17 พ.ค. 2022 เวลา 18:48 • ไลฟ์สไตล์
ขอให้พรุ่งนี้เป็นวันพรุ่งนี้ในแบบที่มันจะเป็นนั่นแหล่ะ เพราะความเจ็บปวดก็คือชีวิตเหมือนกัน
1
เราต่างประคองตัวเองไม่ให้ล้ม ไม่ให้ต้องเจอกับความเจ็บปวดและผิดหวัง จนหลงลืมว่ามันก็เป็นส่วนหนึ่งของเรา เป็นแค่อีกรสชาติของชีวิต
สวัสดี ฉันคือ สุดที่รัก
ขอบคุณที่อยู่ตรงนี้นะ
ปกติแล้วฉันมักจะได้อ่านหนังสือหรือบทความของนักเขียนดัง ๆ ซึ่งพวกเขาก็อายุมากแล้ว
ด้วยคำพูดที่ว่า คำพูดของผู้ใหญ่นั้นเชื่อถือได้มากกว่าของเด็กหรือเปล่า
เราถึงไม่ค่อยเห็นนักเขียนแนวนี้ที่อายุน้อย ๆ
เหมือนกับเด็กที่เต้นบัลเล่ต์ หรือนักฟุตบอลเด็กอะไรประมาณนั้น
ก่อนที่คุณจะอ่านบทความของฉัน พึงระลึกไว้เสมอว่าโปรดวางกรอบของสังคม
ความเชื่อ ศาสนา อายุ หน้าที่ และเพศ ไว้ก่อนนะ
และถ้าคุณไม่เห็นด้วยตรงไหน จงเชื่อในสัญชาตญานของคุณ
ถ้าฉันทำให้คุณรู้สึกแย่ในตัวตนของคุณ
ได้โปรดจงเลือกตัวเอง
ให้เกียรติความคิดและการเติบโตมาของคุณ
ไม่ต้องเลือกฉัน.
ฉันนอนอยู่บนเตียงในฤดูหนาวของประเทศไทย
ฉันอยู่ในเวลาปัจจุบันของตัวเอง, ตี 1 เดือนธันวาคม 2021
ในห้องที่มีต้นคริสมาสต์อยู่ข้างเตียง และแมวนอนอยู่ที่ปลายเท้า
ฉันพึ่งอ่านหนังสือ Untamed ของ Glennon Doyle จบเมื่อไม่กี่สิบนาทีที่ผ่านมา
และฉันก็คิดว่า
“อยากเขียนบทความสักเรื่องจัง”
ฉันวางตารางงานที่ต้องทำในสุดสัปดาห์นี้ไปจนถึงสิ้นปี วันไหนดีนะ เราเริ่มร่างดราฟก่อนดีไหม
ฉันคิดอยู่สักพัก และกำลังจะปิดไฟนอน
ฉันห้ามใจไม่ได้เลยแอบไปเขียนดราฟเล็ก ๆในมือถือ
และฉันก็หยุดไม่ได้ ฉันพิมพ์ไปเรื่อย ๆ
แล้วฉันก็บอกกับตัวเองว่า
“ ไม่ได้แล้วหล่ะ เราต้องเริ่มตอนนี้ ถ้าไม่ใช่ตอนนี้ ก็ไม่อีกเลย “
และนั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของบทความนี้ บนเตียงนั้น แลปท็อปของฉัน แมว และต้นคริสมาสต์ ตอนตี 1
“ ขอให้พรุ่งนี้เป็นวันพรุ่งนี้ในแบบที่มันจะเป็นนั่นแหล่ะ เพราะความเจ็บปวดก็คือชีวิตเหมือนกัน “
ฉันเคยคิดว่าการเป็นศิลปิน เราอ่อนแอและอ่อนไหวอยู่ตลอด
เพราะเรานั้นเข้าถึงมนุษย์ได้มากเกินไป
และมันเหมือนกับคำสาป
เราเจ็บปวดกับทุกสิ่งรอบตัวได้ง่าย โดยเฉพาะมนุษย์ด้วยกันเอง
แต่การเป็นคนอ่อนไหวนั้นคือการกำเนิดจากกรรมพันธ์ุ และระบบสมอง
บางทีเราก็เลี่ยงไม่ได้
ฉันเองก็เคยคิดว่าอยากเลิกที่จะเป็นคนอ่อนไหวเช่นกัน
ฉันคิดว่ามันเป็นจุดอ่อน และจุดอ่อนต้องกำจัด
แต่ไม่เลย
ประการแรก การเป็นคนอ่อนไหวไม่ใช่จุดอ่อน
และประการที่สอง จุดอ่อนและข้อบกพร่องนั้น คืออีกอย่างที่ทำให้เราไม่สมบูรณ์แบบ
และนั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์
ไม่ว่าจะตัวฉัน ทุกคน หรือคุณเองด้วยก็ตาม
เราต่าง ไม่สมบูรณ์แบบเลย
เรามีจิตวิญญาณและตัวตนที่เรากำหนดไม่ได้นัก
มันมีส่วนเว้า แหว่ง และโค้งตามการเจริญเติบโต
เราจะดูดีได้ในแบบที่เรามองเห็นเท่านั้น ไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบ
“ อย่าพยายามเป็นคนที่สมบูรณ์แบบเลย เพราะว่ามันไม่มีอยู่จริง”
เราไม่ได้อ่อนแอแต่เราอ่อนไหวและละเอียดอ่อน
และบางทีเราก็มองเห็นสิ่งที่หลายคนมองไม่เห็น
ความรู้สึก อารมณ์ ความเข้าใจ
ที่ไม่ใช่มนุษย์ทุกคนจะมองเห็นมัน
ศิลปินตามสั่ง
ฉันคือศิลปิน
นั่นแหล่ะ คือสิ่งที่ฉันพึงใจจะเรียกตัวเองในตอนนี้
เมื่อตอนอายุ 17ฉันเคยวาดภาพประมูลและก็ขายภาพได้บ่อยจนบางทีฉันเองก็ประหลาดใจ
ฉันเริ่มเข้าสู่วงการประมูลภาพเพราะอยากลองใช้ความสามารถหาเงินดูบ้าง
และใช่
ฉันก็ทำได้นั่นแหล่ะ
.
.
.
ฉันเข้าสู่วงการประมูลงานศิลปะ
พวกเขาดูซื้อขายกันจริงจัง เต็มไปด้วยคนใหญ่คนโตในวงการศิลปะ นักลงทุน นักธุรกิจ
ไปจนถึงคนธรรมดาที่ต้องการซื้องานของศิลปิน
ศิลปินอายุน้อยที่ทำเป็นงานอดิเรก
ศิลปินที่วาดรูปเป็นอาชีพ
และศิลปินแบบฉัน
เราไปสำรวจโลกแห่งความเป็นจริง
ฉันเปิดการประมูลขายภาพแรกในราคา 100บาท
และ มากขึ้นเรื่อย ๆ
500
1000
2000
ฉันขายอยู่นานเชียวนะ และขายไปได้เป็นสิบ ๆ ภาพ
ถึงจะมีความสุข แต่ก็ยังรู้สึกกดดันอยู่ตลอด
และเช่นกันวันนั้นก็มาถึง
ไม่มีใครสนใจภาพภาพนึงเลย
ฉันจึงเริ่มพยายามทำตามแบบที่ทุกคนน่าจะชื่นชอบ
พวกเขาชอบภาพมงคล
ฉันเริ่มวาดรูปม้าเจ็ดตัว
พญานาค
ปลาคราฟ
และอะไรทำนองนั้น
ที่ฉันไม่ได้คิดอยากจะวาด และบางที
ฉันไม่ชอบมันด้วยซ้ำไป
ฉันสูญเสียตัวตนไปในสิ่งที่ฉันรักมากที่สุด
“ ความต้องการลูกค้า 50สิ่ ของฉันอีก 50 “
แต่นับวัน ๆ มันยิ่งแย่ขึ้นเรื่อย ๆ
ความต้องการลูกค้าเพิ่มเป็น
60
75
80
95
และสุดท้าย
ฉันต้องวาดในสิ่งที่พวกเขาอยากได้
อยากได้อะไรคะ ?
ฉันกลายเป็นศิลปินตามสั่ง!!!
และแล้วฉันก็เดินทางมาถึงจุดนึง
.
.
ฉันวาดรูปผึ้ง
ผึ้งตัวอ้วน ๆ ตัวนึง
มีเด็กผู้ชายอายุรุ่นราวใกล้เคียงกับฉัน มาประมูลภาพนี้ในราคาที่มากพอสมควร
เขาให้เหตุผลว่า เขาอยากได้ภาพนี้เป็นของขวัญวันเกิดให้ตัวเอง
ถึงแม้ชีวิตนี้จะวาดรูปเป็นของขวัญวันเกิดให้ใครหลายคน
แต่พอเจอคนแปลกหน้าที่อยากได้งานของฉันเป็นของขวัญวันเกิดให้ตัวเอง
มันก็ถึงกับทำให้ต้องประหลาดใจ
ตอนนั้นฉันไม่ได้มองว่าผึ้งตัวนั้นสวยหรืออะไร
ณ จุดนั้นฉันมองไม่เห็นแม้คุณค่าของงานศิลปะ
คิดแค่ว่ามันก็เป็นแค่สินค้าเท่านั้น
ฉันคิดได้แค่ว่าฉันใช้เวลาวาดมัน3วัน
และต้องปิดการประมูลครั้งนี้ให้ได้
ฉันถามเขากลับไปว่า
จริงเหรอคะ ทำไม ?
ตัวตนของฉันแหลกสลาย
ฉันมองไม่เห็นแม้คุณค่าของสิ่งที่ตัวเองรัก
จนไม่คิดว่ามันควรคู่กับเงินพวกนั้นเลย
และตอนนั้นฉันก็ยังเด็กเหลือเกิน เด็กเกินไปจนไม่รู้เลยว่าจะซ่อมแซมมันอย่างไร
แต่แล้ววันนึงฉันก็ไม่ยอมแล้ว
ฉันวาดรูปที่ฉันอยากวาดจริง ๆ
แต่ก็ตามที่คาดเดาได้
ไม่มีใครสนใจภาพนั้นเลย
ไม่มีแม้แต่คนเดียว
.
.
ฉันเคยชินกับคำชื่นชมจากคนรอบตัวในงานศิลปะของตัวเอง
ฉันเคยคิดว่ามันหอมหวานและผลักดันฉันเรื่อยมาในเส้นทางนี้
ถึงแม้บางทีจะแอบคิดว่า
คำชมพวกนี้ได้มาเพราะสนิทกันหรือเปล่า ?
เพื่อที่จะรักษาน้ำใจในบางครั้ง ?
หรือแค่เพราะปลอบใจ ?
เมื่อก่อนฉันไม่เคยมองว่าภาพตัวเองนั้นสวยเลย
มันจะสวยก็ต่อเมื่อคนอื่นบอกว่ามันสวย
หรือไม่ก็เมื่อตอนที่มันไปคว้ารางวัลเพื่อพิสูจน์ตัวมันเอง
เมื่อนั้นแหล่ะ ภาพเหล่านั้นถึงจะมีคุณค่าสักที
นั่นคือความคิดของฉันในตอนเด็กมาก ๆ
และตอนที่ประมูลภาพเช่นกัน
แต่เมื่อเติบโตและได้เรียนรู้ ความคิดนั้นเป็นสิ่งที่ผิดมหันต์
งานศิลปะมีคุณค่าด้วยตัวมันเอง
และคุณค่าพวกนั้นก็มีได้เพราะศิลปินตัดสินใจสร้างขึ้นมา
มันคือสิ่งที่สะท้อนตัวศิลปินเอง
แต่ในตอนนั้น ฉันผู้ซึ่งมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง
จึงไม่มีความสามารถมากพอที่จะมองเห็นคุณค่าในงานศิลปะชิ้นใดเลย
ฉันสร้างงานที่ไร้ชีวิต และจิตใจ
ถึงมีก็เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานระหว่างทำ
กับคำถามที่ว่า ฉันทำอะไรอยู่ ?
ถ้าทำแบบนี้พวกเขาจะชอบไหม ?
ถึงอย่างนั้นก็ตาม คนหลายคนเข้ามาและใส่เรื่องราวความรู้สึกในงานของฉัน
และก็ซื้อมันไป
ถึงฉันจะรู้สึกดีกับสิ่งเหล่านั้น
แต่ว่าตอนนั้น ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองไม่มีชีวิตเลย
.
.
หลายคนใช้เลนส์ของระบบทุนนิยมมองฉันและชื่นชมฉันนัก
ฉันกลายเป็นคนเก่ง เพราะว่าฉันทำเงินได้
แต่กลับไม่มีใครเคยถามว่าฉันรู้สึกอย่างไรกับการขายงานพวกนี้
มีแต่คำถามว่าขายได้เท่าไหร่ ?
คนซื้อเยอะไหม ?
เก่งจังเลย
สิ่งที่เรารักต้องหาเงินได้ถึงจะกลายเป็นคนเก่ง
นี่แหล่ะคือโลกของทุนนิยม
หลายคนเลือกที่จะมองว่ามันคือความจริง
แต่ฉันไม่อยากให้ทุกคนกลายไปเป็นคนแบบนั้นกันเลย
ฉันกลายเป็นศิลปินตัวน้อยก็จริง
แต่เป็นศิลปินที่เศร้านัก
จิตใจก็เหี่ยวเฉา
ฉันเข้าใจแวนโก๊ะเลยจริง ๆ
มันเครียดเมื่อเราเอาสิ่งที่รัก ตัวตน และจิตวิญญาณออกมาเร่ขาย
เจ็บปวดจนน่าตัดหูทิ้งไปเลยหล่ะ !
ฉันตื่นมากับความกดดันและนอนหลับไปกับมันในทุก ๆ คืน
ฉันเครียดเป็นอย่างมาก
และฉันเริ่มมีสุขภาพจิตที่ย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ
จึงตัดสินใจที่จะเลิกทำ
ถึงเราจะเป็นคนเก่ง แต่คนเก่งทุกคนต้องรู้ขีดจำกัดของตัวเองนะ
พวกเขาไม่ผิดทั้งหมดและฉันก็ไม่ผิดทั้งหมดเช่นกัน
เพราะว่าตอนนั้นฉันไม่รู้ถึงขอบเขตของอะไรหลาย ๆ อย่าง
ฉันไม่รู้เลยว่าต้องขีดเส้นกั้นที่ตรงไหน
ฉันพลักตัวเองไปเรื่อย ๆ
ให้เข้าใกล้ความต้องการของคนอื่นไปเรื่อย ๆ
จนหลงลืมความต้องการของตัวเอง
แต่ความจริงที่ว่าฉันเคยเป็นส่วนหนึ่งในการฆ่าจิตวิญญาณของตัวเองในตอนนั้น,
ก็ยังคงเป็นความจริงอยู่ดี
Soundtrack of this part :
Ane brun - Halo ( but it's your last dance with the love of your life )
โหลใส่ยาพิษ
สืบเนื่องจากความเครียดและสุขภาพจิตที่ย่ำแย่จากการประมูลภาพในครั้งนั้น
เมื่อ2ปีที่แล้วจึงกลายเป็นช่วงเวลาที่ย่ำแย่ที่สุดในชีวิตของฉัน
มันเหนื่อย เจ็บ เกรี้ยวกราด และรุนแรงกับฉันมาก
มันเหมือนมีพายุลูกใหญ่ที่หมุนอยู่ข้างในและไม่ยอมหยุดเลยทั้งปี
ฉันนั่งอยู่ตรงนั้น แต่ฉันไม่ได้อยู่ตรงนั้นเลย
ฉันร้องไห้ในทุก ๆ คืนแล้วหลับไป
ทั้งหมดนี้เกิดจากการไดเอตที่ผิดวิธี
ประเด็นทางการเมือง
ข้อความด่าทอ
ความกดดัน
ความตึงเครียด
และความรุนแรงทางสังคม
ที่มันกระทบเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
เมื่อเราเปิดใจรับเอาความทุกข์และพลังลบเข้ามามากจนเกินไป
เราจะกลายเป็นโหลที่สะสมไปด้วยยาพิษ และวันนึง
โหลนั้นก็จะถูกยาพิษที่ตัวเองโอบรับไว้หลอมละลายตัวมันเอง
ถ้าหากคนที่มีความสุขที่สุดในโลกคือคนที่มีความสัมพันธ์ดี
ฉันก็คงเป็นคนที่ทุกข์ที่สุดในเวลานั้น
เพราะนอกจากตัวตนที่พังยับ
ความสัมพันธุ์ก็ยับเยินไม่ต่างกัน
ฉันกลายเป็นคนที่ toxic และอ่อนแอในเวลาเดียวกัน
ฉันโมโหกับทุกสิ่งและทุกอย่าง
และก็เจ็บปวดเช่นกัน
เจ็บปวดที่รู้สึกเจ็บปวด
ข้างในนั้นพังทะลายเหมือนหยดน้ำที่กระทบลงแม่น้ำ
แค่นิดเดียวแต่ทำให้แตกสลายกระจายเป็นวงกว้างเหลือเกิน
ฉันร้องไห้
ตัวตนฉันกรีดร้องอย่างทรมานอยู่ข้างใน
ฉันไม่อยากได้ยินเสียงใครพูด
พอแล้วได้ไหม
พอแล้วได้ไหม ?
Soundtrack of this part :
Patrick Watson - Je te laisserai des mots
ไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว
ฉันพบว่าไม่มีหรอกนะคนที่จะสามารถพูดได้ว่า “ฉันไม่สนใจ”
บนโลกใบนี้นั้นมีเพียงแค่คนที่พูดได้ว่า “ฉันไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว” ต่างหากหล่ะ
บางครั้งชีวิตนี้นั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวที่ทั้งดีและร้าย
เพราะเรียนรู้ว่าการสนใจทุกสิ่งอย่างนั้นมันเหนื่อยเหลือทน
ฉันถึงได้เรียนรู้ที่จะหยุด
ต่อให้ผิดหวังก็ยังคาดหวัง
คนเรานั้น สามารถที่จะอยู่โดยไร้ซึ่งความหวังได้จริง ๆ อย่างนั้นหรือ ?
ความจริงที่ว่าเราไม่สามารถที่จะคาดเดาอะไรได้นั้นจะยังคงอยู่ตลอดไป
“แต่ก็อย่าลืมหล่ะ ว่ายังมีชีวิตที่ดีกว่ารออยู่หลังความรู้สึกในตอนนี้เสมอ”
เป็นประโยคที่ฉันมักจะพูดกับตัวเอง
เพราะว่ายิ่งจมอยู่ในความเจ็บปวด
จึงยิ่งต้องมีหวังที่จะพาตัวเองก้าวออกมา
การที่คุณซึมเศร้านั้นไม่ผิดหรอกนะ มันก็แค่อีกความรู้สึกนึงของชีวิตเท่านั้น
แต่ว่าสถานที่เเห่งนั้นช่างเงียบเหงา
หนาวเย็น
ปวดร้าว
และหนักอึ้งไปหมด
.
.
ถึงจะเป็นแค่อีกความรู้สึกก็ตาม
แต่ก็มีคนมากมายที่เข้าไปอยู่ตรงนั้นแล้วไม่ได้กลับออกมาอีกเลย
.
.
.
ต่อให้หลงทางก็ยังคงเป็นตัวเราเอง
ต่อให้แหลกสลายอยู่ตอนนี้ก็ยังป็นเราเสมอ
เราไม่ได้หลงทางหรอก เราไม่ได้ทำตัวเองหล่นหายไปไหนเลยด้วยซ้ำ
เราแค่กำลังอยู่ในอีกรูปแบบของชีวิต ในอีกรูปแบบของความรู้สึก
เราไม่ได้ทำตัวเองหล่นหายเพราะเราต่างก็เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
เราแค่สัมผัสถึงอีกด้านได้น้อยลงเมื่อเรากำลังอยู่ในอีกความรู้สึกนึง
“ เมื่อกำลังเจ็บปวดถึงสัมผัสได้ถึงความสุขได้น้อยลง
เมื่อกำลังสับสนถึงสัมผัสถึงเป้าหมายได้ลาง ๆ “
ไม่ว่าจะเจ็บปวดมากมายแค่ไหน
ก็อย่าได้ละทิ้งตัวเองเลยนะ
ถึงแม้จะไม่สามารถรับรู้ถึงความรักและความเชื่อในตัวเองตอนนี้
ก็ขอให้รักษาร่างกายและตัวตนของเราไว้ก่อน
เราอาจจะไม่พร้อมที่จะก้าวเดินออกมาจากความเจ็บปวดนั้นเลย
แต่ในสถานที่ที่หนาวเหน็บเช่นนั้น
การได้รับอ้อมกอดของตัวเองจะนำพาความอบอุ่นเล็กๆนั้นมาได้
และเมื่อเรารู้สึกดีขึ้นแล้ว
ก็กลับออกมาจากหลุมลึกนั้น
แล้วสัมผัสได้ถึงชีวิตอีกครั้งเถอะนะ
.
.
.
Soundtrack of this part :
Beach bunny - Cloud 9 ( cover by Paravi Das )
ฟื้นคืนชีพ
" เราต้องยอมรับกันให้ได้ว่าความเจ็บปวดคือรูปแบบนึงในชีวิต "
ฉันพบว่ายิ่งเราวิ่งหนีความเจ็บปวด ความเศร้า
และความล้มเหลวนั้น
มันก็จะยิ่งขยายตัวใหญ่มากขึ้น
และเมื่อมันเข้ามาหา
เราก็จะยิ่งสั่นไหว
มันจะกระทบเราได้มากจนเกินไปและเราจะรับมันไม่ไหว
ยอมรับมันเถอะนะ
ยอมรับว่ามันมีตัวตน
ยอมรับว่าตอนนี้เรากำลังเจ็บปวดอยู่
ความเจ็บปวดเหล่านั้นก็เหมือนความสุขนั่นแหล่ะ
เป็นแค่ความรู้สึก ที่มาแล้วก็จะหายไป
อย่ากลัวไปเลย
.
.
“ โลกนี้สวยงาม และมีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้น ไม่ต้องกลัวนะ ”
- untamed
ฉันเลือกที่จะฟื้นคืนชีพเพื่อตัวเอง เพราะว่า ไม่มีใครทำสิ่งนั้นให้ฉันได้….. ไม่มีเลย
หากปราศจากซึ่งความหวังเล็ก ๆ ในตัวเอง
ฉันก็คงไม่อยู่ตรงนี้
หากซึ่งฉันเลือกที่จะทอดทิ้งตัวเอง
ฉันก็จะตายอยู่ตรงนั้น
ไม่มีใครรับผิดชอบบาดแผลที่เขาทำให้เราหรอก
ในช่วงเวลาที่เราจมอยู่กับความเจ็บปวด
จิตใจนั้นบอบบางเหลือเกิน
ฉันพบว่าการที่ต้องขยับร่างกายนั้นยากลำบาก
และการที่ออกไปพบผู้คนก็เหมือนกระโจนลงบ่อที่เต็มไปด้วยสารเคมี
สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้และเลือกที่จะทำ
ก็คือทำร้าย
.
.
ในตอนนั้นฉันพบว่าฉันต้องการความรัก
ความอบอุ่น และความใจดีจากใครสักคน
ฉันต้องการการเยียวยา
ฉันผู้ซึ่งคิดว่ายังมีความรักแก่ตัวเองหลงเหลืออยู่ในร่างกายตอนนั้น
แต่ว่าความจริงมันกลับไม่มีเลย
ตอนนั้นมันไม่ใช่เลย
ฉันสนใจคนอื่นจนหยุดให้ความรักแก่ตัวเอง
และเราต่างก็รู้ดีว่า
“ ในเวลาที่เราต้องการความรัก นั่นคือเวลาที่เราไม่รู้สึกถูกรักเลยต่างหาก
ไม่ว่าจะจากตัวเอง หรือคนอื่นด้วยกันตาม “
.
.
.
.
.
ณ ตอนนั้นฉันรู้สึกโด่ดเดี่ยว
ราวกับว่าคนที่ผลักให้ฉันลงไปในหลุม ทุกคนทิ้งฉันไว้
แล้วเดินกลับไปที่ของตัวเอง
และถ้าหากฉันไม่ทำอะไรสักอย่าง
ฉันก็จะตายอยู่ตรงนั้น ตายไปทั้งที่เจ็บปวดแบบนี้
หากปราศจากซึ่งจินตนาการต่อชีวิตและตัวฉันเองในแบบที่ดีกว่าที่เป็นอยู่
และความเชื่อมั่นว่าฉันทำได้
ฉันเองก็
ไม่รู้เลยว่าตอนนี้ตัวเองยังจะสบายดีอยู่หรือเปล่า ?
ฉันเริ่มอ่านหนังสือมากขึ้น รวมถึงฟัง podcast ให้แรงบันดาลใจ
พื้นที่เหล่านั้นคุณจะสามารถพบกับความเป็นมนุษย์ที่ซ่อนอยู่
ไม่ใช่ที่ที่ทุกคนพยายามรับบทเป็นคนที่สมบูรณ์แบบไปหมด
ฉันเริ่มยอมรับว่าตอนนี้ตัวเองเจ็บปวด
เพราะหากเราไม่รู้ว่าตัวเองเจ็บปวด
เราก็จะไม่รู้ว่าตัวเองต้องได้รับการเยียวยา
เวลาที่เริ่มรู้สึกไม่สบายจากข้างใน
ฉันจะไม่ไปไหน
ฉันจำเป็นที่จะต้องอยู่
และต้องถามว่ามันคืออะไร
เราต้องแก้ปัญหาตอนนี้เลย
เมื่อรู้สึกถึงความเจ็บปวดก็ให้ยอมรับมัน
อย่าพยายามหลอกตัวเองว่าไม่รับรู้อะไร
เพราะความเจ็บปวดที่เราบอกกับมันว่าไม่เป็นไรนั้น
จะค่อย ๆ สะสมและขยายตัวในทุก ๆ วัน
เราไม่สามารถที่จะเดินไปข้างหน้าได้ด้วยการปิดตาตัวเองไว้หรอก
เพราะฉะนั้น อย่าใช้ชีวิตต่อไปด้วยการหลอกตัวเองเลยนะ
ถ้าหากครั้งนึงเราได้เรียนรู้แล้วว่าการที่ทอดทิ้งตัวเองให้จมดิ่งลงไปสู่ความเจ็บปวดจนเกินไป
มันทำให้เราต้องรู้สึกโดดเดี่ยวและทรมานมากแค่ไหน
เมื่อเรากลับมาได้
เราต้องให้คำสัญญาที่สำคัญที่สุดในชีวิตนี้
“ว่าจะไม่ละทิ้งตัวเองอีกเด็ดขาด”
ในห้วงของความเจ็บปวด
ในจังหวะที่มันพัดเข้าหน้ามาอย่างจัง
ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นเลย
.
.
ไม่มีคนที่ฉันชอบ
ไม่มีคนที่ฉันกลัว
ไม่มีคนที่ฉันชื่นชม
ไม่มีคนที่ฉันเสียเวลาหรือความรู้สึกให้
ไม่มีใครเลย
.
.
มีแค่ฉัน ฉันต้องรับมือกับมัน
เพราะฉะนั้นจงใช้ชีวิตด้วยการเรียนรู้ที่จะทำความเข้าใจตัวเองบ่อยๆเถอะนะ
ตัวตนเรานั้นซับซ้อนยิ่งกว่าสิ่งใด
จงใช้เวลาเรียนรู้ทำความเข้าใจ
และใจดีกับตัวเองเข้าไว้
I จงทำเพื่อตัวเอง I
ฉันทำได้แน่
เอาเลย
เราทำได้อยู่แล้ว …..
ในช่วงเวลาที่จมอยู่ในความเศร้านั้น
ฉันเลือกที่จะทำความเข้าใจตัวเอง
และเริ่มให้ความอบอุ่นด้วยการใจดีกับตัวเองมาก ๆ
ฉันตัดสินใจที่จะห้อยโหนไปกับความหวังเล็ก ๆ นั้น
ว่าฉันจะต้องมีชีวิตที่ดีกว่าความรู้สึกในตอนนี้ให้ได้
ฉันจะทำตามแผนที่ฉันมี เท่าที่ฉันมีนี่แหล่ะ
แผนที่ดีที่สุดคือแผนที่เรามี
หากจินตนาการไปถึงสิ่งใดได้
นั่นหมายความมันสามารถที่จะเกิดขึ้นได้
และการตัดสินใจที่ดีที่สุด
คือการตัดสินใจที่เราเลือกในตอนนั้น
มันดีที่สุดแล้ว
ฉันต้องทำอย่างไรเพื่อกลับมาสู่สภาวะปกติ
และไม่ยอมให้โดนกระทำเฉกเช่นเดิม
ฉันพบว่าคนเรานั้นมักสัมผัสได้ถึงความเศร้าของตัวเองกันอยู่แล้ว
การที่จะพาตัวเองหายไปจากโลกนี้นั้นคงเคยอยู่ในความคิดของใครหลาย ๆ คน
แต่ว่านะ
ชีวิตนี้นั้น
ไม่ใช่แค่เราเสมอไปหรอก
ในช่วงเวลาที่คุณนั่งอยู่ในหลุมดำมืดของความเศร้าและเจ็บปวด
มันเป็นเรื่องปกติที่คุณจะสัมผัสถึงความรักและความสุขได้น้อยลง
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม
ไม่ได้หมายความว่ามันไม่ได้หล่อหลอมอยู่ในตัวคุณเสียหน่อย
ตลอดการเติบโตขึ้นมาจนปัจจุบันนนี้
คนคนนึงได้ตัดสินใจก้าวผ่านอุปสรรคมากี่ครั้ง
ร้องไห้มาจนใจจะขาดกี่ครั้ง
โลกทั้งใบพังลงมากี่รอบ
ต้องใช้ความรัก ความใส่ใจจากใครกี่คน
และที่สำคัญกว่าสิ่งใด
ต้องใช้ความพยายามและความรักจากตัวเองมากแค่ไหน
เราทุกคนต่างถูกรักโดยใครสักคนในตอนนี้เสมอ
แค่เพราะว่าเจ็บปวดจนมองไม่เห็น
ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีอยู่นะ
:)
.
.
.
.
เราสามารถค้นหาวิธีรักตัวเองได้ด้วยการทำความเข้าใจตัวเองก่อน
และยอมรับตัวตนในทุกๆด้านที่เป็นเรา
หลังจากนั้นให้มองหาภาษารักของตัวเอง
เมื่อเราตกหลุมรักใครสักคน เราทำอย่างไรกับเขาบ้าง ?
ให้นำมันกลับมาใช้กับตัวเอง
เมื่อฉันตกหลุมรักใครเข้า
เขาคนนั้นจะเป็นตัวละครหลักในเรื่องราวของเพลงที่ฉันฟัง
ฉันบอกรักเขาโดยเนื้อเพลงเหล่านั้น
ตอนนี้ฉันฟังเพลงรักแล้วนึกถึงตัวเองเท่านั้น
ฉันเป็นตัวละครหลักในเรื่องราวของตัวเอง
ฉันร้องเพลงรักให้ตัวเอง
และโอบกอดตัวเองไว้เสมอ
เพลง Cloud 9 ของ Beach bunny ที่ขับร้องโดยคุณ Paravi Das นั้นไพเราะเหลือเกิน
มันเยียวยาและให้กำลังใจ
มันทำให้นึกถึงตอนที่พยายามรักษาจิตใจตัวเอง
โดยเฉพาะท่อนที่ร้องว่า
“ Lately I’ve been feeling not alive
But you bring me back to life ”
คือสิ่งที่ฉันจะมองไปในตาของตัวเอง
และขอบคุณเธอเสมอ
ความรักที่ยิ่งใหญ่นั้น
คือความรักที่เราพยายามมอบให้ตัวเองแม้ในวันที่แตกสลายเหลือเกิน
“ Even when we fade eventually to nothing
You will always be my favorite form of loving ”
ฉันเรียนรู้ที่จะพยายามทำความเข้าใจตัวเอง
และเริ่มยอมรับตัวเอง
โอบกอดตัวเราและยอมรับในมุมที่ไม่ดี
ไม่มีใครเลยที่สมบูรณ์แบบ
ตัวตนของฉันไม่มีอะไรต้องละอายใจ
ฉันเป็นคนนิ่ง บ้า และเย่อหยิ่ง
ในเวลาเดียวกัน
ฉันโมโห สุขุม เกรี้ยวกราด
ฉันใจดี ใจร้าย ทำร้าย
ฉันสงสาร เยียวยา และรักษา
ฉันทำให้มันมอดไหม้พังลงจนหมด
และก็สร้างขึ้นใหม่ได้เช่นกัน
.
ฉันเป็นฉัน
และฉันมีเรื่องราวในการเติบโตมาของตัวเอง
ฉันไม่มีอะไรต้องปกปิด
ทุกๆด้านนั้นคือตัวฉันเอง
.
.
.
เมื่อไหร่ที่เรารู้สึกเป็นอิสระ และไว้ใจตัวเองมากพอ
เราจะไม่ต้องอธิบายสิ่งที่เราเลือกให้ใครฟัง
.
.
.
.
ไม่อีกต่อไปแล้ว
ในตอนนั้น ฉันมีความคิดที่สวนทางกับใครหลายคน
มันจึงทำให้รู้สึกว่าฉันอยู่ตัวคนเดียว
เจ็บปวดอยู่คนเดียวเท่านั้น
ฉันพบว่าเมื่อเราเลือกที่จะแตกต่างจะมีใครหลายคนพยายามจับเรายัดลงแม่พิมพ์ของสังคมอยู่ดี
ไม่ใช่ปลาทุกตัวที่ยอมว่ายตามกระแสน้ำไป
ต่อให้จับฉันยัดใส่กล่อง
ฉันก็จะหลุดลอยออกมาอยู่ดี
และตัวฉันเองก็ไม่แล้ว
ฉันไม่เลือกคนอื่นอีกต่อไปแล้ว
และต่อให้ฉันจะทำให้พวกเขาผิดหวังจะเป็นจะตาย
กรีดร้องขอให้ฉันเลือกแบบนั้นหล่ะก็
ฉันก็คงต้องปล่อยให้พวกเขาอกแตกตายไปส้ะทั้งอย่างนั้นนั่นแหล่ะ
ฉันอาจจะเป็นคนที่แย่นะในสายตาของพวกเขา
ดื้อ และไม่ยอม
แต่ถ้าหากฉันต้องเลือกยอมให้กับสิ่งที่ข้างในของฉันมันปฎิเสธละก็
ไม่
และนั่นคือคำตอบเดียว
การเติบโตมาของฉัน ตัวตนของฉัน และการตัดสินใจของฉัน ไม่สมควรที่จะโดนดูถูกแบบนั้น
ถ้าหากคิดว่าทุกคนหรือทุกอย่างจะเป็นแบบที่คุณคิดหล่ะก็
คุณคิดผิดแล้ว
ข้างนอกนั่น ข้างนอกวงสังคมที่คุณอยู่ ยังมีคนแบบฉันอีกแน่นอน
ต่อให้ต้องลำบากแค่ไหน
สภาพทรุดโทรม
หมดสิ้นทุกอย่าง
ฉันก็จะเลือกตัวฉันเองอยู่ดี
.
.
Soundtrack of this part :
John Denver - Country road
ปีกกล้าขาแข็ง
หลังจากเหตุการณ์อายุ 17นั้นจบลง ฉันเริ่มที่จะมีความเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น
และอยากที่จะลงมือทำอะไรสักอย่าง
ฉันมีไฟและใจรักในงานศิลปะของประเทศเกาหลีใต้มาก ๆ
เมื่อวัย 18ปี ฉันหลงรักอะไรหลาย ๆ อย่าง
และฉันอยากที่จะตามความต้องการนั้นไป
ไม่ว่าจะไปจบลงที่จุดไหนก็ตาม
ฉันตัดสินใจยื่นทุนการศึกษาไปเรียนมหาลัยที่ประเทศเกาหลีใต้
ถึงแม้
ถึงแม้ว่า
ฉันไม่เข้าใจภาษาเกาหลีด้วยซ้ำ
.
.
.
อย่าพึ่งตกใจไป ฉันยื่นในคณะที่เรียนเป็นภาษาอังกฤษ
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ฉันใช้เวลาทั้งหมดในปี2021ไปกับเรื่องนี้เชียวหล่ะ
ฉันรู้ว่าไม่สามารถโฟกัสสิ่งที่ค่อนข้างใหญ่นี้ได้โดยยังมีโซเชี่ยลมีเดีย
ฉันจึงลบทุกช่องทาง
ฉันรู้ว่าต้องทำอะไรเยอะแยะมากมายกว่าจะไปถึงจุดนั้น
แต่ฉันก็จะไป
นั่นแหล่ะ
แค่คำตอบเดียว
ชีวิตนี้ไม่ได้ยากเย็นอะไรนักหรอก แค่เลือกแล้วอย่าหันกลับไปมอง
:)
- ถ้าคุณต้องการที่จะทำอะไรสักอย่าง คุณเริ่มได้เลย มันแปลว่าคุณพร้อมแล้ว
ฉันใช้เวลาปี 2021 ไปกับการเตรียมเอกสารจนหัวหมุน
ทำกิจกรรมมากมาย
ตั้งใจเรียนภาษาที่ 4
ฉันกระโจนเข้าสู่การแข่งขันทั้งระดับประเทศ
และระดับโลก
ฉันใช้เวลาไปทั้งปี
ฉันเสียเงินไปเยอะมาก
ฉันเดินทางไปหลายที่
ฉันประกวด แพ้,ชนะ อยู่แบบนั้นหลายครั้ง
ทำอะไรที่ไม่เคยคิดว่าวันนึงต้องก้าวขาไปทำ
อะไรที่ดูไกลจากฉันมาก ๆ
มันต้องใช้ความพยายาม
ความตระหนักรู้ว่าตอนนี้ต้องพัก
และแรงผลักดันให้ตัวเองลุกขึ้นมาอีกครั้ง
ฉันอยู่คนเดียวในตอนนั้น
แทบจะเรียกได้ว่าต้องพูดคุยและปลอบใจตัวเองอยู่หลายครั้ง
ถึงอย่างนั้น เมื่อเราตัดคนอื่นที่ไม่สำคัญในชีวิตนี้ออกไป
เราจะได้มองเห็นว่าใครที่อยู่ข้าง ๆ เราจริง ๆ
ถึงทุกคนที่อยู่ข้างฉันในวันนั้น
ขอบคุณนะ
กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เหลืออีกไม่กี่วันที่ต้องส่งเอกสารแล้ว
ระหว่างที่ฉันขับรถกลับบ้านในวันนึง
ฉันจำท้องฟ้าตอนตี5วันนั้นได้ดี
มันเหมือนกับเช้าตรู่ของแอนิเมชั่นเรื่อง Whisper of the Heart
เฉดของสีเทาที่ไล่จากพื้นหญ้า
ต้นไม้ข้างทางมองเห็นลาง ๆ เพราะหมอกคลุม
ท้องฟ้าไล่จากสีม่วง สีคราม และสีส้มแซมอยู่อ่อนๆ
ฉันรู้สึกว่ามันเย็นไปหมด ไม่ว่าจะข้างนอกหรือข้างในตัวเองด้วยก็ตาม
ฉันถามตัวเองว่า
.
.
5 am color
.
.
ชีวิตนี้ เส้นทางที่เราเลือก จะพาเราไปที่ไหน ?
และถึงแม้บางครั้งเราจะพยายามมากมายและแลกกับหลายสิ่งมากแค่ไหน
มันก็ใช่ว่าเราจะสำเร็จอยู่เสมอ
ฉันไม่ติดทุนแรก
มันก็น่าเสียใจ
แต่วันนั้นที่ร้องไห้กลับเป็นความรู้สึกโล่งใจที่ว่าผ่านไปแล้วสิ่นะ
แต่ตอนนั้นหน่ะ…
ฉันอยากประสบความสำเร็จเหลือเกิน
ฉันเริ่มรู้สึกว่าเป้าหมายตอนนั้นไม่ใช่การได้ไปเรียนที่เกาหลี
แต่มันคือการติดทุน
ฉันเริ่มเคว้งใน 3ชั่วโมงแรกหลังไม่พบรายชื่อบนลิสต์ประกาศผล
ฉันเริ่มค้นหาทุนการศึกษาอื่น
และฉันพบไต้หวัน
นี่แหล่ะ
ฉันบอกกับเพื่อนว่าฉันจะยื่นทุนไปไต้หวันนะ เธอบอกแกแน่ใจนะ
ใช่ ฉันแน่ใจ
ที่นี่แหล่ะเพื่อนเอ๋ย !
.
ไม่เลย
ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่เลย
ไม่มีแรงผลักดัน
ไม่มีแม้แต่ความอยาก
แต่ฉันแค่รู้สึกแพ้
ฉันไปถึงตรงนั้นไม่ได้
ฉันอยากได้การแข่งขันอีกที่
ที่ฉันอาจจะชนะก็ได้
ฉันหิวโหยชัยชนะ
โดยที่ไม่ได้สนใจรางวัลด้วยซ้ำ
และตอนนั้น
ฉันก็สัมผัสถึงมันเป็นครั้งแรก
ฉันได้ยินเสียงจากข้างใน
ไม่ใช่
นี่ไม่ใช่แล้ว
นี่ไม่ใช่สิ่งที่แกต้องการหรอก
แกกำลังหลงทาง
……..และแกต้องกลับมา……
ฉันอยู่กับความรู้สึกนั้นสักพัก
ฉันหายใจเข้าลึก ๆ
ฉันเริ่มถามตัวเองว่าต้องการอะไรกันแน่
แล้วฉันก็เริ่มรู้สึกถึงความต้องการที่เริ่มในตอนแรกอีกครั้ง
ซึ่งมันหายไปเมื่อสี่หรือห้าเดือนที่แล้ว
ตอนที่ฉันหลงลืมจุดสตาร์ท
และสนใจแค่ชัยชนะ
เอาหล่ะ ตั้งสติ
ฉันถามตัวเองว่าพร้อมไหม
มันอาจจะเจ็บนะ
ฉันเริ่มตอบกับตัวเอง
ได้
ตอนนี้แหล่ะ
ฉันอยากเริ่ม
มาเริ่มกันเถอะ
ปีนี้มันเจ็บปวดมาก มาก ๆ เลย
จนกระทั่งว่าความเจ็บปวดกลายเป็นเรื่องธรรมดา
ความผิดหวังก็เหมือนกัน
มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว
ฉันไม่รู้ไปเอาความมั่นใจตอนนั้นมาจากไหน
แต่ฉันแค่รู้สึกลึก ๆ
และดูเหมือนว่าชีวิตนั้นจะเดินตามความรู้สึกลึก ๆ นี้มาตั้งแต่เริ่มแล้ว
Soundtrack of this part :
Herb Alpert & The Tijuana Brass - Ladyfingers
เพราะเริ่มรู้สึกลึก ๆ ว่าจะเดินได้
ฉันจึงเดิน
และเริ่มก้าวแรกของชีวิต
เพราะเริ่มรู้สึกลึก ๆ ว่าจะขี่จักรยานคันนั้นได้
ฉันจึงขึ้นขี่มัน
และปั่นมันออกไปเป็นครั้งแรกของชีวิต
เพราะเริ่มรู้สึกลึก ๆ ว่าจะวาดรูปได้
ฉันจึงขีดวงกลมวงนั้นขึ้นมา
และวาดภาพแรกของชีวิตได้จนสำเร็จ
และเหมือนกับที่ฉันรู้สึกลึก ๆ ว่าฉันจะเขียนบทความได้
ฉันจึงเริ่มพิมพ์ตัวอักษรแรกลงไป
และฉันก็ได้มีบทความแรกของชีวิต
เราทุกคนต่างมีความรู้สึกลึก ๆ เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นกันทั้งนั้น
.
.
.
ฉันเริ่มในเป้าหมายที่ 2
ฉันกลับมาที่จุดเริ่มต้นเมื่อหลงทาง
การตัดสินใจนั้นเสร็จสิ้นที่คืนนั้นเลย
คืนที่ฉันพลาดในทุนแรกนั่นแหล่ะ
.
.
.
และแล้วฉันก็เข้ารอบสัมภาษณ์กับทุนที่ 2
ฉันจำความรู้สึกวันนั้นได้
มันเหมือนรู้สึกจากข้างในว่าฤดูร้อนมาถึงแล้ว
ฉันรู้สึกเบ่งบาน และดีใจ
และใช่ ฉันรู้สึกภูมิใจกับตัวเองเป็นอย่างมาก
ตอนนั้นฉันอายุ18
ฉันพบว่าการพบปะคนใหม่ๆมักทำให้ฉันรู้สึกไม่สบายใจในหลายครั้ง
เวลาที่นำเสนออะไรก็จะประหม่าไม่เลิก
แต่ตอนนั้นฉันต้องเข้าสัมภาษณ์ครั้งแรก
และเป็นการวีดีโอคอลจากอีกประเทศนึง
ฉันยื่นทุนนี้ด้วยตัวเอง
ไม่มีโค้ช
ไม่เคยซ้อมตอบคำถาม
ไม่มีใครมาบอกว่าต้องทำอย่างไรบ้าง
แค่เชื่อมั่นในตัวเองเข้าไว้
นั่นคือสิ่งที่ฉันพูดกับตัวเอง
.
.
เราเอาอยู่อยู่แล้วหน่า
.
.
ฉันจำเอกสารแนะนำตัวของตัวเองได้
จำความรู้สึกและเหตุการณ์ในวันนั้นได้
ฉันจำคำถามได้
และจำได้ว่าพูดอะไรออกไป
และผลประกาศว่าฉันติดมหาลัยที่นั่น
ฉันรู้สึกดีใจ
มันรู้สึกกระอักกระอ่วนไปหมด
วันนั้นเหมือนเป็นวันที่ดีมาก ๆ
.
.
.
และใช่ ถ้าฉันไป ตอนนี้คุณคงไม่ได้อ่านบทความนี้
เพราะฉันคงวุ่นกับการปรับพื้นฐานในฐานะนักศึกษาปี1 ที่โน่น
ฉันตัดสินใจที่จะไม่ไปต่อกับเส้นทางนั้น
มันอาจจะฟังดูน่าเศร้า
แต่ว่าฉันเลือกแล้ว
ด้วยเหตุผลที่ดีมากพอ
ฉันเลยเลือกอีกเส้นทางของชีวิต
.
.
.
ฉันมองว่าชีวิตนี้มีหลายเส้นทางให้เราเดิน และแต่ละทางจะพาเราไปในทางของมัน
ถึงคนที่โอบกอดซึ่งชีวิตที่ดีกว่านี้
ชีวิตที่เรามีนี้คือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว
ความจริงที่ว่าเราแก้ไขอดีตไม่ได้คือสิ่งที่เราต้องค่อยๆทำใจยอมรับมัน
หลายๆอย่างอาจจะดูยากเย็นและเจ็บปวด
แต่เราต้องเริ่มก้าวแรก และค่อยๆก้าวต่อไปนะ
warmth
ฉันยังรู้สึกถึงรสชาติที่หอมหวานของการได้ไล่ล่าตามความฝัน
คืนวันของวัย 18 นั้นหอมหวานเหลือเกิน
การที่ครั้งนึงได้เททั้งหน้าตักเพื่ออะไรสักอย่างนั้น
เป็นความรู้สึกเหมือนนกที่ได้บินสูงที่สุดในชีวิต
ถึงจะดูเต็มไปด้วยความกังวลแต่ก็สง่างามเหลือเกิน
มันเหมือนกับว่าคุณได้จุดไฟกองนึงขึ้นมา
และคอยเฝ้าปกป้องมันอยู่ทั้งปี
มันคือการที่เราเลือกที่จะยอมแลกทุกอย่างเพื่อปกป้องความฝันของตัวเอง
และนั่น ก็คือครั้งแรกที่ฉันได้เรียนรู้ที่จะเลือกตัวฉันเองจริง ๆ
ฉันเองก็หวังว่า
คุณจะได้พบกับคืนวันแบบนั้นเช่นกันนะคะ
คำถามในหนังสือของเกล็นนอนดอยน์
คุณเป็นใคร
“ ฉันคือศิลปิน , ฉันเป็นผู้สร้าง “
ฉันไม่ใช่แค่พูด
ฉันทำให้ข้อความบนกระดาษพวกนั้นเกิดขึ้นจริง ๆ
ฉันก้าวขาออกไป
ฉันมีความกล้า
ฉันไม่ต้องการการอนุญาตจากใครนอกจากตัวเอง
แค่มีฉัน ความต้องการ แค่นั้นแหล่ะเพียงพอแล้ว
ถึงแม้จะล้ม เราแค่ปัดฝุ่นและเริ่มใหม่
ต่อให้ปีนี้จะเจออะไรมาเยอะมากมาย
ไม่ว่าจะรสขมฝาดของความล้มเหลว
หรือจะหอมหวานของชัยชนะ
ฉันได้ลิ้มรสมาหมดเลยหล่ะ !
และนั่นต่างหากคือสิ่งที่สำคัญ
Soundtrack of this part :
Howl’s Moving Castle OST - Promise of the World
อิสระภาพ
อิสระภาพนั้น
หลายคนอาจจะไม่มี
และหลายคนนั้นมีอยู่ในมือ
แต่เราจะรู้สึกถึงมันได้ทุกคนอย่างนั้นหรือ ?
ชีวิตของมนุษย์นั้นมีพื้นฐานส่วนใหญ่มาจากครอบครัว
มันคือส่วนหนึ่งของเรา
ไม่ว่าจะการเจริญเติบโต การเลี้ยงดู
สิ่งต่างๆล้วนส่งผลกระทบมาถึงปัจจุบันและจนวันสุดท้ายของชีวิต
และครอบครัวนั้นก็เป็นแม้กระทั่งเลือดเนื้อที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายเราตอนนี้
พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยความเคารพและไว้ใจต่างหาก
ถึงจะสามารถทำให้เด็กคนนั้นสัมผัสได้ถึงอิสระที่แท้จริงในชีวิตเขาได้
พ่อแม่ที่ไม่มีความไว้ใจในตัวลูก
มักไม่มีความไว้ใจในตัวเพื่อน ครอบครัว หรือสังคมแวดล้อมรอบตัวเขา
และเช่นเดียวกัน พวกเขาไม่มีความไว้ใจในตัวเองด้วยซ้ำ
เพราะการที่คนคนนึงไม่มีความไว้วางใจในตัวเอง
เขาจึงไม่สามารถที่จะส่งต่อมันให้ผู้ใดได้อีกเลย
ฉันค้นพบว่าการโตขึ้นแล้วเลิกเป็นห่วงคนอื่นนั้นไม่ใช่การปล่อยวาง
แต่มันคือการไว้ใจ
ไว้ใจในคนคนนึงว่าจะรับผิดชอบต่อชีวิตเขาได้
ไว้ใจว่าคนคนนั้นจะสามารถรับผิดชอบต่อสิ่งที่เขาเลือก
พ่อแม่เองก็เป็นแค่เด็กคนนึงที่เติบโตขึ้นมา
พวกเขาก็ถูกโลกใบนี้ย้อมสีชีวิตเหมือนกัน
พวกเขามองดูชีวิตตัวเองที่สดใสจนกลายเป็นสีเทา
พวกเขาพบเจออุปสรรค ความเจ็บปวด ที่กระทบกระเทือนจิตใจ
และส่งผลต่อความเป็นคนของพวกเขา
พวกเขาเคยมั่นใจ และไม่มั่นใจ
พวกเขาเคยมี และสูญเสีย
พวกเขาสนุก ร้องไห้ และเรียนรู้
และวันนี้เด็กคนนั้นก็เติบโตขึ้น
มาอยู่ในบทบาทของพ่อแม่
เด็ก ๆ เองก็ อย่ากดดันพวกเขาเลยนะ
เราต่างก็รู้ดีว่าบางที คนคนนึงก็ไม่รู้ว่าจะจัดการกับชีวิตนี้ยังไงเช่นกัน
เราทุกคนต่างก็รู้กันดี
เราไม่เคยเตรียมรับมือกับปัญหาที่มันถาโถมเข้ามา
เราทำได้แค่คลำหาทางออกไปเรื่อย ๆ เท่านั้นเอง
และถึงเด็ก ๆ ในวัยเยาว์ซึ่งตอนนี้โตมาเป็นพ่อแม่กันแล้ว
จงไว้ใจว่าลูก ๆ จะทำได้และผ่านไปได้เถอะนะ
บางทีการตัดสินใจเล็ก ๆ นั้น
อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตของใครคนนึงก็ได้
ความรักต่อลูกเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดที่พ่อแม่จะให้กับลูกได้
และความไว้วางใจนั้น ก็เป็นสิ่งที่อีกคนจะให้กับอีกคนได้เช่นกัน
“ ไม่ใช่ว่าฉันไม่ห่วงใย
เพียงแต่ฉันเชื่อมั่นว่าพวกเขาสามารถที่จะผ่านอุปสรรคไปได้ด้วยตัวเองต่างหาก “
Understand
Soundtrack of this part :
One direction - Night changes
มีชีวิตซะ
ฉันรักการเขียนบันทึกในแต่ละวัน
ฉันตระหนักได้ถึงเวลาที่กำลังเดินไปเรื่อย ๆ
ฉันจะไม่ได้ตื่นมาในวันนี้อีกรอบและอีกเลยในชีวิตนี้
อีกเหตุผลที่เลิกเล่นโซเชียลสักพักเพราะอยากที่จะมีชีวิตจริง ๆ
เพราะว่ามันไม่ย้อนกลับมา
We are young,
We are wild,
And free.
เป็นสิ่งที่ฉันพูดกับตัวเองบ่อย ๆ
ถึงเด็ก ๆ หลาย ๆ คน ปัญหาตอนนี้อาจจะดูยากเย็น
แต่สักวันจะกลายเป็นแค่จุดเล็ก ๆ ในชีวิตเมื่อมองย้อนกลับมา
ออกไปใช้ชีวิตและเก็บเกี่ยวประสบการณ์เถอะนะ
เล่นให้สุด ๆ และรักษาตนไว้เสมอ
ไม่รู้สิ่ ฉันยังจำความรู้สึกตื่นเต้นในงานวันเกิดอายุครบ6ขวบได้อยู่เลย
คืนนั้นมีเพื่อนหลายคนมาที่งาน
ฉันสัมผัสได้ถึงลมเย็น ๆ ของหน้าหนาวเดือนพฤศจิกายนปี 2009
ฉันรู้สึกถึงแสงจ้าจากไฟทุกสีที่ประดับไปตามผนังในวันนั้น
ฉันเดินไม่ระวังจนโดนประตูหนีบเท้าเข้า
ฉันจำความรู้สึกเจ็บจี๊ดจนแทบจะกรี้ดนั้นได้
มันเหมือนพึ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง
และเหมือนแค่หลับตา
ตอนนี้ฉันกลายเป็นน้าของหลาน ๆ หลาย ๆ คน
อีกไม่กี่ปีฉันต้องทำงาน จ่ายภาษี
และอาจจะมีครอบครัว
และต้องค่อย ๆ เลี้ยงลูกของตัวเองเช่นกัน
ช่วงเวลาในตอนนี้จะไม่มีวันย้อนคืนได้อีกเลย
จงออกไปลงมือทำเมื่อมีความรู้สึกลึก ๆ ว่าอยากทำ
เพราะนั่นมันหมายความว่าเราพร้อมแล้ว
อย่าได้กลัวความเจ็บปวดและการพ่ายแพ้
เพราะมันเป็นแค่อีกรสชาติของชีวิต
Childhood, bday party lights
Soundtrack of this part :
Sufjan Stevens - Mystery Of Love
ฉันดีใจที่ได้เจอคุณวันนี้
ขอบคุณที่ทำความรู้จักฉัน
คุณได้อ่านงานเขียนที่ผ่านชีวิต
จิตวิญญาณ สื่อที่ฉันเสพ หนังสือที่ฉันอ่าน บทความ กวี และดนตรี
งานที่ฉันใช้ใจรักในการสร้างขึ้นมา
ฉันเขียนบทความนี้เพื่อสนองความต้องการ
เพื่อวิเคราะห์ และปลดปล่อยตัวตนของฉันเอง
ผู้อ่านของฉันนั้นคือคนแปลกหน้าที่สนิทกัน
เราไม่ต้องเป็นเพื่อนกันก็ได้
แต่คุณสัมผัสได้ ว่าฉันหายใจและมีชีวิตอยู่ในตอนนี้
ฉันเริ่มเขียนบทความตั้งแต่อายุ 14 แต่ได้ปล่อยครั้งแรกตอน 17
ฉันไม่เชื่อเรื่องที่ว่าเริ่มก่อน จะได้ไปก่อนคนอื่น
และก็ไม่มีการแข่งขันกับตัวเองคนเมื่อวานอะไรนั่นด้วย
ฉันจะเริ่มก็ตอนที่ฉันอยากเริ่ม
พักตอนที่ฉันอยากพัก
และเลิก ตอนที่รู้สึกว่า
อือ ตอนนี้แหล่ะ กำลังดีเลย เลิกดีกว่า
และใช่
ฉันคือคนคนนั้น
ต่อให้ไม่มีคนฟัง ฉันก็จะร้องต่อไป
ต่อให้ไม่มีคนดู ฉันก็จะเต้นต่อไป
ฉันรักตอนที่เท้าอยู่บนเวที
ไฟที่สาดส่องและไล่ตาม
ร่างกายที่ไหลไปตามเสียงดนตรี
ความสุขที่ได้ทำและได้เป็น
โดยปราศจากซึ่งการต้องการคำชม
คือสิ่งที่ฉันอยากให้ทุกคนได้ลองค้นหาดูนะคะ
อย่างไรก็ตาม ถ้าหากฉันสามารถสร้างแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตของคุณได้ ได้โปรดรับคำขอบคุณอย่างสุดซึ้ง เพราะนั้นคืออีกหนึ่งเป้าหมายของฉัน
Happiness
ฉันไม่ได้มองว่าโตขึ้นฉันต้องเป็นศิลปินใหญ่โต
มีผู้คนรู้จักมากมาย
แต่ฉันจะฉลองให้อาชีพ
หน้าที่การงาน
หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ฉันจะมี
ฉันไว้ใจตัวเอง ไม่ว่าเธอจะเลือกอะไร
ฉันก็จะเคารพการตัดสินใจ ณ ตอนนั้นของเธอเสมอ
ฉันอาจจะกลายเป็นเศรษฐีอยู่ที่ริมหาดสักที่ ยืนดูพระอาทิตย์ขึ้นตรงนั้น
ไม่ก็
พนักงานออฟฟิศที่แอบไปเข้าพิพิธภัณฑ์หรือนิทรรศกาลช่วงพักเที่ยง
ดื่มเบียร์ในช่วงเย็น
อ่านหนังสือสักเล่มก่อนนอนเหมือนตอนนี้
หรือไม่ก็
ยืนอยู่บนเวทีกำลังพูดให้กำลังใจคนสักกลุ่ม ......
และอาจจะใช้ชีวิตเหมือน anella ตัวละครแม่จาก call me by your name
(นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกว่า ใช่หล่ะ
นี่สิ่ผู้ใหญ่ที่ฉันอยากจะเป็น แบบนี้เลย
ในบ้านแบบนี้ ในสวนแบบนี้
แต่งตัวแบบนี้ ฉันชอบที่เธอพูดและเข้าใจหลายๆภาษานะ มันทำให้เราเข้าถึงศิลปะและผู้คนจากหลาย ๆ ที่ดี)
มีหลายทางแยกที่ฉันสามารถไปได้
แต่ไม่ว่ายังไง ฉันก็จะมีความสุขกับสิ่งเหล่านั้นนั่นแหล่ะ
และอาจทำงานเล็กๆแบบนี้ออกมาเรื่อย ๆ ในชื่อของตัวเอง
หรือไม่ก็เปลี่ยนชื่อ
ฉันอาจจะเป็นแบบนั้น …
หรือไม่ก็แบบนี้ ….
แต่ฉันรู้แค่ว่า จะต้องเป็นฉันอยู่ตลอดแน่นอน
เราต้องไว้ใจตัวเองมากพอจนสามารถปล่อยให้เธอคนนั้นเป็นอิสระได้
เพราะตัวตนนั้นเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
คุณทำได้นะ มันไม่อยากเกินไปหรอก ลองทำเรื่องที่ท้าทายดูก็ได้นะ
" เราก็แค่คิดว่า มันเป็นเรื่องท้ายไง! "
คำพูดจากเพื่อนของฉันตอนที่รู้สึกกังวลกับสถานการณ์ตรงหน้า, ขอบคุณนะบีบี.
สุดท้ายแล้วขอบคุณ เกล็นนอน ดอยน์
งานเขียนของคุณมีอิทธิพลอย่างมากต่อฉัน
บทความ และชีวิต
อองตวน เดอ แซงแต็กซูแปคี
ฮาวัล
คึลแบอู
และมากไปกว่าใครทั้งนั้น
ขอบคุณฉันในวัย 17 และ 18 ปี เธอเป็นคนที่ฉันจะนับถือและเอาเป็นแบบอย่าง
และก่อนที่จะบอกลากัน
ฉันมีคำอวยพรให้ด้วยนะ
ถึงแม้ชีวิตนี้เราจะกำหนดมันเองก็ตาม
แต่ก็อย่าลืมเปิดใจยอมรับความหวังดีจากคนอื่นด้วยหล่ะ
ฉันชอบคำอวยพรที่ส่งให้เพื่อนคนนึงมาก ๆ
ฉันเขียนมันในช่วงเวลานึง ไม่ได้พิเศษอะไร เป็นความจริงธรรมดา ๆ ของชีวิตคนเราก็เท่านั้น
“ สุขสันต์วันเกิดนะ วันนี้อายุครบ18ปีแล้ว
รักษาสภาพร่างกายและจิตใจให้แข็งแรงไปนาน ๆ หล่ะ
ปีนี้ขอให้มีความสุขกับชีวิตที่ต่างประเทศ ไปอยู่จีน1ปีก็ไปเปิดหูเปิดตานะ
เจอคนใหม่ ๆ วัฒนธรรมใหม่ๆ อาหารใหม่ ๆ
ขอให้ถูกอกถูกใจ
ไปเที่ยวเมืองอื่นเยอะ ๆ ลองทำอะไรใหม่ ๆ บ้าง
กินหม่าล่าแซ่บ ๆ กับเบียร์ชิงเต่าซู่ซ่า
ถึงจะกลับมาแล้วก็ขอให้ได้เรียนได้ทำงานในอาชีพที่ตัวเองมีความสุขในทุก ๆ เช้า
ขอให้พบความสุขเรียบง่ายในทุก ๆ วัน ๆ
“ และถึงแม้ชีวิตนี้ไม่อาจเต็มไปด้วยเรื่องดี ๆ
ที่ทำให้ต้องรู้สึกว่าอยากจะฉลองอยู่ตลอดเวลา
แต่มันก็ใช่จะเต็มไปด้วยความทุกข์ใจตลอดทางเหมือนกัน “
มักจะมีเรื่องที่ดีและแย่เกิดขึ้นอยู่หลายครั้ง
อย่าใช้ชีวิตที่ตึงและหย่อนจนเกินไป
ออกไปเดินเล่นในเวลาที่รู้สึกตันจนคิดไม่ออก
เพราะบางทีแล้ว เราอาจจะต้องพึ่งพาข้างในลึก ๆ ของตัวเองมากกว่าสิ่งใด
หนังสือเล่มไหน หรืออะไรอื่น ๆ
ขอให้แจนแวนยังมีความหวังที่จะเดินไปหาตัวเองในเว่อร์ชั่นที่ดีอยู่เสมอ
มีชีวิตในแบบที่เราได้เลือก
และถึงแม้จะเลือกไม่ได้ไปหมดส้ะทุกอย่าง
แต่อย่างน้อยก็ขอให้ได้เลือกว่าเย็นนี้จะกินอะไรดี
ขอให้เบียร์ชิงเต่าซู่ซ่านะ 🍻🍻
เพราะบางทีแล้ว ไม่มีสิ่งใดเลย ที่จะสำคัญมากเกินไปกว่าตัวเราเอง
จงอ่านเฉกเช่นผู้มีปัญญา
และขอให้ชีวิตนี้มีอิสระมากขึ้นในทุก ๆ วัน
ปลายปากกาของสุดที่รัก.
SUTTHIRUK.
โฆษณา