a. Dominant function อันแรกเปรียบเสมือนพระเอกหรือสิ่งที่ใกล้เคียงกับอัตลักษณ์หรืออาวุธที่เราหยิบใช้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย และมันก็จะเป็นฟังก์ชันที่มีบทบาทมากที่สุดสมชื่อ Dominant และเราถนัดที่สุดด้วย
(9) b. Auxiliary function เหมือน QC ที่คอยตรวจสอบถ่วงดุลหรือที่ปรึกษาที่คอยให้คำแนะนำหรือเสริม Dominant f. ในยามจำเป็น ในคนส่วนใหญ่จึงเริ่มใช้เมื่อ Dominant f. เริ่มมีข้อบกพร่อง แล้วเริ่มพัฒนา b. ขึ้นในช่วง 12-20ปี นี่เป็นอีกคำอธิบายว่า ทำไมใน Functional stacks นี้ introvert และ extrovert จึงต้องสลับกัน
(10) เมื่อเราใช้ a. + b. ดีที่อายุเฉลี่ย 20ปี เราก็จะเป็นคนที่ตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตได้อย่างลงตัว รากฐานในชีวิตก็จะดี เพราะ a. และ b. ที่เป็น Perceiving กับ Judging สมดุลกันดี และตัวเลข 20ปีนี้ก็ยังสัมพันธ์กับการบรรลุนิติภาวะโดยอายุตามกฎหมายด้วย
(11) ตัวอย่างการทำงานของ a.+b. แบบ Ne, Ti ของ ENTP คือ
(12) c. Tertiary function เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่เจอกับชีวิตที่ซับซ้อนขึ้น a.+b. เริ่มไม่เพียงพอจึงเกิดการพัฒนาฟังก์ชันที่สามนี้ และแน่นอนว่า มันจะเกิดการสลับ extrovert หรือ introvert จาก aux f.
และสุดท้าย d. Inferior function จะสลับกับ Dominant f. ที่เราถนัดที่สุดทั้งชนิดและทิศทาง
(13) การที่ d. ตรงข้ามกับ a. อย่างสิ้นเชิงเป็นเหตุผลที่มันเป็นฟังก์ชันสุดท้ายที่เราจะพัฒนาเพราะมันเสมือนด้านมืดที่เราไม่รู้ตัว ไม่ชอบ พยายามปฏิเสธ หรือซ่อนอยู่ลึกในจิตใต้สำนึก
ยิ่งเราใช้ a. มากแค่ไหน d. ก็จะยิ่งถูกกลบลงไปแล้วมันก็รอวันปะทุขึ้นมาเมื่อตกในภาวะเครียดหรืออ่อนแอ