Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Storytelling Beside Dish
•
ติดตาม
17 พ.ค. 2022 เวลา 12:51 • อาหาร
“ทับทิม ไพลิน และพลอยม่วงดอกตะแบก - กรอบ: อัญมณีแห่งขนมหวานทุนต่ำ ทำง่าย กับเรื่องเล่าว่าด้วยสำรับชาววังที่เคยเป็นสำรับชาวบ้านมาก่อน”
สามกรอบถ้วยนี้จัดด้วยสี... "ทับทิม" ได้จากน้ำหวานแดงเฮลส์บลูบอย "ไพลิน" ได้จากน้ำดอกอัญชัน และ "พลอยม่วงดอกตะแบก" ได้จากน้ำดอกอัญชันผสมมะนาว
ในเว็บพันทิปมีคนตั้งกระทู้ไว้ “สงสัยว่า ‘ทับทิม’ มาจากการเรียกผลไม้ก่อน หรือเรียกแร่อัญมณีก่อน” และอีกคำถาม “ทับทิม (ผลไม้) กับทับทิม (อัญมณี) อันไหนเรียกตามอันไหน”...
1
มีคนให้คำตอบไว้ได้อย่างน่าสนใจว่า
“ทับทิม (ผลไม้) เป็นคำที่เรายืมมาจากสันสกฤตครับ ว่า दाडिम /dāḍima/, /ทาฑิม/ > ทับทิม…
…ส่วนทับทิม (อัญมณี) เข้าใจว่าเมื่อก่อนน่าจะใช้ว่า พลอยสีทับทิม > พลอยทับทิม > ทับทิม ตอนหลังเลยเหลือแค่ทับทิมเฉย ๆ…
…คำว่าทับทิม (อัญมณี) ในภาษาสันสกฤต มีคำนึงที่คนไทย (ที่อ่านวรรณคดี) น่าจะคุ้นหูกันดีคือ पद्मराग /padmarāga/, /ปทมราค/ > ปัทมราค ครับ…” (Alrescha, 2559)
เห็นด้วยและน่าเชื่อว่า “ทับทิม” น่าจะถูกใช้เรียกผลไม้มาก่อน เพราะเรื่องกินน่าจะเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องหินฟอสซิลมีค่า เรื่องของสวยของงามน่าจะมาทีหลัง แต่ชื่อคน รวมทั้งปลาทับทิม น่าจะเกิดขึ้นหลังสุดและเรียกตามอัญมณีมีค่ามากกว่าชื่อผลไม้
เนื้อในที่มาของความกรอบคือ "มันแกว" ได้ต้นทุนที่ต่ำกว่า ใช้เวลาปอกหั่นน้อยกว่า และหาได้ง่ายกว่า "แห้ว"
และผมก็นึกสงสัยขึ้นมาเหมือนกันว่า ในวรรณคดีเรื่อง “ราชาธิราช” 1 ใน 100 วรรณคดีที่คนไทยควรอ่าน ดัดแปลงจากพงศาวดารมอญ มีอำมาตย์คนหนึ่งชื่อ “ทินมณีกรอด” (ဒိန်မၞိက်ရတ်) แต่ในส่วนของภาษามอญออกเสียงว่า “ติ่น - แหมฺะ - เหนิจก์ - โหรฺด” นั่นคือ “ติ่น” แปลว่า วัน “แหมะ เหนิจก์” หมายถึง "มณี" และ “โหรด” หมายถึง “รัตนา” ทับศัพท์ภาษาบาลี
มันแกวแช่น้ำสีสักพักใหญ่ ๆ หากต้องการให้น้ำสีซึมลึก เข้ม จากนั้นเอาไปคลุกกับแป้งมันสำปะหลังให้ทั่วเพื่อผลลัพธ์ที่ออกมานุ่มหยุ่นลิ้น
ดังนั้นหากจะแปลบาลีให้เป็นบาลีบวชแปลงแบบไทยก็ต้องเรียกว่า “อำมาตย์วัน มณีรัตนา” เข้าใจว่าผู้แปลวรรณคดีเรื่องนี้ต้องการรักษารูปอักษรมอญไว้ แต่ไม่แน่ใจว่าคนในยุคนั้นออกเสียงว่าอย่างไร จนถึงทุกวันนี้ ก็ยอมรับโดยดุษณีว่า ไม่รู้จริง ๆ ว่าจะต้องอ่านออกเสียงอย่างไรถูก
หากคุมเวลาต้มชิ้นมันแกวเหมาะสม ตักขึ้นเมื่อลอยตัวขึ้นเหนือน้ำและลงน็อคในน้ำเย็นทันทีผลลัพธ์ที่ได้ก็จะได้ทับทิม ไพลิน และพลอยดอกตะแบกกรอบสมชื่อ หากปล่อยนานเกิน แป้งที่หุ้มอยู่จะทิ้งตัวหลุดออกจากชิ้นมันแกว จะได้ผลลัพธ์เป็นเต้าส่วนมันแกวแทน
เล่ามาถึงตรงนี้เพราะอยากได้ชื่อเรียกพลอยสีม่วง จำได้แค่ว่าในภาษาอังกฤษเรียก Amethyst ค้นไปค้นมาจนได้รู้ว่าคนไทยโบราณเรียก พลอยม่วงดอกตะแบก / พลอยม่วงจำปาศักดิ์ ลองค้นดูในภาษามอญก็เหมารวมเรียกอัญมณีทุกสีว่า "มณี" หรือ "โหมด" ที่แปลว่า เพชร หรือ พลอย เหมือนกันหมด แต่ขยายความตรงสีว่า “မတ်အရံၚ်ပ္ကဴခဍောၚ်” (โหมด - อะหร่อง - ปะกาว - คะโดง) ซึ่งแปลว่า "พลอยสีดอกมะเขือ” หรือแปลอีกทีก็ “พลอยสีม่วง” นั่นเอง
ว่าด้วยประวัติศาสตร์ “ทับทิมกรอบ” ที่อยู่ในถ้วยขนม ก็เป็นไปตามวิถีวาทะเล่าประวัติศาสตร์แบบตะวันออกละครับ เป็นเรื่องเล่าแบบมุขปาฐะ ไม่เน้นการจดบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร อาศัยเล่าต่อ ๆ กันมาจากรู่นสู่รุ่น เล่าไปเล่ามาก็ลืม ทำให้พอจะสืบย้อนกลับขึ้นไปได้ไม่เกินสมัยรัชกาลที่ 5 มานี้เอง
ว่ากันว่า แต่เดิมทับทิมกรอบเป็นขนมที่พบได้ทั่วไปในสำรับชาวบ้าน กระทั่งพระวิมาดาเธอพระองค์เจ้าสายสวลีภิรมณ์ กรมพระสุทธาสินีนาฏปิยมหาราชปดิวรัชดา พระอัครชายาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้นำทับทิมกรอบของชาวบ้านไปปรับสูตรและรูปลักษณ์ใหม่ นำขึ้นทูลถวายเป็นหนึ่งในสำรับพระกระยาหาร
ก็เดาได้ไม่ยากว่า นับตั้งแต่นั้นมา ทับทิมกรอบในสำรับชาวบ้านก็กลายเป็นสำรับชาววัง ด้วยเป็นที่ถูกปากในสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง จากนั้น ทับทิมกรอบสำรับชาววังก็ได้แพร่หลายออกมานอกกำแพงวัง ย้อนกลับเข้าไปยังสำรับชาวบ้านพร้อมกับเรื่องเล่า (Storytelling) ที่ไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป
น้ำกะทิสำหรับกินกับสามกรอบนี้ถ้าได้กะทิสดขูดและคั้นจากมะพร้าวลูกจะได้ความหอมมันดีกว่ากะทิกล่องหรือกะทิที่ผ่านการต้มราวฟ้ากับเหว
เสียเวลาขุดหาเรื่องหาเล่าอยู่นาน จะอย่างไรเสียก็มาตามนัดครับ ลงสนาม (ครัว) ผลิต “ทับทิม ไพลิน และพลอยดอกตะแบก - กรอบ” มาแบ่งกันดู เล่าสู่กันฟัง ว่าด้วยเรื่องเล่าข้างสำรับชาวบ้านที่บังเอิญเข้าไปเป็นสำรับชาววังเมื่อไม่นานมานี้
โดยทั่วไป น้ำกะทิสำหรับกินกับทับทิมกรอบมักจะออกหวานจัดเพราะถูกเผื่อให้กินร่วมกับน้ำแข็ง ดังนั้นทับทิมกรอบคำแรก ๆ จึงมักจะหวานทะลุปอด มาได้รสพอดีก็จวนจะเป็นคำท้าย ๆ คือ ใกล้หมดถ้วย ครั้งนี้จึงใส่น้ำตาลในกะทิแค่หวานพอดี ๆ แล้วใช้วิธีแช่เย็น ก่อนราดลงบนทับทิม ไพลิน และพลอยม่วงดอกตะแบกได้ความหวานพอดี
เรื่องเล่าข้างสำรับ
เรื่องเล่า
2 บันทึก
11
22
10
2
11
22
10
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย