9 พ.ค. 2022 เวลา 17:07 • ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ เรื่องที่ไม่ใคร่รู้
“เซ็กส์หมู่ สวิงกิ้ง” ระดับโลกและยุคอยุธยาของไทย
3
ภาพบน-เซ็กส์หมู่ของคนโรมัน เครดิต: Alamy ภาพล่าง-จิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถ วัดคงคาราม จ.ราชบุรี เครดิต: silpa-mag.com
Swinging (สวิงกิ้ง) คำศัพท์นี้เพิ่งมีนิยามมาในยุคสมัยใหม่นี้เองไม่น่าเกิน 100 ปี ความหมายคือ การมีเซ็กส์แบบสลับคู่ หรือจะเรียกการแลกเปลี่ยนภรรยา แลกเปลี่ยนสามี หรือแลกเปลี่ยนคู่นอน ซึ่งจัดเป็นรสนิยมและวิถีทางเพศอย่างหนึ่งที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ในปัจจุบัน
จริงๆแล้วเรื่องเซ็กส์ที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์มากกว่าคู่รัก 2 คน มีการค้นคว้าวิจัยและรวบรวมถึงหลักฐานเป็นประจักษ์ มาตั้งแต่ยุคโบราณที่มนุษย์ได้อยู่อาศัยรวมกันเป็นชุมชนหรืออารยธรรมแล้ว ผู้เขียนขอสรุปแบบคร่าวๆไล่ตามลำดับเวลาในประวัติศาสตร์ ดังนี้
2
  • ยุคหิน
นักมานุษยวิทยารู้จักกับคำศัพท์ที่ว่า “Polyandry” หมายถึง ผู้หญิงมีผู้ชายเป็นคู่ครองตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ไม่ผิดทางจริยธรรมในสมัยนั้น ด้วยเหตุผลที่ว่าจำนวนประชากรเพศชายมีสัดส่วนที่มากกว่าไม่สมดุลกับเพศหญิงนั่นเอง
1
ยุคหิน เป็นสังคมที่เรียกว่า Polyandry ผู้หญิงมีอิสระที่จะมีความสัมพันธ์กับชายได้ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ที่มา: https://inf.news/en/world/07b8f2d185cf157cc48e1b44bea9b2e8.html
...
  • ในสังคมแบบเกษตรกรรม เช่น ทิเบต หรือที่อื่นๆ Polyandry ถือว่าเป็นรูปแบบทางการ เป็นกลไกในการรักษาพื้นที่ทำกินของตนเองไม่ให้ถูกแบ่งแยกออกไป
2
  • ส่วนในสังคมนักล่า (เก็บของป่า ล่าสัตว์) Polyandry มีแนวโน้มที่จะไม่เป็นทางการ ดูเผินๆคือการสลับคู่นอน หรือ สวิงกิ้ง ตามนิยามยุคนี้ โดยมีแนวความคิดว่า 1. เพศสัมพันธ์เป็นสิ่งที่ผู้หญิงให้เป็นเซอร์วิสแก่ผู้ชาย 2. ผู้หญิงถือว่าเป็นสมบัติและผู้ชายมีความเป็นเจ้าของ สามารถซื้อขายได้เหมือนสินค้า
2
  • อารยธรรมเมโสโปเตเมีย
เริ่มต้นที่อาณาจักรสุเมเรียน (8500 – 4500 ปีก่อนคริสต์ศักราช)
ภาพแกะสลักของเทพี Ishtar ตามความเชื่อของชาวสุเมเรียน ที่มาภาพ: https://www.thecollector.com/ishtar-goddess-of-love-mesopotamia
ชาวสุเมเรียนมีความเชื่อและบูชาเทพีที่ชื่อ Ishtar (อ่านว่า “อิชตาร์” ซึ่งมีอิทธิพลส่งมอบไปยังอาณาจักรโรมันในยุคต่อมาในชื่อ เทพีวีนัส) นับถือว่าเป็นเทพีแห่งความรัก ความอุดมสมบูรณ์ และการเจริญพันธุ์ นำมาสู่เรื่องการค้าประเวณีศักดิ์สิทธิ์ และพิธีกรรมทางเพศ เพื่อบูชาเทพีนี้
3
  • นั่นคือผู้ชายและผู้หญิงในอารยธรรมของชาวสุเมเรียน สามารถมีความสัมพันธ์ทางเพศได้อย่างอิสระ โดยที่ไม่จำเป็นต้องรู้จักกันมาก่อน เป็นการบูชาแก่องค์เทพีอิชตาร์ในวิหาร ในรูปแบบของเซ็กส์หมู่ หรือศัพท์ภาษาอังกฤษที่นิยามคือ “Orgy” และสามารถจับทาสมาทำเพื่อสนองความสุขทางเพศได้ด้วย
1
  • อารยธรรมอียิปต์โบราณ
เริ่มตั้งแต่ 3150 – 27 ปีก่อนคริสต์ศักราช อย่างที่รู้กันอารยธรรมนี้มีคติความเชื่อเหนียวแน่นเกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย และเป็นที่โดดเด่นเกี่ยวกับเรื่องการเจริญพันธุ์
  • Bubastis เป็นชื่อเมืองอียิปต์โบราณ ที่มีเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับเทศกาลการมีเซ็กส์หมู่ที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ ที่มีชื่อว่า Bastet (เป็นชื่อเดียวกับเทพีที่ชาวอียิปต์โบราณนับถือด้วย) เป็นงานฉลองที่จัดรอบเมือง เต็มไปด้วยอาหารการกิน เครื่องดื่มมึนเมา ความบันเทิงต่างๆ และที่ขาดไม่ได้คือกิจกรรมเซ็กส์หมู่
2
ภาพเขียนอียิปต์โบราณ เกี่ยวกับการร่วมเพศ ที่มาภาพ: https://medium.com/unusual-universe/the-complete-history-of-the-sex-orgy-7fb0a38bab7d
  • อารยธรรมกรีกโบราณ
Dionysian เป็นชื่อเทศกาลประจำปีที่เฉลิมฉลองให้กับ Dionysus เทพเจ้ากรีกแห่งไวน์และการเจริญพันธุ์ โดยตลอดงานจะมี เต็มไปด้วยไวน์และความบันเทิง ขาดไม่ได้คือกิจกรรมเซ็กส์หมู่ ตลอดทั้งวัน ทุกวัน
1
Dionysian Festival ภาพวาดในจินตนาการโดย Nicolas Poussin ที่มาภาพ: https://medium.com/unusual-universe/the-complete-history-of-the-sex-orgy-7fb0a38bab7d
  • อารยธรรมโรมัน
อารยธรรมกรีกมีการถ่ายทอดต่อมายังโรมัน เทพเจ้าต่างๆที่นับถือก็เช่นกันแต่มีเปลี่ยนชื่อ อย่าง Dionysus ได้กลายเป็น Bacchus ในอารยธรรมโรมัน โดยเทพเจ้าแห่งไวน์และการเจริญพันธุ์เช่นเดียวกัน
  • โดยมีเทศกาลเฉลิมฉลองชื่อว่า Bacchanalia เทศกาลความบันเทิงที่เต็มไปด้วยความมึนเมา เริ่มแรกทีเดียวไม่ใหญ่มาก จนต่อมาอาณาจักรได้ขยายขึ้นมาก จนกลายเป็นเทศกาลแห่งความเมาและเซ็กส์หมู่ที่ยิ่งใหญ่กว่า Dionysian ของกรีก ชิดซ้ายไปเลย
3
ภาพวาดเซ็กส์หมู่ของโรมัน โดย Édouard-Henri Avril เครดิต: Wikimedia Commons
  • อารยธรรมอินเดียโบราณ
มาทางฝั่งเอเชียใกล้ๆบ้านเรากันบ้าง หนีไม่พ้นต้องพูดถึงอินเดีย ที่ขึ้นชื่อเรื่องกามสูตร (Kamasutra) และต้องพูดถึงภาพแกะสลักแนวอีโรติกที่กลุ่มโบราณสถานคาจูราโฮ ในรัฐมัธยประเทศ
1
โดยประติมากรรมแสดงถึงท่าทางการร่วมเพศต่างๆให้ศึกษา รวมถึงส่วนที่เป็นกิจกรรมเซ็กส์หมู่อีกด้วย ตามรูปด้านล่าง
ภาพแกะสลักเซ็กส์หมู่ในโบราณสถานคาจูราโฮที่อินเดีย ที่มาภาพ: https://medium.com/unusual-universe/the-complete-history-of-the-sex-orgy-7fb0a38bab7d
  • “สวิงกิ้ง” ในยุคปัจจุบัน
  • การแลกเปลี่ยนคู่นอนก่อนที่จะเรียกว่า Swinging ในอเมริกา เริ่มเกิดขึ้นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในฐานทัพอากาศ โดยเหล่าทหารได้ย้ายภรรยาของตนเข้ามาอาศัยใกล้ๆกับฐานทัพ แต่ทว่าอัตราการบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตมีสูงในช่วงสงคราม ทำให้ภรรยาของทหารที่บาดเจ็บหรือตายเหล่านี้ ผลัดเปลี่ยนไปนอนกับเพื่อนของสามีที่ยังมีชีวิตอยู่แทน ค่านิยมนี้ยังส่งต่อไปยังช่วงสงครามเกาหลีอีกด้วย
2
ทหารอากาศสหรัฐฯ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา ที่มาภาพ: https://www.historyonthenet.com/army-air-forces
Swinging รสนิยมที่นิยามขึ้นในยุคปัจจุบัน เริ่มมีขึ้นตั้งแต่ช่วงปี 1960s ภายหลังการปฏิวัติและเสรีภาพทางเพศ (Sexual Revolution, Sexual Liberation) สั่นคลอนคติเรื่องเพศเดิมๆ ในอเมริกาและอังกฤษ
ภาพชายหนุ่มกับหญิงสาวหลายคน ในสภาพสังคมของกรุงลอนดอน ปี 1966 ที่มาภาพ: https://wikihmong.com/en/Swinging_Sixties
  • อีกเหตุผลที่มีหลายคนกล้าที่จะออกมายอมรับและทำเรื่องสวิงกิ้ง คือ ความก้าวหน้าของยาคุมกำเนิดที่ทำให้ผู้หญิงกล้าที่จะหลับนอนกับผู้ชายได้หลายคนโดยไม่ต้องกลัวว่าจะท้อง รวมถึงด้านการแพทย์ที่ก้าวหน้าสามารถรักษาโรคทางเพศสัมพันธุ์ได้อย่างมีประสิทธิผลกว่าในอดีต
กอปรกับค่านิยมทางสังคมสมัยใหม่ที่กล้าจะท้าทาย หลุดออกจากกฎเกณฑ์เดิมๆทางสังคม จนมีกูรูบางคนออกมาให้ความเห็นว่าการสวิงกิ้งหรือเซ็กส์หมู่ ทำให้มีความสุขเหลือล้นจนถึงขั้นนิพพานกันทีเดียว
1
  • “สวิงกิ้งในไทย” มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนกลาง
สมัยก่อนในยุคกรุงศรีอยุธยามีกฎหมายห้ามผู้ใดผิดลูกผิดเมียผู้อื่น แต่มีการเปิดข้อมูลใหม่ที่หักล้างกับข้อนี้ โดยมีตีพิมพ์ไว้ใน หนังสือต่วยตูนพิเศษ ฉบับที่ 189 ปีที่ 16 เดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2533 ไว้ดังต่อไปนี้
หนังสือต่วยตูนพิเศษ ฉบับที่มีตีพิมพ์เกี่ยวกับสวิงกิ้งในไทย
” จากการบันทึกของ นายลูโดวิโค วาร์เทมา นักเดินเรือและนักผจญภัยชาวอิตาลี ที่เดินทางมาค้าขายในแถบเอเชีย ตรงเข้ามาไทยที่เมืองท่าสำคัญของอยุธยาคือ เมืองตะนาวศรี ในช่วงอยุธยาตอนกลาง ปี พ.ศ.2058 (ค.ศ.1415) ในสมัยที่สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงติดต่อค้าขายกับต่างชาติ”
...
นายวาร์เทมาบันทึกไว้ว่า สภาพของผู้หญิงในตะนาวศรีมีฐานะด้อยกว่าชายมาก มีหน้าที่เป็นเพียงเมีย ลูกและบำเรอกามเท่านั้น ไม่มีบทบาททางสังคมอะไรมาก ผู้ชายมีเมียได้หลายคน สามารถหาซื้อเมียได้หลายคนถ้ามีเงิน และคนที่มีเงินก็ไม่พ้นขุนนาง พ่อค้า ผู้สูงวัย สาวที่ถูกซื้อก็ต้องอายุน้อย น่ารัก บางคนอายุเพียง 12 ปี ก็โดนขายไปแล้ว
4
...
นอกจากนี้เขายังพบว่าในเมืองไทยมี “ประเพณีเปิดพรหมจารีเจ้าสาว” ของคหบดีที่เมียเยอะ โดยคนเหล่านั้นจะเลือกสาวน้อยมาแต่งงานด้วยหลายคน ความที่เด็กยังเล็กการจะสอดใส่ทำลายพรหมจารีเด็กนั้นมันน่าเบื่อหน่ายไม่สนุกด้วยเพราะความหนืด ความฟิต ก็เลยมีการจ้างชายอื่นให้มาเบิกพรหมจารีแทน เพื่อสามีจริงๆ จะได้เข้าไปร่วมต่อในภายหลังอย่างสนุกสนานไม่ลำบากในการบุกเบิก
4
...
ซึ่งในการจ้างผู้ชายที่มาเปิดพรหมจารีนั้น จะทำการเลือกคนที่มีร่างกายใหญ่โตกำยำแข็งแรง ดังนั้นหนุ่มต่างชาติโดยเฉพาะชาวเรือชาติโปรตุเกส ผิวขาวผมทองตาสีฟ้าจึงเป็นที่นิยม พอๆกับพวกแขกมัวร์ที่หน้าตาดุร้ายแข็งแรง เพราะเชื่อว่ามีพละกำลังในการเบิกพรหมจรรย์
2
...
ดังนั้นนายวาร์เทมา และเพื่อนจึงถูกพ่อค้าเชิญให้ไปช่วยทำลายพรหมจารีของเจ้าสาว ซึ่งในตอนแรกที่ถูกชวนนั้นเขาและเพื่อนก็เขินอายจนหน้าแดง แต่พ่อค้าบอกกับสองหนุ่มว่าไม่ควรรู้สึกอายอะไร เพราะเป็นประเพณีของเมืองตะนาวศรี ดังนั้นเขาและเพื่อนจึงยินดีที่จะทำตามคำเชื้อเชิญของพ่อค้า
1
...
1
โดยนายวาร์เทมาเล่าว่า เด็กสาวที่เป็นเจ้าสาวนั้น เป็นคนผิวคล้ำแต่กลับสวยงามและน่ารักเป็นที่ตื่นตาตื่นใจมาก และเมื่อเวลามาถึงเขาก็บรรจงทำหน้าที่ของเขาทั้งคืนอย่างดียิ่งจนกระทั่งรุ่งเช้า พอสำเร็จภารกิจรุ่งเช้าพ่อค้าก็เชิญฝรั่งทั้งสองออกจากบ้านไปเพราะได้ทำหน้าเสร็จแล้ว หากอยู่ต่อก็จะผิดจารีตประเพณี ซึ่งลักษณะพฤติกรรมแบบนี้เข้าข่ายสวิงกิ้งแบบนัดชายเดี่ยวมาสนุกกับเมียโดยไม่มีความหึงหวงแต่ประการใด
4
...
จากบทความด้านบนก็แสดงให้เห็นถึงค่านิยมเรื่องเซ็กส์หมู่ในสังคมกรุงศรีอยุธยา (เน้นว่าเฉพาะบางชนชั้น และบางคน ไม่ใช่ทั้งหมด) ทำให้เห็นว่าไทยเราก็มีค่านิยมเรื่องนี้มานานแล้วเช่นกัน
  • แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
หนังสือต่วยตูนพิเศษ ฉบับที่ 189 ปีที่ 16 เดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2533
โฆษณา