9 ก.ค. 2022 เวลา 00:45 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
พิธีกรรมศาสนากับความเจ็บป่วย
Photo by Content Pixie on Unsplash
เวลาที่ถามคนไทยว่า “ศาสนาคืออะไร”?
คำตอบสามัญที่พบได้บ่อยที่สุดคือ ศาสนาคือเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ
เรื่องนี้ไม่ได้สรุปเองลอยๆ นะครับ แต่ได้มาจากการตั้งคำถามคัดคนที่จะเข้าร่วมกลุ่ม “หว้ากอ in wonderland” ในเพจเฟซบุ๊ก แต่ที่จะนำมาแบ่งปันกันในบทความนี้ไม่ใช่เรื่องของนิยามคำว่าศาสนา
แต่เป็นสมมุติฐานที่เชื่อกันว่า คนที่มีศาสนาหรือคนเคร่งศาสนา จะอายุยืนกว่าคนที่ไม่นับถือศาสนาใดๆ
เรื่องนี้จริงหรือไม่? มีงานวิจัยอะไรที่ชี้นัยในเรื่องนี้บ้างหรือไม่?
งานวิจัยชิ้นหนึ่งใน JAMA Intern Med. (2016; 176(6): 777-785. doi:10.1001/jamainternmed.2016.1615) ที่ใช้แบบสำรวจสอบถามผู้หญิงมากถึง 74,534 คน และติดตามผลนาน 16 ปี
ทำให้พบว่าผู้หญิงที่เข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนามากกว่าสัปดาห์ละ 1 ครั้ง มีโอกาสที่จะเป็นโรคหลอดเลือดหรือโรคมะเร็งลดลงหรือเพียง 1/3 ของคนที่ไม่ค่อยได้เข้าร่วมพิธีทางศาสนา
แต่ต้องทำความเข้าใจกันก่อนนะครับว่า ที่ชัดเจนกันในการสำรวจนี้ก็คือ มีความพ้องกันในเรื่องนี้อยู่
แต่จะเกี่ยวข้องแบบเป็นเหตุเป็นผลกัน (นับถือศาสนาเลยป่วยน้อยกว่า) หรือเปล่า? ยังไม่ชัดเจนขนาดนั้น
แต่ที่น่าสนใจจริงๆ ก็คือ ผลดีดังกล่าวไม่ได้เกิดผลดีเป็นพิเศษกับพระหรือแม่ชีแต่อย่างใด แต่ได้ผลดีกับคนทั่วไปด้วย
นักวิจัยจึงคาดว่าน่าจะเป็นผลจากการได้รับความช่วยเหลือเกื้อกูลกันจากเครือข่ายผู้ที่ไปโบสถ์เหมือนๆ กันมากกว่า ซึ่งน่าจะส่งผลทำให้เป็นคนที่ควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น มองโลกในแง่ดีมากขึ้น และมีจุดมุ่งหมายในชีวิต
แล้วอาจจะ “ส่งผลทางอ้อม” ให้เป็นโรคเหล่านั้นน้อยลง ก็อาจจะเป็นได้
Photo by Noah Holm on Unsplash
มีงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งตีพิมพ์ในวารสาร PLOS One (https://doi.org/10.1371/journal.pone.0177618) สนับสนุนไปในทางเดียวกัน
โดยชี้ว่าในจำนวนอาสาสมัคร 5,449 คนที่มีอายุระหว่าง 40-65 ปีนั้น พวกที่ไปโบสถ์สม่ำเสมอมีระดับความเครียดต่ำกว่า และมีอัตราการตายต่ำกว่าพวกที่ไม่ได้ไปประจำ
โดยมากกว่าครึ่งหนึ่งในกลุ่มนี้ (55%) ผลดังกล่าวยังเกิดต่อเนื่องแม้แต่หลังการสำรวจผ่านไป 18 ปีแล้วก็ตาม!
อะไรจะส่งผลต่อเนื่องยาวนานขนาดน้านนนนนน....
แต่เรื่องการสวดภาวนาและการไปโบสถ์แยกออกจากกันเป็นสองเรื่องได้หรือไม่?
หากสวดภาวนาเองที่บ้านจะส่งผลแบบเดียวกับที่เรากล่าวไปข้างต้นหรือไม่? ผมยังค้นหางานวิจัยที่ตอบคำถามนี้ไม่ได้นะครับ
จะมีก็แต่มีงานวิจัยที่น่าสนใจชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์เมื่อปี ค.ศ. 2006 ในวารสารชื่อ American Heart Journal (DOI: 10.1016/j.ahj.2005.05.028) ที่เกี่ยวกับการสวดภาวนาให้ผู้ป่วย ซึ่งได้ข้อสรุปที่น่าสนใจมาก
โดยในรายงานวิจัยระบุว่า การมีคนช่วยสวดภาวนา (และคนไข้รู้ด้วยว่ามี) กลับทำให้คนไข้มีโรคแทรกซ้อนมากขึ้น (ผ่าง!)
Photo by Pedro Lima on Unsplash
ใครเห็นผลการทดลองแบบนี้...ก็ต้องให้รู้สึกแปลกประหลาดใจไปเสียทั้งนั้น...ว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?
คณะนักวิจัยออกแบบการทดลองแบบนี้นะครับ เขาทดสอบในผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาตัว (ผ่าตัดบายพาสเส้นเลือดหัวใจ) ในโรงพยาบาล 6 แห่งในสหรัฐอเมริกา โดยแบ่งกลุ่มทดลองออกเป็น 3 กลุ่ม
กลุ่มแรก 604 รายจะมีผู้สวดภาวนาให้ แต่แจ้งกับตัวผู้ป่วยว่าจะได้รับการสวดภาวนาหรือไม่ยังไม่แน่ใจ
ขณะที่กลุ่มที่สองรวม 597 คน ไม่มีใครสวดภาวนาให้ แต่ก็แจ้งกับตัวผู้ป่วยเหมือนกับกลุ่มแรกว่า ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะได้รับการสวดภาวนาหรือไม่
และกลุ่มสุดท้ายจำนวน 601 คน ที่มีคนสวดภาวนาให้และเจ้าตัวก็ได้รับการยืนยันว่ามีผู้สวดภาวนาให้หายไวๆ และปลอดภัย
โดยที่ผู้สวดภาวนาทั้งหมดจะถือนิกายต่างๆ ของศาสนาคริสต์ และการสวดภาวนาจะทำเป็นเวลา 14 วัน โดยเริ่มตั้งแต่คืนก่อนที่จะมีการผ่าตัดเกิดขึ้น
จากนั้นจะมีติดตามและประเมินผลผู้ป่วยเป็นเวลา 30 วันหลังการผ่าตัดว่ามีอาการแทรกซ้อนใดๆ เกิดขึ้นบ้างหรือไม่
ผลการทดลองก็คือ ใน 2 กลุ่มแรกที่ผู้ป่วยไม่แน่ใจว่าจะมีใครสวดภาวนาให้กับตัวเองหรือไม่ มีอยู่ 52% และ 51% (ตามลำดับ) ที่เกิดอาการแทรกซ้อนหลังผ่าตัด
หรือพูดคร่าวๆ ก็คือ หากไม่รู้ว่ามีใครสวดให้หรือเปล่า การมีคนสวดให้หรือไม่นั้น ก็ไม่สร้างความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญเลย
สำหรับกลุ่มที่ 3 ผลกลับยิ่งชวนงุนงง เพราะมีอาการแทรกซ้อนสูงที่สุดคือ 59%
เมื่อสิ้นการทดลอง จำนวนผู้ที่มีอาการแย่ลงและผู้เสียชีวิตใกล้เคียงกันทั้ง 3 กลุ่ม
ทางคณะผู้ทดลองจึงสรุปว่า การสวดภาวนาให้ผู้ป่วยไม่ได้มีผลช่วยให้ผู้ป่วยมีอาการแทรกซ้อนลดน้อยลงเลย
แต่กลับได้ผลตรงข้ามคือ หากผู้ป่วยแน่ใจว่ามีผู้สวดภาวนาให้กลับจะมีอาการแทรกซ้อนเพิ่มขึ้น
แน่นอนว่าเนื่องจากการทดลองเกิดขึ้นในประเทศที่ผู้คนส่วนใหญ่นับถือศาสนาที่มีพระเจ้า ทางคณะผู้วิจัยจึงออกตัวว่า การทดลองนี้ไม่ได้ออกแบบให้ใช้พิสูจน์การมีอยู่ของพระเจ้าแต่อย่างใด
นอกจากนี้ ยังไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับวิธีการสวดภาวนาหรือศาสนาของคนที่ภาวนาและผู้ป่วยนับถือด้วย
งานวิจัยนี้เพียงแต่ต้องการทดสอบว่า การที่ผู้ป่วย “รู้หรือไม่รู้” ว่ามีผู้สวดภาวนาให้ จะมีผลอย่างไรต่อการฟื้นตัวภายหลังการผ่าตัดต่างหาก และผลลัพธ์จากการทดสอบก็ชัดเจนว่า การสวดภาวนาของบุคคลที่สามไม่มีผลใดๆ เลยต่อการฟื้นตัวของผู้ป่วยจากอาการแทรกซ้อนต่างๆ จากการผ่าตัด
สำหรับส่วนที่สำคัญที่สุดของสรุปการทดลองที่ว่า ยิ่งผู้ป่วยรู้ว่ามีผู้สวดภาวนาให้กลับจะมีอาการหนักกว่าผู้ที่ไม่รุ้นั้น เกิดขึ้นจากสาเหตุใดกันแน่ ทางคณะนักวิจัยก็ยอมรับตามตรงว่า “ยังไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจน” และยังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมอีก
การทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ออกแบบอย่างรัดกุม บางทีก็ให้ผลที่ขัดกับความเชื่ออย่างมากแบบนี้แหละครับ แต่นี่ก็ไม่ใช่ข้อสรุปที่แน่ชัดและเปลี่ยนแปลงไม่ได้ คงต้องรอข้อมูลเพิ่มเติมกันต่อไปครับ
โฆษณา