14 ก.ค. 2022 เวลา 13:00
ทำไมวัดและพระ ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ ?
ก่อนจะตอบคำถามนี้ เราต้องเข้าใจความหมายของคำว่า
“บุคคลธรรมดา” และ “นิติบุคคล” กันเสียก่อนครับ
บุคคลธรรมดา คนซึ่งมีสิทธิและหน้าที่ได้ตามกฎหมาย ซึ่งการมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายได้นั้น ก็ต้องมี “สภาพบุคคล” หรือพูดง่าย ๆ ว่า “ยังมีชีวิตอยู่” นั่นเองครับ
ดังนั้น “พระ” ถือว่าเป็นบุคคลธรรมดาตามกฎหมาย
ส่วนคำว่า “นิติบุคคล” นั้น ถ้าหากพิจารณาตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 ซึ่งระบุไว้ชัดในหมวด 5 มาตรา 31 ว่า วัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล และเจ้าอาวาสเป็นผู้แทนของวัดในกิจการทั่วไป
แต่สิ่งที่เราต้องตั้งคำถามต่อไป คือ ทั้ง "พระ" และ "วัด" นั้น ถือเป็นบุคคลที่มีหน้าที่เสียภาษีหรือไม่ ซึ่งต้องไปดูกันต่อที่กฎหมายภาษีอย่างประมวลรัษฎากร
ประมวลรัษฏากรว่าไว้อย่างไร ?
สำหรับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ประมวลรัษฎากรได้กำหนดว่า ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ได้แก่ ผู้ที่มีเงินได้เกิดขึ้นระหว่างปีที่ผ่านมา ซึ่งหมายถึง “บุคคลธรรมดา” ตามกฎหมายด้วยครับ
ดังนั้นเราย่อมได้ข้อสรุปว่า พระเป็นผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หากมีเงินได้เกิดขึ้น
ทีนี้มาดูที่วัดกันบ้างครับ ถ้าดูข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ “ผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล” เราจะเห็นว่าไม่มี “วัด” รวมอยู่ในนั้น แต่มีเพียงแค่กลุ่มต่อไปนี้ครับ
ดังนั้น เมื่อ “วัด” ไม่ใช่นิติบุคคลตามกฎหมายภาษี
ก็แปลว่า วัดไม่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
ส่วนเรื่องของการรายงานข้อมูลต่าง ๆ นั้น มีเพียงแต่การทำบัญชีรายรับรายจ่ายของวัดส่งถึงสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดทุกๆ 1 ปีเท่านั้น (อ้างอิง มติมหาเถรสมาคม มติที่ ๔๐๗/๒๕๕๘) ซึ่งตรงนี้ย่อมไม่อยู่ในอำนาจและขอบเขตของกรมสรรพากรที่จะไปเก็บภาษีจากวัดได้
มาถึงตรงนี้ เราจะได้ข้อสรุปว่า พระถือเป็นบุคคลธรรมดาที่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ถ้าหากมีเงินได้) ในขณะที่วัดไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
แต่เราไม่เคยเห็นพระเสียภาษีเลยนะ ? มาดูกันต่อตรงนี้ครับ
นั่นคือ เรื่องของการยกเว้นเงินได้ตามกฎหมาย
โดยปกติ รายได้ของพระสงฆ์นั้น มักจะมาจากรายได้จากการทำบุญตามศรัทธาของญาติโยมทั้งหลาย ทั้งในรูปแบบของสิ่งของและปัจจัย (เงิน) ผ่านทางการบิณฑบาตร กิจนิมนต์ และอื่นๆตามโอกาสและพิธีทางศาสนา
และถ้าหากเราไปดูกฎหมายภาษีในเรื่องของการยกเว้นเงินได้ (มาตรา 42) เราจะเห็นว่ามีข้อที่เข้าข่ายอยู่ 2 ข้อตามนี้ครับ
(28) เงินได้ที่ได้รับจากการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยาหรือจากการให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธี หรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี ทั้งนี้ จากบุคคลซึ่งมิใช่บุพการี ผู้สืบสันดาน หรือคู่สมรสเฉพาะเงินได้ในส่วนที่ไม่เกินสิบล้านบาทตลอดปีภาษีนั้น
(29) เงินได้ที่ได้รับจากการให้โดยเสน่หาที่ผู้ให้แสดงเจตนาหรือเห็นได้ว่ามีความประสงค์ให้ใช้ เพื่อประโยชน์ในกิจการศาสนา กิจการศึกษา หรือกิจการสาธารณประโยชน์ ตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง
ดังนั้น จากข้อกฎหมายข้างต้นทำให้พอจะสรุปได้ว่า ถ้าหากเป็นการให้โดยธรรมเนียมประเพณี หรือ เพื่อประโยชน์ในกิจการศาสนา ก็จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้
จึงเป็นคำตอบที่สรุปได้ว่า เหตุผลที่พระไม่เสียภาษีนั้น ไม่ใช่เพราะพระเป็นพระ ไม่ใช่เพราะพระไม่มีเงินได้ แต่เป็นเพราะว่าเงินได้ที่พระได้รับนั้น ได้รับสิทธิ์ยกเว้นตามกฎหมาย จึงไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั่นเองครับ
แต่หากพระมีรายได้ในลักษณะที่เป็น “เงินเดือน” หรือ รายได้จากหน้าที่การงานที่ทำ (ตรงนี้ไม่ได้พิจารณาประเด็นเรื่องผิดวินัยหรือไม่ แต่มองในมุมของภาษี) นั่นย่อมแปลว่า เงินได้ส่วนนี้ต้องนำมารวมเพื่อคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามปกติ เพราะไม่ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีนั่นเองครับ
สรุปสั้นๆ ตรงนี้อีกที
พระ มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ถ้าได้รับเงินได้ที่ไม่ยกเว้นภาษี (นอกเหนือจากการทำบุญ)
1
ส่วน วัด ไม่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
#TAXBugnoms #ภาษี #วัด #พระ
โฆษณา