12 มิ.ย. 2022 เวลา 12:19 • เพลง & ซีรีส์ เกาหลี
ไขปริศนาจากเพลง Maison ซิงเกิ้ล First Win แรกหลังเดบิวต์มาแล้ว 5 ปี ของ Dreamcatcher
     สวัสดี สวีดัด หลังจากที่นิสาห่างหายจากการเขียนบทความไปนานมากๆ(เพราะงานประจำนั่นเอง) วันนี้กลับมาอีกแล้วกับคอนเทนต์คอนใจของสาวๆ Dreamcatcher ที่เพิ่งปล่อยออกมาใหม่ล่าสุด และนี่เป็นครั้งแรกกับการมาเขียนบทความใน Blockdit หวังว่าทุกคนจะช่วยซัพพอร์ตนิสากันต่อไปนะคะ
เพราะเป็นครั้งแรกที่เขียนในนี้นิสาเองก็ไม่แน่ใจว่าจะสามารถทำออกมาได้ดีเท่าแต่ก่อนหรือไม่ แต่จะพยายามให้ดีที่สุดเพราะฉะนั้นมาพยายามไปด้วยกันนะคะ
และแม้ว่าครั้งนี้นิสามาช้าไปนิสสสสนึง ต้องขออภัยจริงๆค่ะ รอบนี้คัมแบคงานเขียนแบบเต็มรูปแบบจะไม่ทำให้คุณผู้อ่านผิดหวังแน่นอน เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเราไปเริ่มกันเลยดีกว่าค่ะ
โดยในคราวนี้สาวๆมากับอัลบั้มเต็มที่มีชื่อว่า Apocalypse:Save us นิสามองว่าการตั้งชื่ออัลบั้มแบบนี้ราวกับการบอกกลายๆค่ะว่ามีสตอรี่นี้พาร์ทต่อไปแน่นอน เหมือนคอนเซปต์ที่ผ่านๆมาของดรีมแคชเชอร์นั่นเอง โดยคำว่า apocalypse เป็นคำที่ถูกพบในคัมภีร์ไบเบิลของคริสศาสนา
โดยพบในหนังสือวิวรณ์(The Book of Revelation) ซึ่งเป็นหนังสือเล่มสุดท้ายในคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาใหม่(The New Testament) โดยบอกเล่าถึงวิวรณ์หรือนิมิตของสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเมื่อโลกถึงกาลอวสาน apocalypse จึงมีความหมายโดยรวมว่าวันสิ้นโลก,โลกล่มสลาย แม้ว่าในปัจจุบันนั้นคำๆ นี้จะถูกขยายความออกไปในหลายทางเช่น  การทำลายล้างขั้นรุนแรง(สงคราม,การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์) ความวิปโยค และภัยพิบัติต่างๆแทน
เช่น ถ้าหากประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาทำสงครามนิวเคลียร์ตอบโต้กับทางรัสเซียจริงๆเมื่อนั้นสงครามนั้นจะสร้างการทำลายล้างให้กับโลกของเราอย่างมหาศาลใช่ไหมล่ะคะ เหตุการณ์แบบนี้เราจะเรียกมันว่า A nuclear apocalypse นั่นเองค่ะ นอกจากนี้เจ้าคำๆ นี้ยังถูกนำไปใช้ในความหมายอื่นๆอีกด้วย
อย่าง carpocalypse(คาร์-โพคาลิป) ซึ่งหมายถึงอภิมหารถติดที่ติดยาวหลายกิโลเมตรหรือติดมาหลายชั่วโมงแล้ว หรือจะเป็น snowpocalypse(สโนว์-โพคาลิป) ที่ไม่อาจเกิดขึ้นได้จริงในไทยแต่ความหมายของมันก็คือหิมะที่ตกลงมาอย่างหนักทำให้ไม่สามารถออกจากบ้านหรือทำกิจกรรมข้างนอกได้เลยค่ะ เรียกได้ว่าคราวนี้สาวๆ มาในคอนเซปต์ รักษ์โลกรักษ์เรา นั่นเอง
ส่วนคำว่า save us ที่นำมาต่อท้ายตรงนี้นี่แหละค่ะที่ทำให้นิสาคิดว่าหรือมันอาจจะมีพาร์ทต่อไปโดยใช้ชื่อ Apocalypse:... อื่นในอัลบั้มหน้าของสาวๆก็ได้ค่ะ โดยความหมายของ save us ก็ตรงตัวมากๆ คือ ช่วยเราด้วย ซึ่งมันไปสอดคล้องกับเพลงไตเติ้ลอย่าง Maison(เม-ซง) ค่ะ
โดย Maison เป็นภาษาฝรั่งเศสแปลตรงตัวได้ว่า บ้าน โดยในที่นี้ก็จะหมายถึงโลกของเราค่ะ ชื่ออัลบั้มและชื่อเพลงไตเติ้ลจึงเป็นการบอกใบ้กลายๆถึงการที่ให้เราช่วยรักษาโลก(บ้าน)ของเราก่อนที่วันสิ้นโลกจะมาถึงจริงๆ เอาล่ะตอนนี้เราพอรู้ความหมายและสาส์นที่สาวๆอยากบอกกันแล้ว คราวนี้นิสาจะพาคุณผู้อ่านมาวิเคราะห์เนื้อเพลงและสตอรี่ในเอ็มวีกันนะคะ
เริ่มจากเนื้อเพลงกันเลย ทั้งนี้ทั้งนั้นสำหรับใครที่เพิ่งมาอ่านหรือเพิ่งมารู้จักดรีมแคชเชอร์ต้องขอบอกก่อนว่าเนื้อเพลงของสาวๆ นั้นเบียวไม่ไหวค่ะ555 เพราะแบบนั้นถ้ามันจะดูเวอร์ๆ หน่อยก็ขอให้มองมันเป็นสตอรี่จากหนังหรืออนิเมะสักเรื่องแทนนะคะ
โดยเนื้อเพลงนั้นจะเริ่มมีการอธิบายถึงความรู้สึกของตัวเองที่ต้องทนอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่แปรปรวนไม่ถูกที่ถูกทางแบบนี้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปโลกของเราพังแน่ เพราะแบบนั้นขอร้องล่ะ ใครก็ได้ที่จะสามารถช่วยปกป้องเราและโลกของเราด้วยเถอะ และมีการตั้งคำถามขึ้นมาว่าใครล่ะที่ทำให้โลกมันปั่นป่วนแบบนี้ ใครกันล่ะ คำตอบก็คือตัวเราเองใช่มั้ยล่ะคะ เพราะงั้นในท่อนแรปของดามิจึงมีการบอกว่า
"พวกมนุษย์ต่างก็เห็นแก่ตัวด้วยกันทั้งนั้น หลับตาลงแล้วสำนึกถึงสิ่งที่เคยได้ทำลงไปและคอยดูวันที่โลกมันพังจากการกระทำของคนพวกนั้นได้เลยถึงตอนนั้นจะมาเสียใจก็ไม่ทันแล้ว"
"หากรู้ตัวแล้วทำไมถึงยังเอาแต่นิ่งเฉยล่ะ กฎของโลกนี้มันพังไปหมดแล้วพังเหมือนจิตสำนึกของคนพวกนั้นเธอรู้ดีกว่าใครเลยนี่"
เพื่อเป็นการย้ำเตือนสติว่าเราเองก็อาจเป็นหนึ่งในกลุ่มคนพวกนั้นที่ทำอะไรโดยไม่คิดถึงผลเสียที่กระทบต่อโลกของเราตามมาโดยคิดแค่ว่าแค่นิดๆ หน่อยๆ คงไม่เป็นไร แต่ในทุกๆ วันมีคนที่คิดแบบนี้อยู่เพิ่มขึ้นทุกวันทำให้ผลกระทบมันเริ่มตีเป็นวงกว้าง ตอนนี้ถึงเวลาที่เราจะมาปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรมของตัวเองและคนใกล้ตัวได้แล้วหรือยัง ด้วยท่อนฮุคที่เข้าใจง่ายสุดๆ
"ปกป้องผืนป่าของเรา ปกป้องธารน้ำแข็งไม่ให้มันละลายไปมากกว่านี้ ถ้าขาดมันไปบ้านของเราพังแน่"
"ปกป้องมหาสมุทรของเรา ปกป้องแหล่งทะเลทรายไม่ให้แปรปรวน ขอแค่ใครสักคนที่ฟังและร่วมอุดมการณ์เดียวกับเรา"
ทั้งหมดนี้เป็นคำขอร้องจากเพื่อนมนุษย์ถึงเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเองค่ะ และเมื่อเข้าถึงท่อนบริดจ์
"ฉันจะสร้างมหันตภัยขึ้นกับโลกเพื่อให้มันพังทลายทุกอย่างที่มี เพื่อก่อให้เกิดโลกใหม่อีกครั้งหนึ่ง ด้วยน้ำตาที่ไหลหลากของฉันจะพัดพาความวิปโยคนี้ไปเอง"
ตรงท่อนนี้เหมือนเฉลยให้เราได้รู้ว่าแท้จริงแล้วสาวๆ อาจจะไม่มนุษย์อย่างเราๆ แต่เป็นพระเจ้าผู้สร้างโลกที่ไม่อาจทนต่อความนิ่งเฉยของมนุษย์ได้อีกแล้วจึงสร้างความปั่นป่วนให้โลกที่ค่อยๆ พังลงนั้นพังทลายไปในพริบตาทีเดียวและจะสร้างโลกใบใหม่ขึ้นมาแทนที่นั่นเองค่ะ
อารมณ์แบบส่งคนไปเตือนแล้ว ไปขอร้องในนามมนุษย์ด้วยกันแล้วแต่ยังไม่สามารถทำให้มนุษย์ปกป้องบ้านของตัวเองได้งั้นฉันจะพังทุกอย่างให้ราบเป็นหน้ากลองเลยทีเดียวอะไรแบบนั้นเลยค่ะ
ในส่วนของเนื้อเรื่องในเอ็มวีนั้นนิสาดูวนหลายรอบจนตกผนึกได้ว่าเดิมทีสาวๆทั้ง 7 คนนั้นเป็นเหมือนเทพหรือเทพีที่ทำหน้าดูแลโลกมนุษย์โดยเฉพาะ จะสังเกตได้จากในฉากของดามิที่จ้องมองจอมอนิเตอร์ข้างหลังเปรียบกับการเฝ้าดูพฤติกรรมของมนุษย์ที่ค่อยๆทำลายโลกนำพาไปสู่ภาวะโลกร้อนที่หนักขึ้นทุกๆวันแต่ทำได้แค่เฝ้ามองไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือได้ด้วยมิติที่ต่างกัน
มีเพียงฮันดงที่เป็นเหมือนเทพเฝ้าประตูมิติระหว่างโลกและวิหารแห่งเทพ จุดเริ่มต้นจึงเริ่มจากการที่ฮันดงเปิดประตูส่งยูฮยอนให้ลงสำรวจสถานการณ์บนโลกว่ายังอยู่ในจุดที่ช่วยได้หรือไม่ เมื่อสำรวจเรียบร้อยจึงกลับไปปรึกษากับทั้ง 6 คนอีกครั้ง
และผลที่ได้ก็ออกมาว่าควรจะแหกกฎของวิหารเทพแล้วลงไปช่วยมนุษย์ แต่จะช่วยมนุษย์โดยตรงคงทำได้ยากเพราะเมื่อถึงเวลาที่มีปัญหามนุษย์จะไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้และเอาแต่คอยเวลาให้เทพสักองค์มาช่วยจึงเป็นที่มาของการลงมายังโลกมนุษย์ของสาวๆด้วยร่างอวตารในร่างมนุษย์ ตรงนี้ถามว่าทำไมนิสาถึงรู้ว่าสาวๆลงมาในร่างมนุษย์ เพราะมีฉากนึงที่ชียอนนั่งและแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
จะมองด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ขออนุมานว่าเป็นการคิดถึงบ้าน(วิหาร)หรืออาจหมายถึงการจ้องมองบิดาแห่งทวยเทพ ผู้สร้างโลกว่าทำเป็นแต่สร้างโลกสร้างมนุษย์แต่ไม่มีปัญญาสอนมนุษย์ให้รู้จักปกป้องบ้านของตัวเอง ทั้งนี้ทั้งนั้นนี่เป็นสิ่งที่นิสาคิดแต่เพียงผู้เดียวอาจไม่ตรงกับสาส์นที่ทางทีมงานส่งมาก็ได้ค่ะ
แล้วถ้าถามว่าใครคือลูกรักพระเจ้าขอตอบเลยว่า คิมจียู ค่ะ เพราะเหมือนมีฉากเดี่ยวที่จียูต้องยืนอยู่เดียวดายทำได้เพียงทอดมองท้องฟ้าที่ค่อยๆเปลี่ยนสี จุดนี้นิสามองว่าจียูอาจโดนสั่งห้ามไม่ให้ข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะพระประสงค์ของบิดาแห่งเทพคือการทำลายโลกทิ้ง
แต่หารู้ไม่ว่ายูฮยอนลงไปที่โลกมนุษย์ครั้งแรกเป็นเพราะจียูขอให้ทำ เมื่อได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยูฮยอนจึงเต็มใจเข้ามาช่วยเนื่องจากมีฉากนึงที่ยูฮยอนยืนอยู่ที่วิหารคนเดียวแต่ท่าทางที่แสดงออกมาราวกับว่าจะพังก็พังไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตัวเองอยู่แล้วแต่เพราะคำขอร้องจากจียูจึงแค่ลงๆไปคิดซะว่าเที่ยวเล่น
แต่สถานการณ์แย่กว่าที่คิด ถึงขั้นรูปปั้นเทพีถูกต้องมนต์ทำให้ไม่สามารถชำระล้างบาปของมนุษย์ได้อย่างที่ควรจะเป็นจึงรีบกลับขึ้นมารายงาน ในตอนที่ปรึกษากันอยู่จียูก็เล่าเรื่องประสงค์ของพระเจ้า ทุกคนคิดว่ามันแปลกๆเพราะแท้จริงแล้วมนุษย์ต่างหากที่เป็นลูกรักของพระเจ้าไม่มีทางที่เขาจะคิดทำลายโลกที่เป็นที่อยู่ของมนุษย์แน่
กาฮยอนที่มีญาณหยั่งรู้จึงเข้ามาช่วยหาเบื้องหลังของเรื่องนี้จนค้นพบเข้าว่าร่างอวตารหนึ่งของพระเจ้ากลายสภาพเป็นเจ้าแห่งซาตานกำลังค่อยๆควบคุมมนุษย์และอาจจะเริ่มเข้ามาควบคุมถึงวิหารเทพในไม่ช้า ซูอาจึงอาศัยไปทำลายเจ้าแห่งซาตานที่อีกมิติก่อน
โดยผู้ที่ทำหน้าที่เปิดประตูมิติระหว่างวิหารเทพกับอาณาจักรซาตาน(ตรงนี้แอบคิดว่าชียอนอาจจะเป็นครึ่งเทพครึ่งซาตานหรือเปล่าจึงได้รับหน้าที่นี้) เราจะเห็นได้ว่าฉากที่ซูอาลงไปยังมิติข้างล่างมีชายคนหนึ่งที่หัวของเขาเป็นแพะ
ตามตำนานซาตานหัวแพะจะหมายถึง บาโฟเมต(Baphomet) ซาตานผู้เป็นปฏิปักษ์กับพระเจ้า ซูอาคิดว่าเมื่อกำจัดซาตานตนนี้แล้วโลกจะกลับเข้าสู่ภาวะเดิมแต่หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เพราะทันทีบาโฟเมตถูกกำจัดรูปปั้นแห่งการชำระล้างก็เปลี่ยนไปในทันทีราวกับว่าโดนสิงสู่โดยพลังอำนาจแห่งความชั่วร้ายขนาดใหญ่
ในขณะเดียวกันกาฮยอนก็ได้ค้นพบความจริงอีกข้อนึงว่าผู้ที่สร้างมนุษย์ได้ไม่ได้มีเพียงพระเจ้าแต่ยังมีซาตานและเหล่ามนุษย์ด้วยกันเอง การจะทำลายมนุษย์ให้สิ้นซากไปพร้อมกับโลกดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ง่ายกว่า
แต่ในท้ายที่สุดก็ได้บทสรุปจากดามิที่เฝ้ามองมนุษย์มาโดยตลอดว่า การลงไปเพื่อร่วมกับมนุษย์ในการช่วยโลกนี้สามารถทำได้ง่ายกว่าการทำลาย การสอนมนุษย์ให้รู้จักปกป้องบ้านของตัวเองจนเป็นนิสัยก็อาจจะช่วยโลกนี้ได้ง่ายยิ่งขึ้น เมื่อตกลงกันได้ทั้ง 7 คนจึงลงมายังโลกมนุษย์พร้อมกัน
เพื่อช่วยเตือนสติของเหล่ามนุษย์ว่าให้มีสติได้แล้ว ดูผลจาการกระทำของตัวเองหน่อย ถ้ายังเป็นขืนใช้ชีวิตแบบเดิมๆ อยู่อย่างนี้โลกคงถึงวันสิ้นสุดเข้าจริงๆ มาช่วยกันรักษาโลกที่เป็นเหมือนบ้านของเรากันเถอะ และฉากสุดท้ายของเอ็มวีก็ไม่มีการบอกกล่าวว่าสาวๆได้ทำภารกิจในครั้งนี้สำเร็จหรือไม่
เพราะคำตอบนั้นเป็นหน้าที่ของเราที่เป็นมนุษย์ทุกคนที่ควรระลึกอยู่เสมอว่าวันนั้นอาจมาถึงเราเร็วกว่าที่คิด หากเรายังทำพฤติกรรมเดิมที่ส่งผลกระทบต่อโลกของเราทั้งตรงและทางอ้อมอยู่
และทั้งหมดนี้ก็เนื้อหาทั้งหมดทั้งหมดที่ซ่อนอยู่ในเพลงและเอ็มวีเพลงนี้ค่ะ หลายคนอาจจะรู้สึกแปลกๆที่ไอดอล K-POP จะมาทำเพลงอนุรักษ์โลก อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอะไรแบบนี้เพราะไม่มีใครเค้าทำกัน
แต่ดรีมแคชเชอร์ก็แสดงให้เราได้เห็นแล้วว่าพวกเธอสามารถทำได้ การคัมแบคโดยการประกาศทั้งโลกว่าเราอยู่ในจุดที่วิกฤตมากๆปแล้วช่วยฟังเสียงของพวกเธอหน่อย ทำให้เพลงๆนี้สาวชนะในรายการเพลงและได้รับถ้วยรางวัลมาถึงสองถ้วยด้วยกัน
มันอาจจะดูเหมือนน้อยสำหรับแฟนคลับวงใหญ่ๆแต่มันมีค่ามากสำหรับการเดินทางในเส้นทางนี้และการยืนหยัดในคอนเซปต์ของวงถึง 5 ปี ชัยชนะในครั้งนี้เป็นเหมือนใบเบิกทางให้ทั้งโลกได้ยินเสียงของพวกเธอชัดขึ้น
นิสาหวังไว้เป็นอย่างยิ่งถึงคนที่ยังไม่เคยได้ฟังเพลงของดรีมแคชเชอร์หรือเคยฟังแต่ไม่เคยได้ทำความรู้จักตัวตนของทั้ง 7 คน ก็อยากให้ลองเปิดใจกันดูนะคะ แล้วคุณจะไม่ผิดหวังแน่นอน สำหรับครั้งหน้า Dreamcatcher ของเราจะคัมแบคมาด้วยคอนเซปต์แบบไหน จะเป็นภาคต่อของ Apocalypse หรือไม่นั้น ต้องมาคอยติดตามกันนะคะ และแน่นอนว่านิสาจะกลับมาพร้อมกับบทความเจ๋งๆอีกครั้งแน่นอน!
Dreamcatcher(드림캐쳐) 'MAISON' MV
บทความที่คุณอาจสนใจ
บทความโดย Niisaxzz
ขอบคุณวิดีโอและภาพประกอบบทความจาก Dreamcatcher Official Twitter / Dreamcatcher official Youtube
โฆษณา