแฟเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก เนื่องจากกาแฟที่เพิ่งผ่านการคั่วไม่นาน ภายในเมล็ดกาแฟจะยังมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดในระหว่างการคั่วอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งก๊าซเหล่านั้นอาจจะไปบดบังรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของกาแฟอยู่ ดังนั้นหลังจากที่กาแฟคั่วแล้ว ให้พักกาแฟไว้ก่อนประมาณ 3-7 วัน เพื่อให้กาแฟได้คายก๊าซที่มีอยู่ในเมล็ดกาแฟออกมาก่อน หลายๆ คนที่ซื้อเมล็ดกาแฟคั่วสดใหม่ไป อาจจะเคยสังเกตได้ว่ารสชาติกาแฟไม่ค่อยชัดเจน รู้สึกซ่าๆ ที่ปลายลิ้น นั่นเป็นข้อสังเกตของกาแฟใหม่นั่นเอง เมื่อเวลาผ่านไปกาแฟจะมีรสชาติที่ชัดเจน จับกลิ่นและรสชาติต่างๆ ได้ง่ายขึ้น
ดังนั้นการคำนวณระยะเวลาในการพักกาแฟก่อนการใช้งานจึงเป็นเรื่องจำเป็นและสำคัญอย่างมากทั้งร้านกาแฟและผู้ที่ซื้อดื่มเองที่บ้าน หากต้องการเมล็ดกาแฟที่ซื้อแล้วพร้อมสำหรับชงดื่ม แนะนำให้ใช้เมล็ดกาแฟที่ผ่านการคั่วมาแล้ว 3-7 วัน และที่สำคัญเมล็ดกาแฟที่ยังไม่ได้เปิดถุงใช้งาน แนะนำให้ใช้ให้หมดในระยะเวลา 3 เดือนหลังจากวันคั่ว เพื่อให้ยังคงคุณภาพ กลิ่น และรสชาติของกาแฟเอาไว้ได้มากที่สุด
1
และทั้งหมดนี้ก็เป็นแนวทางในการเลือกเมล็ดกาแฟสำหรับมือใหม่ ที่สามารถนำไปลองใช้ได้จริง เพื่อให้ได้กาแฟที่ถูกใจนั่นเอง
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
- โทร. 081-979-9565 ต่อ 2 Bluekoff Showroom
ช่องทางการสั่งซื้อสินค้า
แนะนำวิธีการชงกาแฟ
แนะนำวิธีการเก็บรักษากาแฟ
ช่องทางติดตามข้อมูลข่าวสารอื่นๆ
#Bluekoff #BluekoffCoffee #Coffee #Specialtycoffee #coffeelovers #coffeetime
โฆษณา