6 มิ.ย. 2022 เวลา 13:20 • หนังสือ
คุณคิดว่าระหว่าง “เงินน้อย เริ่มเร็ว ลงทุนยาวๆ” กับ “รอเก็บเงินก้อนก่อน ค่อยลงทุน” ถ้าเลือกลงทุนถูกตัว แบบไหนมีโอกาสเกิดมหัศจรรย์ของ “เงินทบต้น” มากกว่ากัน?
สรุปหนังสือ The Psychology of Money ตอนที่ 5
ในสัปดาห์ที่แล้ว แอดก็ได้เล่าถึงบทที่ 3 ของจิตวิทยาว่าด้วยเงินไปแล้ว นั่นคือเรื่องของ “ไม่เคยพอ” ค่ะ
ในสัปดาห์นี้ แอดก็จะมาเล่าต่อในบทที่ 4 ว่าด้วยเรื่องของ “การทบต้นที่ทำให้งงงวย” เนื้อหามีดังนี้
Topic:
1. “ความมั่งคั่ง” เกิดในช่วงเวลาไหนของการลงทุน?
2. ทฤษฎีการเกิดยุคน้ำแข็ง
3. บทเรียนเรื่อง “ยุคน้ำแข็ง” กับ ความมหัศจรรย์ของ “เงินทบต้น”
4. พอร์ตการลงทุนของ “วอร์เร็น บัฟเฟตต์”
5. บทสรุปของ “เงินทบต้น”
2
ถ้าใครสนใจอยากรู้แล้วว่า... “ยุคน้ำแข็ง” เกี่ยวอะไรกับ “เงินทบต้น” ก็ตามมาอ่านกันได้เลยค่ะ!!!
ในจำนวน 84,500 ล้านเหรียญของมูลค่าความมั่งคั่งสุทธิของวอร์เร็น บัฟเฟตต์ มี 81,500 พันล้านเหรียญที่ได้มาหลังจากวันเกิดปีที่ 65 ของเขา สมองของเราไม่ได้ถูกสร้างมาให้รับมือกับความไม่สมเหตุสมผลดังกล่าว
บนเรียนจากเรื่องหนึ่งมักจะสามารถสอนอะไรเราบางอย่างที่สำคัญในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกันได้ การเรียนรู้เรื่องประวัติศาสตร์ยุคน้ำแข็งพันล้านปี สามารถที่จะสอนเรื่องของการทำให้เงินของคุณเพิ่มมากขึ้นได้
ศตวรรษที่ 19 นักวิทยาศาสตร์เห็นพ้องกันว่าโลกนั้นเคยถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งมาแล้วหลายครั้ง มีหลักฐานมากมายเกินกว่าที่จะโต้แย้งเป็นอื่น
ทั่วทั้งโลกนั้นมีร่องรอยของโลกน้ำแข็งยุคก่อนหน้า หินก้อนยักษ์ กระจัดกระจายไปตามสถานที่ต่างๆ ชั้นหินถูกกัดกร่อนลงไปจนเป็นชั้นบางๆ หลักฐานปรากฏชัดเจนว่าโลกไม่ได้มียุคน้ำแข็งแค่ยุคเดียว แต่มีถึง 5 ยุคที่เราสามารถวัดได้อย่างชัดเจน
1
คำถามก็คือ?
ปริมาณของพลังงานที่จำเป็นต่อการแช่แข็งโลก ละลายมันใหม่อีกครั้งและแช่แข็งมันอีกครั้งแล้วครั้งเล่านั้นเป็นสิ่งที่น่าตกตะลึง สิ่งใดกันบนโลกที่อาจทำให้เกิดวัฏจักรเหล่านี้? ต้องเป็นพลังงานที่ทรงอานุภาพมากที่สุดบนโลกของเรา
และมันก็เป็นเช่นนั้น เพียงแต่ไม่ได้เป็นไปในรูปแบบที่ใครคาดคิด
ทฤษฎีของมิลานโควิชสันนิษฐานในเบื้องต้นว่า การเอียงของซีกโลกนั้นทำให้เกิดฤดูหนาวที่เย็นมากพอที่จะเปลี่ยนโลกให้เป็นน้ำแข็ง แต่นักอุตุนิยมวิทยาชาวรัสเซียที่ชื่อ วลาดีมีร์ คอปเพิน เจาะลึกลงไปในงานของมิลานโควิชและค้นพบความแตกต่างที่น่าสนใจ
ฤดูร้อนที่มีความเย็นปานกลางแต่ไม่ถึงขนาดความเย็นของฤดูหนาวตกเป็นจำเลยของความเย็นยะเยือกที่ว่านี้
มันเริ่มต้นจาก...ฤดูร้อนที่อบอุ่นไม่มากพอที่จะละลายน้ำแข็งของฤดูหนาวที่แล้ว น้ำแข็งที่ถูกทิ้งเอาไว้ทำให้หิมะสะสมได้ง่ายขึ้นในฤดูหนาวครั้งถัดไปซึ่งทำให้เกิดความเป็นไปได้ที่จะมีหิมะหลงเหลืออยู่ในฤดูร้อนครั้งหน้า ซึ่งดึงดูดการสะสมของหิมะที่มากขึ้นในฤดูหนาวที่ตามมา
หิมะที่คงอยู่อย่างถาวรสะท้อนรังสีของดวงอาทิตย์มากขึ้น ก่อให้เกิดความเย็นและหิมะตกที่รุนแรงขึ้น เป็นเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมา ภายในระยะเวลาไม่กี่ร้อยปี ทุ่งหิมะตามฤดูกาลทับถมเติบโตไปเป็นแผ่นทวีปน้ำแข็ง
ปรากฏการณ์เช่นเดียวกันนี้เกิดขึ้นในทางกลับกัน การเอียงของวงโคจรนั้นทำให้แสงอาทิตย์ละลายทุ่งหิมะในฤดูหนาวได้มากขึ้น และทำให้เกิดการสะท้อนแสงน้อยลงในปีถัดไป อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น หิมะก่อตัวได้ยากขึ้นในปีหน้า และเป็นเช่นนี้ซ้ำไปมา นั่นคือวัฎจักร
เฮาเซิลผู้เขียนหนังสือเล่มนี้บอกว่า...
สิ่งน่าอัศจรรย์ของเรื่องนี้คือ อะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่สามารถเติบโตได้จากการเปลี่ยนแปลงของเงื่อนไขแค่เพียงเล็กน้อย คุณเริ่มต้นจากชั้นหิมะบางๆ ที่ถูกทิ้งเอาไว้จากฤดูร้อนที่มีความเย็น และไม่มีใครคิดว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่แล้วเพียงชั่วพริบตาทางธรณีวิทยา โลกทั้งใบก็ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งแผ่นหนายาวเป็นไมล์
มันไม่สำคัญว่าหิมะจำนวนมากขนาดไหนทำให้เกิดแผ่นน้ำแข็ง สิ่งสำคัญคือยังคงมีหิมะเหลืออยู่แม้เพียงน้อยนิดก็ตาม
เกว็น ชูลทซ์ นักธรณีวิทยา
สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่คุณเรียนรู้ได้จากยุคน้ำแข็งก็คือ คุณไม่จำเป็นจะต้องใช้พลังงานมหาศาลในการสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่
1
หากมีอะไรบางอย่างสะสมเพิ่มขึ้น ถ้าหากการเติบโตเพียงเล็กน้อยทำหน้าที่เป็นดั่งเชื้อเพลิงสำหรับการเติบโตในอนาคต การเริ่มต้นเล็กๆ ก็สามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่น่ามหัศจรรย์เสียจนดูเหมือนว่ามันจะต่อต้านระบบการใช้เหตุผล
1
มันอาจเป็นสิ่งที่ขัดแย้งต่อตรรกะมากเสียจนคุณไม่สามารถเข้าใจได้ว่าการเติบโตนั้นมาจากไหน มันสามารถนำไปสู่อะไรได้บ้าง และประเมินสิ่งที่สามารถเป็นไปได้ต่ำจนเกินไป
1
เช่นเดียวกันกับเรื่องของเงิน
มีหนังสือมากกว่า 2,000 เล่มที่อุทิศแด่วิธีการสร้างทรัพย์สมบัติของวอร์เร็น บัฟเฟตต์ หลายเล่มเป็นหนังสือที่น่าอัศจรรย์ แต่มีเพียงไม่กี่เล่มที่ให้ความสนใจมากพอต่อความจริงพื้นฐานที่ว่า...
โชคลาภของวอร์เร็น บัฟเฟตต์นั้นไม่ได้มาจากการเป็นนักลงทุนที่ดีเพียงอย่างเดียว แต่เขาเป็นนักลงทุนที่ดีตั้งแต่ตอนที่เขายังเป็นเด็ก
เฮาเซิลบอกว่า...ระหว่างที่เขาเขียนหนังสือเล่มนี้ มูลค่าความมั่งคั่งสุทธิของวอร์เร็น บัฟเฟตต์นั้นมีจำนวน 84,500 ล้านเหรียญ โดยที่ 84,200 ล้านเหรียญนั้นเป็นมูลค่าที่สะสมหลังวันเกิดปีที่ 50 ของเขา
วอร์เร็น บัฟเฟตต์ นั้นเป็นนักลงทุนที่น่าอัศจรรย์ แต่คุณจะพลาดประเด็นสำคัญไปหากคุณยึดติดว่าความสำเร็จทั้งหมดของเขานั้นได้มาจากไหวพริบในการลงทุน กุญแจสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จของ วอร์เร็น บัฟเฟตต์ก็คือ เขาเป็นนักลงทุนมหัศจรรย์มาเป็นเวลา 1 ใน 4 ของศตวรรษ
หากเขาเริ่มลงทุนช่วงอายุ 30 และเกษียณในช่วงอายุ 60 จะมีสักกี่คนที่ได้ยินชื่อของเขา
ลองพิจารณาแบบทดสอบทางความคิดเล็กๆ นี้ดู
บัฟเฟตต์เริ่มต้นลงทุนอย่างจริงจังตอนที่เขาอายุได้ 10 ขวบ ในตอนที่เขาอายุ 30 เขามีมูลค่าความมั่งคั่งสุทธิที่ 1 ล้านเหรียญ หรือคิดเป็น 9,300 ล้านเหรียญเมื่อปรับด้วยอัตราเงินเฟ้อ
ถ้าหากว่าเขาเป็นเหมือนกับคนธรรมดาทั่วไปที่ใช้ช่วงชีวิตวัยรุ่นและช่วงอายุ 20 ไปกับการสำรวจโลกและตามหาความหลงใหลของตัวเอง และสมมติว่าตอนที่เขาอายุ 30 เขามีความมั่งคั่งสุทธิ แค่ 25,000 เหรียญล่ะ
และสมมติว่าเขายังคงเดินหน้าได้รับผลตอบแทนการลงทุนอันไม่ธรรมดาที่เขาสามารถสร้างขึ้นมาได้ (22% ต่อปี) แต่ก็เลิกลงทุนและเกษียณอายุตอน 60 เพื่อไปเล่นกอล์ฟและใช้เวลาเล่นกับหลานๆ
มูลค่าความมั่งคั่งสุทธิคร่าวๆ ในปัจจุบันของเขาจะเป็นเท่าใด?
ไม่ใช่ 84,500 ล้านเหรียญ
แต่เป็น 11.9 ล้านเหรียญ
น้อยกว่าความมั่งคั่งสุทธิจริงๆ ของเขา 99.9%
ความสำเร็จทางการเงินทั้งหมดของวอร์เร็น บัฟเฟตต์ นั้นสามารถเชื่อมโยงได้กับพื้นฐานทางการเงินที่เขาสร้างขึ้นในวัยหนุ่ม และการยืนระยะที่เขาคงเอาไว้ในช่วงวัยชรา
ทักษะของเขาคือการลงทุน แต่ทว่าความลับของเขาคือ “กาลเวลา”
นั่นคือวิธีการทำงานของการทบต้น
การลงทุนที่ดีนั้นไม่จำเป็นจะต้องเป็นเรื่องการได้รับผลตอบแทนสูงที่สุด เนื่องจากผลตอบแทนที่ดีที่สุดมักจะเป็นการได้มาครั้งเดียวและไม่สามารถทำซ้ำได้
มันเป็นเรื่องของการได้รับผลตอบแทนค่อนข้างดีที่คุณสามารถยึดติดกับมันและทำต่อไปได้เป็นระยะเวลานาน นั่นเป็นช่วงเวลาที่การทบต้นทำงานอย่างบ้าคลั่ง
อ่านจบแล้วเป็นยังไงบ้างคะ?
ถ้าความลับของ “ยุคน้ำแข็ง” คือ หิมะที่หลงเหลืออยู่ในฤดูร้อน แม้เพียงน้อยนิด
ส่วนความลับของ “การลงทุน” คือ กาลเวลา
แล้วคุณล่ะ ได้คำตอบหรือยังว่าเมื่อไหร่จะเริ่มลงทุน?
โฆษณา