29 เม.ย. 2022 เวลา 12:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ
​มาตรการฝ่าวิกฤตราคาน้ำมัน: บทเรียนจากอดีต…ขีดเส้นสู่อนาคต
1
บทความนี้ขอย้อนอดีตถึงวิกฤตน้ำมันในช่วงเกือบ 50 ปีที่ผ่านมา และมาตรการฝ่าวิกฤตที่ประเทศกำลังพัฒนานำมาใช้ เพื่อถอดบทเรียนและเป็นโอกาสในการจัดการวิกฤตน้ำมันที่เกิดจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนครั้งนี้ และเพื่อเร่งให้ไทยเข้าสู่เศรษฐกิจสีเขียวให้ได้เร็วขึ้น
3
  • ย้อนรอยวิกฤตราคาน้ำมันในอดีต แต่วิกฤตปี 2022 ซับซ้อนกว่า
จากข้อมูลในอดีต ตั้งแต่ปี 1970 วิกฤตราคาน้ำมันเกิดขึ้นบ่อยครั้ง งานศึกษาในอดีตสรุปว่า[1] (รูป F1) น้ำมันเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ระดับโลก การเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันมาจากหลายปัจจัยหลัก คือ
(1) ปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ จากสงคราม การปฏิวัติ และปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศของคู่ค้า
(2) ปัจจัยด้านอุปสงค์ จากเศรษฐกิจโลกในช่วงเวลาที่ประเทศผู้นำเข้ารายใหญ่มีการเติบโตรวดเร็ว หรือช่วงที่เศรษฐกิจโลกมีภาวะถดถอย และ
1
(3) ปัจจัยด้านอุปทาน จากการขาดการลงทุนในอุตสาหกรรมน้ำมัน จากรูป F1 ราคาน้ำมันจะดีดตัวสูงในหลายวิกฤตความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สงครามอิหร่านอิรัก สงครามอ่าวเปอร์เซีย สงครามซีเรีย และอาหรับสปิงในอียิปต์และลิเบีย เป็นต้น
หลังสงครามรัสเซียยูเครน ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น (จากระดับ 60-70 USD ต่อบาร์เรล) ณ 21 เม.ย. 2022 ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสอยู่ที่ 103.8 USD ต่อบาร์เรล และเบรนท์อยู่ที่ 108.3 USD ต่อบาร์เรล เป็นผลจากที่สหภาพยุโรป (EU) ตัดสินใจที่จะหาอุปทานด้านพลังงานจากแหล่งอื่นนอกจากรัสเซีย และพยายามโน้มน้าวเยอรมันและประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปให้ร่วมคว่ำบาตรรัสเซีย[2] และขณะที่ US EIA[3] หน่วยงานด้านพลังงานของสหรัฐ ประมาณการว่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์จะอยู่ที่ 106 USD ต่อบาร์เรลในช่วงซัมเมอร์นี้ (เม.ย.- ก.ย. 2022) (สูงกว่าช่วงฤดูร้อนที่แล้ว 35 USD ต่อบาร์เรล) สะท้อนถึงราคาน้ำมันน่าจะยังอยู่ระดับสูงไปอีกระยะหนึ่ง
3
นักวิเคราะห์เห็นว่า วิกฤตน้ำมันปี 2022 ซับซ้อนกว่าวิกฤตในอดีต เนื่องจากครั้งนี้มี 3 ปัจจัยเกิดขึ้นพร้อมกัน คือ (1) อุปสงค์น้ำมันเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วเกินคาดในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากประเทศต่างๆ ได้ยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์จากการระบาดใหญ่โควิด-19 (2) โอเปคและรัสเซียร่วมมือกันแบบหลวม ๆ ไม่เพิ่มการผลิตในระดับที่สร้างสมดุล (Commensurate level) ในตลาดน้ำมัน และ (3) ประเทศต่างๆ ได้ดึงสต็อกน้ำมันและเชื้อเพลิงมาใช้เพื่อลดช่องว่างอุปทาน ส่งผลให้ระดับน้ำมันสำรองลดลงมาก
ผู้เขียนประเมินว่า ราคาน้ำมันในระยะข้างหน้าอันใกล้ ยังมีความไม่แน่นอนสูง และน่าจะยังไม่ลดต่ำกว่าระดับในปัจจุบันมากนัก หากปัญหาสงครามความขัดแย้งรัสเซียยูเครนและปัจจัยร่วมข้างต้นยังคงอยู่
  • มาตรการฝ่าวิกฤตราคาน้ำมัน: บทเรียนจากอดีต
งานศึกษาของ World Bank (2006)[4] ที่สำรวจมาตรการฝ่าวิกฤตราคาน้ำมันในช่วงปี 2004-2006 ของประเทศกำลังพัฒนา 38 ประเทศ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม (1) กลุ่มที่ไม่ได้ผลิตน้ำมัน (16 ประเทศ) (2) กลุ่มผู้นำเข้าน้ำมันสุทธิ (13 ประเทศ) และ (3) กลุ่มผู้ส่งออกน้ำมันสุทธิ (9 ประเทศ) ในภาพรวมประเทศกำลังพัฒนาใช้มาตรการบริหารจัดการวิกฤตน้ำมันที่หลากหลาย ใน 3 กลุ่มมาตรการ คือ มาตรการด้านราคา มาตรการด้านปริมาณการใช้ และมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือก
4
จากผลสำรวจมีข้อค้นพบสำคัญ 4 ประเด็นคือ
(1) มาตรการด้านราคาได้ถูกนำมาใช้ใน 23 ประเทศจาก 38 ประเทศ (61%) มีการลดภาษีเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้บริโภค น่าสังเกตว่า กระจุกอยู่ในกลุ่มผู้ส่งออกน้ำมันสุทธิมากกว่ากลุ่ม ผู้นำเข้าน้ำมันสุทธิ และ 14 ประเทศ (37%) ยังใช้มาตรการตรึงราคาเชื้อเพลิงและมีเพียง 9 ประเทศ (24%) ที่ใช้กลไกกองทุนรักษาเสถียรภาพราคาพลังงาน
(2) มาตรการอุดหนุนด้านราคาโดยใช้เงินงบประมาณ จำนวน 20 ประเทศ (53%) ใช้มาตรการนี้
(3) มาตรการใช้ราคาต่ำแก่ผู้บริโภคเฉพาะกลุ่ม 17 ประเทศ (45%) ให้แก่ผู้บริโภคที่เป็นเกษตรกร ชาวประมง และผู้ประกอบการขนส่งมวลชนฯ เป็นต้น และ
(4) มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือก มี 28 ประเทศ (75%) และในจำนวนใกล้เคียงกัน 26 ประเทศ (68%) ใช้มาตรการปันส่วนน้ำมันและเชื้อเพลิง เนื่องจากประสบปัญหาการขาดแคลนผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและไฟฟ้า
งานศึกษาดังกล่าวยังพบว่า ในระยะกลางถึงระยะยาวรัฐบาลควรหลีกเลี่ยงการใช้มาตรการอุดหนุนด้านราคาโดยใช้เงินงบประมาณ และควรมุ่งไปช่วยเหลือกลุ่มผู้บริโภคครัวเรือนยากจน แต่รัฐต้องพัฒนากลไกการโอนเงินช่วยเหลือที่มีประสิทธิภาพตรงกลุ่มเป้าหมายเพื่อป้องกันการรั่วไหล
  • นโยบายราคาพลังงานในวันนี้ ขีดเส้นสู่อนาคต Green Economy
วิกฤตพลังงานจากปัญหาความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์คล้ายกับที่เคยเกิดขึ้นในอดีต จะกระตุ้นให้หลายประเทศ หาทางรอดจากปัญหาวังวนนี้ โดยเน้นนโยบายระยะยาวที่ส่งเสริมประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการใช้พลังงานทางเลือกที่มุ่งสู่ “เศรษฐกิจสีเขียว” ทั้งยังช่วยเร่งการเปลี่ยนแปลงของโลกที่มีคาร์บอนต่ำตามข้อตกลงปารีส บทเรียนเมื่อปี 1973 ทำให้ประเทศยุโรปตะวันตกใช้เวลาประมาณ 15 ปี ในการลดการใช้พลังงานน้ำมันลงครึ่งหนึ่ง และปัจจุบันต่ำกว่า 70%-75% ของระดับในปี 1973 (Energy Intelligence, 2022) [5]
ในกรณีของไทย[6] ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ไทยใช้พลังงานขั้นสุดท้ายเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเกือบ 3% ต่อปี ในสาขาขนส่งและอุตสาหกรรมใช้สัดส่วนสูงสุดคือ 39% และ 36% ตามลำดับ และยังพึ่งพาผลิตภัณฑ์น้ำมันปิโตรเลียมมากถึงครึ่งหนึ่งของการใช้พลังงานทั้งหมด มูลค่าการใช้พลังงานสูงถึง 13% ของ GDP และจากการสำรวจข้างต้นมาตรการประหยัดพลังงานยังได้รับความนิยมไม่มากนัก (32%) สะท้อนถึงความท้าทายในการบริหารจัดการพลังงานของไทยทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
1
ท้ายสุด สิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้ทันทีคือ การตระหนักรู้ ร่วมมือและลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังใน “การอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม” สอดคล้องกับ “แนวทางการลดการใช้น้ำมัน 10 วิธี เพื่อลดความต้องการใช้น้ำมันในช่วงวิกฤตน้ำมันล่าสุดนี้” ที่เสนอโดยสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA: International Energy Agency) [7]
บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย
ผู้เขียน :
ดร.เสาวณี จันทะพงษ์
ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค
อ้างอิง:
[1] Scott L. Montgomery (2022), Oil Price Shocks Have a Long History, but Today’s Situation May Be the Most Complex Ever, The Conversation, Mar 11
[2] บมจ. ไทยออยล์, รายงานวิเคราะห์สถานการณ์ราคาน้ำมัน วันที่ 21 เม.ย. 2565
[3] US Energy Information Administration (EIA) (2022), Short Term Energy Outlook (STEO): 2022 Summer Fuels Outlook, 12 Apr
[4] World Bank Energy and Water Department (EWD) (2006), How are Developing Countries Coping with Higher Oil Prices?, ESMAP Knowledge Exchange Series No. 6, July
[5] Philippe Roos (2022), Echoes of History: Lessons From 1973, Energy Intelligence Group, Strasbourg, 22 Mar
[6] มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีและเครือข่ายความร่วมมือ (2021), สมุดปกขาว อนาคตระบบพลังงานไทยกับกลยุทธ์การสนับสนุนงานวิจัยและนวัตกรรม, เสนอต่อสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.), 30 เม.ย.
[7] EIA (International Energy Agency) (2022), A 10-Point Plan to Cut Oil Use, 18 Mar
โฆษณา