5 พ.ค. 2022 เวลา 03:19 • หนังสือ
ของขวัญวันวาน : ว.วินิจฉัยกุล
เรื่องราวระหว่างบรรทัดจากหนังสือที่รัก
สไตล์งานเขียนที่รัก
ในคอร์สเรียนเขียนที่ฉันเคยเรียนกับครูปราย พันแสง เมื่อสองปีก่อน มีโจทย์จากครูถามถึงผลงานของนักเขียนคนโปรดของฉัน
ความจริงจากการอ่านหนังสือมาตั้งแต่วัยเด็ก ฉันคิดว่านักเขียนที่มีอิทธิพลต่อตัวฉัน น่าจะมีไม่กี่คน ส่วนใหญ่เป็นนักเขียนนวนิยาย ประเภทงานเขียนที่ชอบอ่านมากที่สุด
นักเขียนนวนิยายที่ชื่นชอบมากเป็นพิเศษ เป็นนักเขียนเก่ารุ่นครูแทบทั้งสิ้น อาจเป็นเพราะเราโตมากับการอ่านงานเหล่านี้ จึงซึบซับรูปแบบการเขียนและสไตล์ที่เรียบง่าย ใช้ภาษาธรรมดาแต่บรรยายความรู้สึกได้กินใจ
ในช่วงต้นของขีวิตช่วงวัยเด็กจนถึงก่อนวัยรุ่น ชอบอ่านงานชุดบ้านเล็กในป่าใหญ่ ที่นักแปล ‘สุคนธรส’ แปลไว้ เป็นสำนวนการแปลที่เรียบง่าย บรรยายรายละเอียดได้เห็นภาพ เป็นนักแปลที่ฉันชื่นชอบงานแปลของนักแปลท่านนี้มาก
เมื่อฉันโตเป็นผู้ใหญ่และเริ่มติดการอ่านนวนิยายรัก อ่านนวนิยายของนักเขียนนวนิยายรุ่นเก่าทุกคน จะมีนักเขียนนวนิยายที่ฉันชื่นชอบและเขียนนวนิยายที่ฉันชอบและหยิบมาอ่านซ้ำบ่อยๆอยู่สองสามคน ได้แก่

•ว.ณ ประมวญมารค ผู้เขียนนวนิยายชุดปริศนา เจ้าสาวของอานนท์ และรัตนาวดี

•กาญจนา นาคนันทน์ ผู้เขียนนวนิยายเรื่อง ผู้ใหญ่ลีกับนางมา และ ธรณีนี่นี้ใครครอง

•ว.วินิจฉัยกุล และแก้วเก้า นักเขียนนวนิยายที่ฉันตามอ่านและสะสมงานเขียนของท่านอย่างสม่ำเสมอจนปัจจุบัน
นักเขียนทั้งสามท่านจะมีจุดเด่นในงานเขียนคล้ายๆ กันคือ ใช้ภาษาเรียบง่าย มีรายละเอียดที่ทำให้ผู้อ่านเห็นภาพและรู้สึกตามไปกับเรื่องราวนั้น
วันนี้จะขอนำตัวอย่างคือ หนึ่งในชิ้นงานที่ชื่นชอบของ ว. วินิจฉัยกุล เป็นตอนสำคัญในนวนิยายเรื่อง ‘ของขวัญวันวาน ‘ ที่ผู้เขียนถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตของนักเรียนไทยในสหรัฐ ที่ผู้เขียนนำประสบการณ์ที่เคยไปใช้ชีวิตระหว่างศึกษาต่อปริญญาโทมาถ่ายทอดเป็นเรื่องราวความรักในนวนิยายรักชุดนี้
••••••••••••••••••••••••••••••••
ตอนที่ประทับใจจากนวนิยายที่รัก
ตัวอย่างตอนหนึ่งจากนวนิยายเรื่อง ‘ ของขวัญวันวาน’ ของ ว.วินิจฉัยกุล
.
.
ผมของพู่ไหมลื่นเย็น คลี่กระจายเต็มบ่า ปลายผมอ่อนๆ ปลิวกระจายอย่างน่าขันเมื่อกระทบความร้อนจากเครื่องเป่า ครั้งหนึ่งเต้เคยมาหาตอนเธอสระผมแห้งหมาดๆ กำลังนั่งแปรงให้เรียบอยู่ในห้องด้านหน้าของชั้นล่าง เธอลุกขึ้นจะหนีเขาขึ้นข้างบนเพราะไม่อยากให้ดูตลกในสายตา แต่เต้ยึดตัวเธอให้นั่งลง ดึงแปรงไปจากมือหน้าตาเฉย แล้วบรรจงลากไปตามเส้นผมยาวนิ่ม ไม่กี่ทีมันก็เรียบสนิทเป็นมัน เธอจำได้ว่า ยังพูดล้อๆ
‘แปรงเก่งจังค่ะ ยังกะเคยแปรงให้ใครมาแล้วแน่ะ’
‘ถ้านับแมวเปอร์เซียนของคุณยายเจ้าของบ้านคนเก่า ก็ถือว่าเคยมีมาแล้วหนึ่งราย’
‘แหมดีนะ! เห็นพู่เป็นแมวไปแล้ว คนอะไร้’
‘ยังไงก็ไม่เหมือน ยังไม่เคยคิดจะจูบมันสักครั้ง’

เธอยังจำได้ถึงจูบอุ่นระอุที่แทรกผ่านเส้นผมละเอียดมาถึงผิวแก้ม ในอารมณ์รัก เต้หวานและช่างเล่นผิดไปเป็นคนละคน ในตอนนั้นเธอเชื่อเต็มเปี่ยมว่าในหัวใจเต้มีแต่แสงสว่างกระจ่าง ไม่เคยนึกเลยว่าเงาร้ายในหัวใจนั้นยังคงอยู่ไม่ต่างไปจากเดิม ในยามอารมณ์ร้ายมีพลังแรง เขาก็ทำกับเธอเหมือนความรักไม่เคยเกิดขึ้นเลย
‘แล้วเรื่องของเราล่ะ เต้จะเรียกว่าอะไร’
‘เรียกว่าอุบัติเหตุก็แล้วกัน’
ไม่เอาแล้ว ไม่คิดอีก เจ็บใจนัก ปล่อยให้ความทรงจำทำร้ายตัวเองซ้ำซากไม่รู้จบ
เสียงกริ่งประตูดังขึ้น แพรมนคงจะมาถึงแล้วพร้อมกับเพื่อนชาย พู่ไหมลุกขึ้นโดยเร็ว ถอดกลอนเปิดประตูออกไป ก่อนจะทันนึกว่าควรจะแหวกม่านมองจากหน้าต่างกระจกข้างประตูออกไปเสียก่อน เพื่อความรอบคอบ
ช้าเกินไปเสียแล้ว คนที่ยืนอยู่หน้าประตูเอื้อมมือมายึดบานไว้ทันควัน ก่อนเธอจะทันผลักมันปิดใส่หน้าเขา แล้วก้าวเข้ามาในห้อง หันไปปิดประตูกันลมหนาวเย็นจากภายนอกไม่ให้วูบเข้ามาอีก
พู่ไหมถอยเพื่อหันหลังกลับ แต่ความเร็วของเธอหรือจะเท่ากับนักกีฬาอย่างเต้ได้ สิ่งต่อมาที่รู้ก็คือ วงแขนแข็งแกร่งของเขาตวัดรัดตัวเธอไว้แน่น แทบหายใจไม่ออก เหมือนอย่างที่เขาเคยทำ ครั้งที่เธอวิ่งลงบันไดโรงแรมบนเกาะในมิชิแกนไปหาเขา
‘พู่ หนีเต้ทำไม’

‘ออกไปเดี๋ยวนี้นะ เต้ พู่ไม่ต้องการพบเต้ตอนนี้’ เสียงเธอควรจะแข็ง แต่มันก็กลับเครืออย่างไม่น่าเชื่อ

แขนล่ำสันในตอนนี้ รัดแน่นราวกับปลอกเหล็ก ไม่ใยดีต่อการผลักไสของอีกฝ่าย
‘ไปให้โง่! ตามหาแทบแย่ พอเข้ามายังไม่ทันพูดก็กลับ ใครยอมก็บ้าละ’

ความเป็นเต้คนเดิมกลับคืนมา พู่ไหมสงสัยว่าอะไรเป็นเหตุให้พายุร้ายพัดผ่านไปเร็วนัก แต่จะวางใจ ก็รู้สึกว่ายังไม่ควรง่ายขนาดนั้น
‘ปล่อยพู่ก่อน หายใจจะไม่ออกอยู่แล้ว’

‘ถ้าปล่อยก็โง่เหมือนกัน’ อ้อมแขนเขาคลายลงเล็กน้อย แต่ก็ห่างไกลจากคำว่าปล่อย
‘พู่ ขอให้เชื่อว่าคำพูดนี้จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่จะต้องพูด เต้เสียใจ’
เขาหยุด นัยน์ตาดำเข้มนั้นมองเหมือนจะค้นหาคำตอบจากเธอ เมื่อพู่ไหมยังมองเขาอยู่โดยไม่พูดอะไร เขาก็ย้ำความหมาย
‘เต้มาขอโทษพู่ ยอมรับผิดทั้งหมด’

ถ้าหากว่าเธอใจแข็งได้สักครึ่งหนึ่งของพี่สาว คำตอบที่ควรมีก็คือ
‘มาพูดกันง่ายๆยังงี้น่ะรึ ไม่มีทาง’

แต่ในเมื่อเธอคือเธอ คำตอบทั้งหมดจึงไม่ล่วงผ่านลำคอออกมา พู่ไหมเบือนหน้าหนี ไม่อยากให้เขาเห็นน้ำตาที่เริ่มปริ่มขอบตา เธอไม่ใช่เด็กที่จะน้ำตาร่วงง่ายๆเวลามีอะไรมากระทบ แต่..มันก็น่าเจ็บใจ ตรงที่คิดได้ แต่ทำไม่ได้ จนแล้วจนรอด
มือของเต้จับคางเธอไว้ มืออีกข้างหนึ่งหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋า ซับน้ำตาให้เธออย่างอ่อนโยน เป็นกิริยาที่เขาทำได้ดีเสมอ ยามอยู่ในอารมณ์รัก

‘เต้รักพู่มากแค่ไหน ก็หึงมากแค่นั้น ตอนนี้รู้แล้วว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะหึง มันมีแต่จะทำให้พู่ไปจากเต้เร็วขึ้น ในความรัก ต้องมีความไว้ใจกันด้วย เต้ได้บทเรียนที่เจ็บมาก จากที่เรามีเรื่องกัน’
เขาเจ็บงั้นหรือ ใครกันแน่ที่เจ็บมากกว่า
‘อีกเรื่องหนึ่งล่ะ’ พู่ไหมพยายามข่มเสียงไม่ให้สั่น ‘เรื่องหึง เอาไว้ก่อนเถอะ อีกเรื่องสำคัญกว่า’

‘เรื่องไหน?’ เต้ทำหน้าฉงน
‘เรื่องระหว่างเราสองคน ที่เต้ขอให้คิดว่ามันเป็นแค่อุบัติเหตุ หมายความว่า เต้ไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเกิดขึ้นเลย จริงไหม’

สีหน้าอีกฝ่ายหนึ่งเหมือนยังนึกไม่ออกว่าเธอหมายถึงอะไร แต่ก็ค่อยคลี่คลายออกด้วยรอยยิ้ม
‘โธ่! พูดออกไปเพราะหึงนั่นแหละ’
‘แค่นี้น่ะรึ’ คราวนี้เสียงพู่ไหมดังขึ้น ทั้งดังทั้งสั่นเพราะโทสะแล่นเข้ามาแทนความน้อยใจ

‘ก็..แค่นี้ เต้คิดว่าพู่เองก็ไม่ได้ตั้งใจจะรักเต้ มันเกิดเพราะ.. เพราะอะไรก็พูดยาก อาจจะเป็นเพราะ..เราเผลอตัว ใกล้ชิดกันเกินไป เต้เป็นฝ่ายตั้งใจฝ่ายเดียว’
คราวนี้ น้ำตาที่ร่วงลงมา เกิดจากความโกรธมากกว่าเสียใจ ผ้าเช็ดหน้าผืนเดียวแทบจะไม่พอซับ
‘พูดอีกทีก็คือ พู่เป็นผู้หญิงใจง่าย’

‘ไม่ใช่! ไม่ได้คิดยังงั้น! เพียงแต่คิดว่า ผู้ชายถ้าอยากให้ผู้หญิงรัก เขาก็มีวิธีของเขาจนได้ แต่มันก็ได้แค่พักเดียว ถ้าหากว่าตั้งใจอยู่ฝ่ายเดียว ไม่ใช่ทั้งสองฝ่าย’
น้ำตาที่ร่วง ห้ามไม่อยู่เสียแล้ว ยิ่งฟังก็ยิ่งแค้นใจ ไม่ว่าเธอหรือเขาเป็นฝ่ายไม่ตั้งใจ มันก็เลวร้ายพอๆกัน
‘แล้วใครล่ะ เป็นฝ่ายไม่ตั้งใจ’

‘โธ่! งั้นไม่ตอบดีกว่า’ เต้ครางออกมา ‘ยิ่งพูดก็ยิ่งทำให้พู่ร้องไห้ ไหนบอกมาซิ จะให้เต้ทำอะไรก็ยอมทุกอย่าง ขอแต่เลิกร้องเสียที’
พู่ไหมได้ยินประโยคว่า ‘น้ำตาจะท่วมบ้านอยู่แล้ว’ ดังมาจากในใจของอีกฝ่าย ที่เดาได้ ก็เพราะแพรมนใช้ประโยคทำนองนี้อยู่เป็นประจำ แต่ก็ยังดี ที่เต้ไม่ได้หลุดปากออกมาอย่างที่เธอคิด
‘ก็ได้ ขอให้เราเลิก…’

พูดได้แค่กลางประโยค อีกฝ่ายหนึ่งก็ยกมือปิดปากเธอไว้ทันควัน สีหน้าเปลี่ยนเป็นเอาจริงเอาจัง
‘เต้ไม่ขอฟังคำนี้ แล้วจะไม่มีคำนี้ระหว่างเราด้วย’
พู่ไหมปัดมืออีกฝ่ายหนึ่งออก
‘เราเป็นเพื่อนกันได้..’

‘ใครๆ ก็เป็นเพื่อนกันได้ แต่คนรักมีคนเดียว เต้ต้องการเป็นคนเดียวสำหรับพู่ เหมือนอย่างที่พู่เป็นคนเดียวสำหรับเต้เหมือนกัน’

เต้มีกำลังใจที่กล้าแข็งกว่าเธอ เขารู้ว่าเขาต้องการอะไร ในขณะที่เธอตอนนี้ ต้องรวบรวมกำลังใจอย่างหนักกว่าจะพูดได้อย่างที่อยากจะพูด
‘ตอนที่เราเป็นเพื่อนกัน เราไม่เคยมีเรื่องต้องขัดใจกันเลย’

เธอพูดเสียงแผ่วเบา ใจหายเมื่อนึกถึงครั้งก่อนๆ
เมื่อยังเป็นเพื่อนกัน หนุ่มน้อยผู้นั้น ไม่ว่าเขาจะเป็นที่ขวางหู ขวางตาคนอื่นๆ มากเพียงใดในเมือง เธอก็ยังมีความรู้สึกที่ดีต่อเขา และเชื่อว่าเขาเองก็มีความรู้สึกที่ดีต่อเธอเช่นกัน เขาไม่เคยทำร้ายเธอ ไม่เคยมีความร้าวฉานระหว่างกันสักครั้งเดียว
พู่ไหมเสียดายความทรงจำที่ดีครั้งนั้นเหลือเกิน เธออยากจะให้มันคืนกลับมาอีกครั้ง วันคืนเก่าๆ ที่เต้เคยเย้า เคยเล่น และเคยทำให้เธอสบายใจที่คบหาเขา

‘พู่ยังจำได้ว่าพู่ชอบเต้มาก แล้วคิดว่าเต้ก็ชอบพู่มากเหมือนกัน เราไม่เคยต้องพูดคำว่าเสียใจ ไม่เคยต้องขอโทษ แต่พอเราเปลี่ยนจากเป็นเพื่อน ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหมด เราคิด เราเข้าใจกันคนละทาง ไม่เคยทำร้าย ก็ต้องมาทำ พู่คิดว่าเราควรจะเป็นเพื่อนกันอย่างเดิมดีกว่า เราอาจจะไม่เหมาะที่จะเป็น..คนรัก..มากกว่าเพื่อน’
มือของเต้ที่จับต้นแขนเธอไว้ร่วงผล็อยลง พู่ไหมมองเห็นว่าถ้อยคำของเธอเหมือนกระสุนจากมือผู้อ่อนหัด แต่มันก็กลับทะลุหัวใจอีกฝ่ายอย่างตรงเป้าเกินคาดหมาย
‘พู่คิดยังงั้นจริงๆรึ’
พู่ไหมไม่เคยได้ยินเสียงแบบนี้จากเต้มาก่อน มันแผ่วเบาเกือบจะเท่าเสียงของเธอเอง มีความร้าวรานและคาดไม่ถึงอยู่ในน้ำเสียง เหมือนเขาเห็นรอยแยกลึกของหุบเหวพาดขวางอยู่ระหว่างกลางระหว่างเขากับเธอ เป็นรอยแยกที่เธอสร้างขึ้นมาด้วยมือตัวเอง
เป็นครั้งแรกที่พู่ไหมรู้สึกว่าความเจ็บปวดที่เธอได้รับ เต้ก็เริ่มประจักษ์เหมือนกัน แต่เธอก็จำต้องย้ำคำตอบ

‘ใช่ พู่คิด พู่ตัดสินใจแล้ว’
เต้นิ่งอั้น แต่อารมณ์เขาไม่ได้นิ่ง สีหน้าของเต้เป็นกระจกสะท้อน พายุอารมณ์ที่เริ่มโหมกระหน่ำ เธอมองเห็นความโกรธ ความเจ็บปวด ความผิดหวัง…ความเสียใจ คละปนด้วยกำลังแรงกล้าดุจพายุหมุน

พู่ไหมใจสั่นไปหมด รอรับพายุที่จะพัดทลายห้องนั้นและตัวเธอราบลงไปพร้อมกัน แต่เต้ก็ไม่ได้ทำ เขาบังคับตัวเองได้เก่งจนเธอนึกไม่ถึง
‘ถ้าพู่ต้องการจริงๆ เต้ก็ยอม’

ในที่สุด เขาตอบเสียงเรียบ จนเธอนึกไม่ถึง
‘ขอให้เราเป็นเพื่อนที่ดีกันอย่างเดิม ดีกว่าจะเสียทั้งหมด ไม่มีอะไรเหลือ แม้แต่ความเป็นเพื่อน’

คำตอบของเขา ทำให้พู่ไหมหล่นลิ่วลงไปในหุบเหวตรงหน้า เธอไม่เคยตระหนักเลยว่า ความเจ็บปวดของเต้จะส่งผลมาถึงตัวเธอไม่น้อยไปกว่ากัน
••••••••••••••••••••••
ของขวัญวันวาน เป็นนวนิยายเรื่องโปรดที่ชอบมากๆ หนึ่งในหลายๆเรื่อง เป็นเรื่องราวชีวิตรักของ เต้ และ พู่ไหม นักเรียนไทยในสหรัฐ โดยผู้เขียนใช้วิธีการเปิดเรื่องในยุคปัจจุบันของพู่ไหม ในวันที่เป็นแม่ของลูกวัยหนุ่มสาว และถ่ายทอดความทรงจำในช่วงชีวิตที่ได้พบรักและแต่งงาน ในยุคที่คนหนุ่มสาวจากเมืองไทยไปเรียนต่อสหรัฐกันมากมายเป็นยุคแรกๆ ช่วงปี ค.ศ. 1970-1990 (พ.ศ.2513 – 2533)
ในเรื่องนี้มีตัวละครที่เด่นมากๆ คู่กันมากับเต้และพู่ไหม อีก 2 คน คือ นิก ชายหนุ่มอ่อนโยนใจดี ชอบช่วยเหลือ และแพรมน พี่สาวของพู่ไหม ที่มีบุคลิกตรงข้ามกับน้องสาวทุกประการ แพรมน มั่นใจ ปราดเปรียว ตรงไปตรงมาต่อความรู้สึกของตนเอง ในขณะที่พู่ไหม เป็นหญิงสาวที่อ่อนไหว หัวอ่อน เรียบร้อย
พระเอกของเรา เต้ เป็นหนุ่มขรึมเข้ม เก็บความรู้สึก และมักใจร้อน อารมณ์รุนแรง ความที่พื้นฐานเป็นบุตรชายในครอบครัวทหารที่ครองอำนาจทางการเมืองและร่ำรวย ความเก็บกดจากการถูกเลี้ยงดูอยู่ในกรอบและบังคับให้เดินตามทางอย่างที่บิดาต้องการ ทำให้เขาเป็นคนเงียบขรึม ไม่แสดงความรู้สึก
ในเรื่องนี้ผู้อ่านจะเชียร์นิกให้เป็นพระเอก แต่เมื่อเรื่องจบลง พระเอกคือเต้ หลายคนก็ผิดหวัง แต่สุดท้ายผู้เขียนก็เขียนเรื่องต่อ ให้นิกไปเป็นพระเอกในเรื่อง สุดหัวใจที่ปลายรุ้ง
เมื่ออ่านของขวัญวันวานจบ ฉันรู้สึกมีความสุขเหมือนได้ย้อนกลับไปดูภาพอดีต และบรรยากาศความรักของหนุ่มสาวในยุคนั้น คล้ายๆกับการมองตนเองในช่วงเวลานั้นเช่นกัน เหมือนใน #โปรยปกหลัง ที่เขียนเอาไว้ว่า
โปรยปกหลัง
ในกล่องของขวัญ ฉันเห็นอดีตเมื่อวันวานวางอยู่ในนั้น
สภาพยังดี เพราะทะนุถนอมเอาไว้ด้วยฝีมือแม่และพ่อ
แม่หยิบขึ้นมาดูทีละชิ้น แล้วเล่าให้ฟังว่า
ชิ้นไหนคือรอยยิ้ม…
ชิ้นไหนคือเสียงหัวเราะ…
ชิ้นไหนคือหยาดน้ำตา…
ชิ้นไหนคือความผิดหวัง…
ชิ้นไหนคือความสมหวัง…
ทุกชิ้นประกอบกันเข้าเป็นของขวัญ
ที่แม่ตั้งใจหยิบยื่นให้ฉัน
เผื่อว่าวันหนึ่งฉันอาจจะมีประสบการณ์อย่าง…พ่อและแม่
จะได้รู้ว่าควรเตรียมตัวอย่างไร
เพื่อจะเผชิญทั้งเสียงหัวเราะ…และน้ำตา
•••••••••••••••
ของขวัญวันวาน : ว.วินิจฉัยกุล
พิมพ์รวมเล่มครั้งแรกโดยสำนักพิมพ์เพื่อนดี เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2541
ภาพประกอบเรื่องในโพสต์นี้คือปกฉบับพิมพ์ครั้งที่ 9
โดยสำนักพิมพ์ทรีบีส์ เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2553
ภาพปก-ออกแบบ : ฟารุต สมัครไทย
ราคาปก 400 บาท
จำนวนหน้า 611 หน้า ไม่รวมท้ายเล่มที่มีตอนพิเศษ ‘เพียงความเชื่อมั่น’ และความคิดเห็นของผู้อ่านผ่านทางอินเทอร์เน็ต
โฆษณา