26 พ.ค. 2022 เวลา 13:42 • ประวัติศาสตร์
Series: จักรวรรดิโรมัน
EP2: อาชีพโสเภณี มีหลายชื่อเรียก หลายประเภท และแรงจูงใจ
1
เครดิตภาพ: (ซ้าย) https://www.abc.es/historia/abci-extranas-practicas-sexuales-prostitutas-antigua-roma-201808070127_noticia.html, (ขวา) Wikimedia Commons
  • บทเกริ่นนำ
ชาวโรมันสมัยโบราณถือเรื่องพรหมจารีย์ของสตรีก่อนแต่งงานมาตั้งแต่สมัยยุคสาธารณรัฐโรมัน (509 – 27 ปี ก่อน ค.ศ.) สตรีชาวโรมันบูชาเทพีแห่งความบริสุทธิ์ซึ่งมีพระนามว่า “พูดิซิเชีย” (Pudicitia)
1
โดยมีความเชื่อว่าสตรีผู้มีพรหมจรรย์เท่านั้นที่จะเข้าไปในวิหารของพระนางได้ บุรุษคนแรกและคนเดียวในชีวิตของสตรีโรมัน (โดยเฉพาะสตรีชั้นสูง) คือสามีของนางเท่านั้น ขณะที่บุรุษชาวโรมันสามารถมีนางบำเรอและใช้บริการหญิงโสเภณีได้อย่างกว้างขวาง
1
รูปปั้นของเทพี Pudicitia ที่มา: https://art.thewalters.org/detail/11570/woman
เมื่อมาถึงยุคจักรวรรดิโรมัน สมัยจักรพรรดิเอากุสตุส (Augustus) พระองค์ทรงยิ่งเรียกร้องให้หญิงโรมันเป็นเมียและแม่ที่ดี ทั้งยังต้องการยกระดับศีลธรรมและเพิ่มประชากรในครอบครัวชาวโรมันชั้นสูง
โดยพระองค์ได้ทำให้เป็นตัวอย่าง โดยการเนรเทศจูเลีย (Julia) บุตรสาวของตนเอง ไปยังเกาะพานดาเทเรีย (Pandateria) เมื่อมีข้อครหาว่านางคบชู้ เป็นที่มาของชื่อกฎหมายต้านการมีชู้และส่งเสริมให้คนมีลูก ชื่อว่า “Lex Julia de Maritandis Ordinibus” หรือแปลเป็นภาษาอังกฤษได้คือ “Julian Marriage Laws”
ภาพวาด: จักรพรรดิ Augustus มีคำสั่งเนรเทศ Julia ลูกสาว ไปอยู่ที่เกาะ Pandateria ที่มา: https://classicalwisdom.com/culture/history/the-banishment-of-julia-augusti-part-3
อย่างไรก็ตามกฎหมายลงโทษคนมีชู้ (ไม่นับว่าการมีสัมพันธ์กับทาสหญิงเป็นการมีชู้) ของจักรพรรดิเอากุสตุสนั้นได้รับคำวิจารณ์ในแง่ลบเป็นอย่างมาก จนต่อมาต้องมีการแก้กฎหมายในปีที่ 9 ก่อนคริสต์ศักราช
  • จักรพรรดิเอากุสตุสยังได้ตรากฎหมายดังกล่าว โดยกำหนดให้ชายหญิงที่มีอายุ 20-55 ปี แต่งงานและมีลูก ไม่อย่างนั้นจะต้องเสีย “ภาษีคนโสดและไร้บุตร” อีกทั้งยังทรงเพิ่มเงินรางวัลเป็นค่าเลี้ยงดูลูกให้แก่คู่แต่งงานที่มีลูกด้วย (คล้ายกับแคมเปญสมัยนี้ของบางประเทศที่ต้องการส่งเสริมให้คนมีลูกเยอะๆ)
1
เหมือนเป็นดาบสองคม กฎหมายดังกล่าวทำให้หญิงโรมันบางกลุ่มที่ไม่ต้องการมีสามีหรือลูก หันไปจดและขึ้นทะเบียนเป็นโสเภณี ซึ่งเป็นอาชีพที่มีมาแต่โบราณแล้วในสมัยนั้น เพื่อที่จะไม่ได้ถูกบังคับแต่งงาน และเสียภาษีจำนวนมาก รวมถึงยังได้มีรายได้อีกด้วย
  • ตำนานเรื่องเล่าของ Acca Larentia
รูปปั้นของหญิงสาวตามตำนานเรื่องเล่าชื่อ Acca Larentia เครดิตภาพ: Wikimedia Commons, CC BY-SA 3.0
ในหมู่หญิงสาวที่ทำงานอาชีพโสเภณีในสมัยจักรวรรดิโรมัน จะมีการพูดถึงเรื่องราวของ Acca Larentia (อัคคา ลาเรนเทีย)
1
...
ตามตำนานกล่าวกันว่า นางมีชีวิตอยู่ในยุคเดียวกับโรมูลัส (ผู้ก่อตั้งกรุงโรม) และเชื่อกันว่านางคือแม่บุญธรรมของท่านผู้ก่อตั้ง หลังจากทำงานให้ความสำราญแก่คนใหญ่คนโตในยุคนั้นรวมถึงเฮอร์คิวลิสด้วย ลาเรนเทียก็แต่งงานตามปกติ หลังจากใข้ชีวิตวัยชราอย่างเป็นสุข นางก็จากไปและทิ้งสมบัติจำนวนมากให้แก่ชาวโรมัน รวมถึงเป็นที่มาของการเฉลิมฉลองในเทศกาลลาเรนเทีย ทุกวันที่ 23 ธันวาคม
1
...
เรื่องราวดังกล่าวเป็นแรงบันดาลใจให้หญิงในอาชีพโสเภณีของกรุงโรมยุคนั้น ใฝ่ฝันอยากที่จะเป็นเหมือนลาเรนเทีย
2
  • Meretrix vs Prostibulae
ภาพวาดหญิงสาวโสเภณีในยุคจักรวรรดิโรมัน ที่มา: https://www.pilloledistoria.it/9171/storia-antica/aspetto-prostituta-dellantica-roma-rosso?lang=en
แม้สังคมโรมันโบราณจะให้ความสำคัญกับการครองตัวของสตรี อาชีพโสเภณีในยุคนั้นถือเป็นเรื่องถูกกฎหมาย และมีหลายระดับชั้น หญิงงามระดับบนที่เป็นหญิงชั้นสูงในโรมก็มีไม่น้อย อีกทั้งยังมีอิสระกว่าโสเภณีระดับล่างลงมาซึ่งมักเป็นทาสหรือหญิงสามัญชนที่ขัดสนเงินทอง
...
  • Meretrix (เมเรทริกซ์) คือ หญิงโสเภณีชั้นสูงที่ลงทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย และมีอัตราค่าตัวที่ชัดเจนกว่าหญิงที่ไม่ได้ลงทะเบียนกับทางการ
1
  • Prostibulae (พรอสติบูเล) คือ หญิงโสเภณีระดับล่างที่ไม่ได้ลงทะเบียนตามกฎหมาย ให้บริการตามข้างถนนในเมือง ส่วนใหญ่ทำงานเพื่อแลกกับขนมปังก้อนนิดหน่อยและไวน์จำนวนหนึ่งเท่านั้น จะเห็นว่าคำนี้เป็นรากศัพท์ให้กับคำภาษาอังกฤษว่า Prostitute (ขายตัว, ค้าประเวณี) ที่ใช้ในปัจจุบัน
...
สำหรับหญิงที่ตั้งใจจะทำงานเป็นโสเภณีแบบ Meretrix จะต้องไปพบกับเจ้าหน้าที่ปกครอง แจ้งชื่อ อายุ และสถานที่เกิด จากนั้นก็จะมีการเลือกนามแฝงสำหรับใข้เป็นชื่อเรียกในการทำงาน เพราะครอบครัวส่วนใหญ่จะไม่ยอมให้ใช้ชื่อสกุลเดิมใช้ในการทำงานแบบนี้
เจ้าหน้าที่ปกครองจะออกใบอนุญาตให้ และทำการประเมินคร่าวๆ ว่านางควรคิดค่าตัวเท่าไหร่ และนางต้องจ่ายภาษีตามจำนวนลูกค้าต่อหัว เหมือนเป็นค่าหัวคิว
...
  • จักรพรรดิคาลิกูลา คือคนแรกที่เรียกเก็บภาษีจากรายได้ของโสเภณี โดยคิดเป็น % จากที่ได้ในแต่ละครั้งที่ทำงาน และยังเพิ่มเงื่อนไขว่าทุกคนที่เคยทำงานอาชีพนี้จะต้องจ่ายภาษีนี้แม้ว่าจะแต่งงานไปแล้วก็ตาม เริ่มในช่วง ค.ศ. 37-41 เพื่อป้องกันสาวโสดทั้งหลายจะพากันหนีไปเป็นโสเภณีกันหมดเพื่อจะได้ไม่ต้องแบกรับภาระจากภาษีคนโสดและไร้บุตร ที่ตราขึ้นในสมัยจักรพรรดิเอากุสตุส
1
รูปปั้นจักรพรรดิคาลิกูลา เครดิตภาพ: Wikimedia Commons
  • สภาพชีวิตการทำงานของโสเภณีในสมัยจักรวรรดิโรมัน
แหล่งที่เป็นสถานที่ที่จะพบโสเภณีจำนวนมากในสมัยนั้น เช่น
  • ตีนเนินเซเลียน บริเวณนี้คนที่ใช้บริการจะเป็นคนที่อยู่บนเนิน และแผงของคนงานซึ่งปิดในเวลากลางคืน
  • ซูบาร์ราหรือคาริเนียตรงตีนเนินเอสควิลิเน บริเวณนี้เต็มไปด้วยซ่อง (Brothel) หรือแบบอิสระ
1
  • ฐานของรูปปั้นยักษ์ของเทพแห่งดวงอาทิตย์ (Fornes) เป็นชื่อของซุ้มประตูโค้งของสนามประลองขนาดใหญ่อยู่ในบริเวณโคลอสเซียม
2
สภาพซ่องในยุคนั้น ที่มาภาพ: https://www.cambridge.org/core/books/prostitutes-and-matrons-in-the-roman-world/prostitutes-and-matrons-in-the-urban-landscape/A32FD428A0367AD136F99B6119769929
...
สภาพของซ่องโสเภณีในยุคนั้นตามรูปด้านบน มีทางเดินเข้าไปและแบ่งซอยเป็นห้องเล็กๆ (เป็นคอกกั้น) และอับคับแคบมากๆ ไม่มีหน้าต่าง โดยมีม่านกั้นฉากจากโถงทางเดินหลัก ถัดจากผ้าม่านเป็นป้ายเล็กๆ ที่บอกชื่อนาง ราคา และความเชี่ยวชาญของนาง มีป้ายถ้าพลิกด้านที่เขียนว่า “ไม่ว่าง” แปลว่าต้องรอคิว
2
เตียงนอนทำจากคอนกรีตแข็งๆ และฟูกหนาๆ พอช่วยรับน้ำหนักได้บ้าง คลุมด้วยผ้าปูที่ถูกเปลี่ยนอยู่บ่อยๆ มีการจุดตะเกียงน้ำมันเพื่อความผ่อนคลายจากกลิ่นควัน
หญิงที่ขายบริการเป็นโสเภณีในยุคนั้นจะมีการแต่งตัวที่ทำให้รู้เลยว่ามีอาชีพอะไร นั่นคือ การสวมโทกา (Toga) หรือชุดที่ปกติชายในยุคนั้นใส่ และเน้นใส่เสื้อผ้าสีสดใสสะดุดตาอีกด้วย
2
ต่างจากหญิงสาวปกติผู้ครองเรือนที่จะสวมสโตลา (Stola) ด้วยเหตุผลที่ว่า โทกาเหมาะแก่การใช้งานในอาชีพนี้ เพราะไม่มีสายรัด สามารถร่วงลงพื้นได้เพียงยักไหล่แบบที่ฝึกมา และเมื่ออยู่บนพื้นแล้ว ก็ทำหน้าที่เป็นผ้าคลุมนุ่มๆไปในตัวอีกด้วย
2
หญิงในสมัยโรมันโบราณ แต่งตัวด้วยชุดโทกา เครดิตภาพ: DEA / G. DAGLI ORTI / Getty Images
หญิงในสมัยโรมันโบราณ แต่งตัวด้วยชุดสโตลา เครดิตภาพ: https://www.romawonder.com/fashion-ancient-rome-togas-underwear-wedding-dresses
  • คำศัพท์ที่เกี่ยวข้องในวงการ:
Delicatae: โสเภณีที่มาจากชนชั้นกลาง บางคนเป็นนักแสดง
1
Famosae: โสเภณีที่มาจากชนชั้นสูง
1
Ancilla ornatrice: เด็กสาวที่ช่วยทำความสะอาดตัวและทำผมให้กับโสเภณีหลังจากเสร็จกิจกามแต่ละครั้ง และบางครั้งก็เป็นคนปลุกใจพวกนางด้วยไวน์เพื่อเตรียมสำหรับรับแขกรอบต่อไป
1
Galina: โสเภณีประเภทหนึ่งที่หลอกล่อแขกมาปลดทรัพย์ คล้ายๆเป็นนางนกต่อหลอกเหยื่อมาที่ลับรอจี้ปล้น
Dorides: หญิงเปลือยกายอยู่ตรงประตูของซ่องบางแห่งเพื่อยั่วคนที่เดินผ่านไปมา เป็นการเรียกแขก
1
Nonaria: โสเภณีที่ทำงานข้างถนนและได้รับอนุญาตให้ทำได้ก็ต่อเมื่อคนส่วนใหญ่เลิกงานแล้วตอนบ่าย 3 โมง
1
  • แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
มาทิสซาค, ฟิลิป., 24 hours in ancient Rome: a day in the life of the people who lived there. ไอริสา ชั้นสิริ, ผู้แปล. (กรุงเทพฯ: ยิปซี กรุ๊ป, 2563). หน้า 250 - 260
โฆษณา