20 มิ.ย. 2022 เวลา 14:46 • ความคิดเห็น
เรื่องราวของคำว่าทุกข์นั้น ทุกข์ของจิตที่มีกรรม ต้องเวียนว่ายตายเกิด ไปอยู่ตรงนั้นตรงนี้ นั้นมันเป็นเรื่องที่จิตนั้นยากจะเข้าใจ จิตก็คือตัวเรา ..เราก็ไม่เคยเรียนรู้จัก เรื่องที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเรื่องของชาดกให้ฟัง แล้วท่านก็มีการสร้างทานบุญกุศลมาโดยตลอด สละความยึดยึดถือทรัพย์สิน ยศฐานบรรดาศักดิ์ ท่านทิ้งในสิ่งเหล่านี้ ส่วนเราไม่มีปัญญาทิ้งแบบท่าน ทิ้งสิ่งเหล่านั้น เพราะเป็นของของโลก
เมื่อยังใช้อยู่ก็ต้องเป็นหนี้ ..อารมณ์นั้นก็เป็นของของโลก ความโลภโกรธหลง ก็เป็นของของโลก เมื่อเราใช้อารมณ์..เราก็เป็นหนี้ของอารมณ์ ต้องเกิดมาอยู่ในโลก มีชีวิตใช้ชีวิตด้วยอารมณ์ คล้องกรรมคนนั้นคนนี้ นึกอิจฉาตาร้อนคนนั้นคนนี้ มันก็เกิดขึ้นในกายที่จิตนี้อาศัย..
แล้วจิตแต่ละดวงก็ไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แค่ชาตินี้ชาติเดียว มันหลายๆชาติ แต่ว่าเราก็ไม่รู้จัก ..เกิดเป็น..ไปอยู่ในรูปสัตว์เอาที่ตาเรามองเห็น มันก็สารพัดรูป ..เหล่านี้..การที่จิตไปอาศัยที่ไหน ก็มีการบันทึกไว้ในธาตุสี่นี้ตลอด แล้วอะไร..ที่ปกปิดจิตของเรา
สิ่งที่เค้าเรียกว่า อวิชชา เราก็พูดกันได้ ว่าความไม่รู้ ความไม่รู้ของใคร..มันเป็นความไม่รู้ของจิตเอง ที่ไม่รู้อารมณ์ของโลกที่เกิดขึ้นในกาย ที่ใช้วิญญาณหกไปสัมผัส ไปชอบไปหลงใหล ไปยึดไปถือสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตในโลก แล้วก็ก็ไม่สามารถเรียนรู้ เข้าไปถึงคำว่าจิตที่ยึดถือนั้นมันเป็นอย่างไร (จิตยึด..ไม่ใช่กายยึด)
หากเราเข้าไปเรียนรู้ภายใน เรื่องของจิต จิตที่ยึดติดกับสี..เช่นสีดำ..เกิดขึ้นมาภายในกาย เราก็จะค่อยเรียนรู้จักกรรม ที่ไหลออกมาจากธาตุสี่ นั่นมันทุกข์มันหนัก จิตไม่สามารถ จะทนทุกขเวทนาที่เกิดขึ้น มีเสียงร้องคร่ำครวญเกิดขึ้น ไม่ไหวแล้วทนไม่ไหวแล้ว เราก็ต้องค้นหาต่อไปอีก ว่าเสียงนี้มาจากไหนอีก ..มันมีรายละเอียดมากมาย
แล้วก็มีเรื่องราวของคำว่าทาน เรื่องบุญ ทำไมถึงเกิดเป็นบุญ ทำไมไม่เกิดเป็นบุญ บุญเป็นอย่างไร อะไรทำให้เป็นบุญ บุญมีสภาพเป็นอย่างไรบ้าง เรื่องราวพวกนี้ มันไม่ใช่เรื่องราวของแค่นั่งคิดจินตนาการ อุปโลกน์..ไปตามอารมณ์ มันต้องอาศัยจิตอาศัยกายนิ่งจิตนิ่ง ศึกษาขึ้นมา ด้วยจิตที่ต้องมีขันติธรรมเกิดขึ้นที่จิต หากปราศจากขันติของจิต จิตนั้นก็ไม่สามารถศึกษาเข้าไปถึงเรื่องราวของกรรมที่อยู่ธาตุทั้งสี่นี้ได้เลย
เรื่องกรรมที่ติดติดเป็นสีอยู่กับธาตุทั้งสี่นั้น จิตต้องไปชำระสะสางให้ขาวสะอาด แล้วเราจะใช้วิธีการของใครดี ไปทำความสะอาดสิ่งเหล่านี้ เราก็เห็นมีแต่แนวทางที่องค์พระสิทธัตถะท่านกระทำขึ้น ก่อนสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้านั้นแหละ มีเพียงทางนี้เท่านั้น ที่จิตจะเข้าไปถึงธรรมที่ท่านตรัสสอนให้รู้จักทุกข์ แล้วหนีทุกข์ได้
แล้วก็ต้องทบทวนแล้ว แล้วก็ต้องหาอาจารย์ใจอาจารย์นอกที่สามารถชี้แนะนำ เรื่องราวต่างๆ ที่จิตของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติผจญอยู่ หรือกำลังเกิดขึ้น ตามวาระของจิตที่กรรมหนุนนำให้เกิด
1
เรื่องราวเหล่านี้ ก็เป็นการเรียนรู้ของจิตให้รู้จักคำว่าทุกข์ โดยอาศัยปฏิบัติ มีสติรักษา กายนิ่งจิตนิ่ง เป็นพื้นฐาน หากไม่มีการประพฤติปฏิบัติ จิตมันก็ไม่รู้..กายอารมณ์ที่ตนอาศัย มันเป็นกรรม เป็นทุกข์เกิดขึ้น เค้าก็เลยเปรียบเทียบว่า กายนี้เหมือนเรือลำหนึ่ง หัวเรือก็คือวิญญาณทั้งหก
แล้วเราหันหัวเรือ ไปทางใด พายเรือทวนน้ำ หรือปล่อยเรือตามน้ำ คนที่พายเรือทวนน้ำ หันหัวเรือไปหาพระ ..นั้นแหละ ที่จะเข้าใจคำว่าทุกข์ ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ เมื่อจิตรู้จักคำว่าทุกข์ ..จิตเค้ากลัวทุกข์ของเค้าเอง กลัวที่จะสร้างกรรมเอง จะเข็ดหลาบเรื่องของการสร้างกรรม มีสติระมัดระวังเรื่องอารมณ์เรื่องกรรมเอง
จิตของผู้ที่ชำระสะสางกรรม รู้จักเรื่องราวของจิตตัวเองดี ท่านย่อมรู้จักสถานที่ ที่ท่านจะต้องไปพักจิต (ก่อนละสังขาร เค้าทำให้รู้ก่อนตาย) แล้วลงมาเกิดอีกครั้งหนึ่ง เหมือนเช็ดกระจกครั้งสุดท้าย ให้ใสสะอาดก่อนเข้าพระนิพพาน หยุดการเกิด
เรื่องราวของจิต จิตจะโต ขยับขยายจิตขึ้นมาได้ ก็ด้วยการสร้างบุญกุศลบารมี แล้วมีการประพฤติปฏิบัติเกิดขึ้น การประพฤติปฏิบัติธรรม นั้น เพื่อชำระสะสาง เรื่องภายในกาย ที่เป็นกรรมติดอยู่กับธาตุทั้งสี่ กรรมที่จิตนั้นยึดติดมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ
เมื่อเราจะคลี่คลายกรรม เราจะทำอย่างไร เราก็รู้ว่า..ผู้ที่ท่านมีการกระทำชำระสะสาง ขจัดสลัด เรื่องราวต่างออกไปจากจิตของท่าน เรื่องราวขององค์พระสิทธัตถะ ท่านสลัดฝากไว้กับดินฟ้าอากาศ ท่านไปแต่จิตที่ประกอบด้วยแสงรัตนะ ท่านเป็นประธานของธรรมอยู่ เพราะศาสนาของท่านนั้นมีวาระอยู่ ห้าพันปี
เมื่อเราจะประพฤติปฏิบัติธรรมตามรอยท่านเราก็นอบน้อม กราบขอประพฤติประพฤติ ตามรอยของทาง ก่อนประพฤติเราก็กระทำทุกครั้ง กราบด้วยความน้อมนอบ ภาวนาพุทโธขึ้น เพื่อให้จิตนั้นอยู่กับพระ ที่มีแสงรัตนะ ส่องลงมาที่จิต หรือ จิตเกิดมีแสงรัตนะเกิดขึ้น แล้วจิตเรานำ แสงนั้นไปส่องสิ่งสกปรก ภายในกายนั้นให้หลุดลอกออกไป
เมื่อสิ่งต่างๆที่กดทับจิตอยู่หลุดลอกออกไป เอาออกไปได้มากเท่าไหร่ จิตเราก็จะขยับขยายขึ้น กายก็จะเบา จิตก็เบา กายก็แข็งแรงขึ้น จิตก็มีกำลังมากขึ้น เหมือนกับ เราเอาน้ำดีไปไล่น้ำเสียออกไป
นั้นเป็นเรื่องของการช่วยเหลือจิตของตนเอง ต้องทำด้วยตัวเอง ใครก็ช่วยไม่ได้ เพราะพระพุทธเจ้า ท่านบอกให้เทวทัต ประพฤติปฏิบัติ ให้ทำตรงนี้ แต่เทวทัตมีแต่ความทะเยอทะยาน ไม่เชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าบอกให้
ที่สุดเทวทัตก็ต้องไปรับกรรมในนรก เพราะกรรมนั้นมันหนักกดจิตให้เล็กลงไปๆ เพราะความหลงไม่คิดพิจารณา ในสิ่งที่ท่านบอกกล่าว
สิ่งที่บอกกล่าว ผู้ฟังต้องพิจารณาให้เข้าใจเหตุผล เมื่อมีความเข้าใจเหตุผลแล้ว ค่อยลงมือกระทำประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถึงจะรู้จักในสิ่งที่ท่านบอกให้กระทำ สร้างบุญกุศลบารมี นั้นจิตเราได้อะไร ขยายโตขึ้นมาด้วยเหตุผลของธรรม กายเป็นบุญ จิตมีธรรม แล้วจะเป็นการตอบแทนพระคุณอันสูงสุดต่อบิดามารดาที่ให้เรือนกายนี้มา เมื่อกายเราเป็นบุญ เรือนกายของพ่อแม่ก็มีบุญไปด้วย
โฆษณา