14 ก.ค. 2022 เวลา 04:01 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
รีวิว The Black Phone - สายหลอนซ่อนวิญญาณ
Filmment Rating : 7.0
#เนื้อเรื่องย่อ
เรื่องราวของ ฟินนีย์ เด็กชายวัย 13 ปีที่ถูกฆาตกรต่อเนื่องคนหนึ่งลักพาตัวไปและขังเขาเอาไว้ในห้องใต้ดิน ซึ่งมีโทรศัพท์ปริศนาที่สามารถเป็นสื่อกลางระหว่างฟินนีย์และเหยื่อคนก่อนๆ ของฆาตกรรายนี้ได้ ฟินนีย์จึงร่วมมือกับวิญญาณของเหยื่อทุกคน เพื่อเอาชีวิตรอดจากฆาตกรรายได้ให้ได้
#ความเห็น
ภาพยนตร์เรื่อง The Black Phone เป็นผลงานกำกับของ Scott Derrickson เจ้าของผลงานสยองขวัญอย่าง The Exorcism of Emily Rose และ Sinister โดยเป็นการดัดแปลงจากเรื่องสั้นภายใต้ชื่อเดียวกันจากผลงานการเขียนของ Joe Hill ซึ่งเป็นลูกชายของสุดยอดนักเขียนสายสยองขวัญอย่าง Stephen King ครับ
ไอเดียตั้งต้นของภาพยนตร์นั้นน่าชื่นชมเป็นอย่างมากครับ เนื่องจากมันเต็มไปด้วยความเรียบง่าย แต่ในขณะเดียวกันก็แฝงด้วยรายละเอียดและองค์ประกอบที่แปลกใหม่เช่นกัน ด้วยการผสมผสานความระทึกขวัญของฆาตกรโรคจิต เข้ากับเรื่องราวเหนือธรรมชาติของผีและวิญญาณ เคล้าด้วยดราม่าของความเจ็บปวดและการเติบโตครับ
ภาพยนตร์เรื่อง The Black Phone เลือกที่จะโฟกัสไปที่ตัวละครหลักอย่าง ฟินนีย์ เด็กน้อยวัย 13 ปีที่มักถูกเพื่อนในโรงเรียนกลั่นแกล้ง และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวที่เต็มไปด้วยความรุนแรงครับ เส้นทางการเติบโตจากกระสอบทรายของผู้คนรอบข้าง สู่การเผชิญหน้ากับฆาตกรต่อเนื่องที่โหดร้ายที่สุดของเมือง จึงเป็นเสน่ห์สำคัญที่ทำให้ The Black Phone นั้นแตกต่างและน่าติดตามอยู่ตลอดทั้งเรื่อง
แต่สิ่งที่ต้องแลกมาก็คือจิ๊กซอว์ชิ้นต่างๆ ของภาพยนตร์นั้นไม่ได้ถูกต่อลงล็อคอย่างครบถ้วนครับ กล่าวคือเมื่อภาพยนตร์เลือกจะให้พื้นที่ไปยังตัวละครหลักเพียงอย่างเดียว ทำให้รายละเอียดต่างๆ โดยรอบของเหตุการณ์นั้นหล่นหายจากภาพยนตร์ไปพอสมควรครับ
ไม่ว่าจะเป็น เรื่องราวการสืบสวนของตำรวจ , ที่มาของเรื่องราวเหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์ , ปัญหาครอบครัวของตัวละคร , ปูมหลังและแรงจูงใจของฆาตกรในเรื่อง รวมไปถึงเรื่องราวของเหล่าตัวละครสมทบที่ล้วนน่าสนใจแต่กลับไม่ได้รับการต่อยอดมากนัก โดยเฉพาะตัวละครอย่าง เกว็น น้องสาวของฟินนีย์ ซึ่งแม้จะมีเวลาบนจอไม่มากนัก แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาถูกถ่ายทอดออกมาอย่างอบอุ่นและละเมียดละไมครับ
สิ่งที่ภาพยนตร์เรื่อง The Black Phone ทำได้อย่างยอดเยี่ยมก็คือ การสร้างบรรยากาศอันน่าสะพรึงกลัวและน่าดึงดูดในเวลาเดียวกันครับ โดยภาพยนตร์สามารถใช้สถานที่ถ่ายทำอันน้อยนิดมาสร้างประโยชน์ได้อย่างสูงสุด นอกจากนี้ภาพยนตร์ยังฉลาดในการใช้เทคนิค Jump Scare เท่าที่จำเป็นเท่านั้น ซึ่งผลลัพธ์ก็คือมันสามารถโจมตีผู้ชมได้ทุกครั้งอย่างไม่ทันตั้งตัวเลยครับ
เมื่อบรรยากาศที่ยอดเยี่ยมถูกผสมผสานเข้ากับการแสดงอันน่าขนลุกขนพองของ Ethan Hawk ก็ยิ่งทวีความระทึกขวัญให้กับเรื่องราวได้อย่างยอดเยี่ยม น่าเสียดายที่การประจัญหน้ากันระหว่างฟินนีย์และฆาตกรโรคจิตในเรื่องนั้นน้อยและจบลงอย่างรวดเร็วไปสักหน่อยครับ
นอกจากบรรยากาศอันยอดเยี่ยมแล้ว The Black Phone ยังมาพร้อมกับจังหวะการเล่าเรื่องที่เนิบช้าแต่หนักแน่นมากครับ โดยภาพยนตร์ใช้เวลาในช่วงต้นเรื่องสร้างความสัมพันธ์และแนะนำตัวละครให้กับผู้ชมรู้จัก แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถสร้างความไม่น่าไว้วางใจให้กับเรื่องราว พร้อมปล่อยให้ความโหดร้ายทารุณค่อยๆ คืบคลานเข้ามาหาตัวละครอย่างช้าๆ
ด้วยจังหวะที่แม่นยำนี้เองทำให้ช่วงกลางเรื่อง ซึ่งมักจะเป็นจุดตกท้องช้างของภาพยนตร์ระทึกขวัญหลายเรื่อง แต่เมื่อผู้ชมคุ้นชินกับจังหวะการเล่าเรื่องและร่วมเอาใจช่วยตัวละครอย่างเต็มที่แล้ว ปัญหาดังกล่าวจึงไม่ส่งผลกระทบกับ The Black Phone เลย แม้ว่าเหตุการณ์ในภาพยนตร์นั้นจะไม่ได้เดินหน้าเท่าไรนักก็ตามครับ
โดยสรุปแล้วภาพยนตร์เรื่อง The Black Phone เป็นตัวอย่างที่ดีหากจะพูดถึงบทภาพยนตร์ที่ชาญฉลาดและการใช้ทรัพยากรที่มีในมือได้อย่างคุ้มค่า นอกจากนี้ภาพยนตร์ยังมาพร้อมกับบรรยากาศอันน่าสะพรึงและดึงดูด จังหวะการเล่าเรื่องแบบเล่นน้อยได้มาก และสามารถผสมผสานเรื่องราวเหนือธรรมชาติ เข้ากับความระทึกขวัญและดราม่าได้อย่างลงตัว อย่างไรก็ตามภาพยนตร์ยังมีคำถามที่ยังไม่ได้ถูกสำรวจมากมาย หากขยับความยาวเพิ่มขึ้นอีกสักนิด ก็น่าจะยิ่งทำให้ภาพรวมของ The Black Phone กลมกล่อมมากขึ้นครับ
#ประเด็นตกผลึก
ประเด็นตกผลึกจากภาพยนตร์เรื่อง The Black Phone ที่ผมจะชวนผู้อ่านทุกท่านมาคุยกันในวันนี้ก็คือ
การเติบโตเป็นผู้ใหญ่ด้วยการก้าวข้ามความกลัวภายในจิตใจของตัวเราเอง
ภาพยนตร์เลือกพาผู้ชมเดินทางย้อนกลับไปในยุค 70 ถึง 80 ซึ่งยังเป็นยุคที่สังคมยังไม่ได้เรียนรู้ถึงภัยร้ายของการกลั่นแกล้งกันด้วยความรุนแรง โดยเฉพาะกับเด็กผู้ชายที่มักชกต่อยกันในโรงเรียนเป็นเรื่องปกติ โดยใครสามารถป้องกันตัวเองหรือทำร้ายคู่ต่อสู้ได้มากกว่า ก็จะยิ่งถูกสถาปนาให้เป็นผู้ใหญ่มากขึ้นกว่าเพื่อนในวัยเดียวกัน
นอกจากนี้องค์ความรู้เกี่ยวกับครอบครัวและการเลี้ยงดูบุตรนั้นยังไม่เปิดกว้างเช่นในสังคมยุคปัจจุบัน นำมาซึ่งปัญหาความรุนแรงภายในครอบครัวที่ฝังรากลึกในจิตใจของเด็กหลายต่อหลายคน ขณะเดียวกันสภาพแวดล้อมสังคมของอเมริกาในยุคนั้นยังเต็มไปด้วยฆาตกรต่อเนื่องชื่อดังมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ครอบครัวแมนสัน , ฆาตกรจักรราศี รวมถึง เท็ด บันดี้ด้วยเช่นเดียวกัน
โฟกัสหลักของภาพยนตร์อยู่ที่ ฟินนีย์ เด็กชายวัย 13 ปีที่เติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่เต็มไปด้วยความรุนแรง นอกจากเป็นเหยื่อความรุนแรงในบ้านแล้ว ฟินนีย์ยังมักถูกเพื่อนๆ ในโรงเรียนกลั่นแกล้งและทำร้ายเขาอยู่เสมอ ความเจ็บปวดทางร่างกายของฟินนีย์ก่อตัวเป็นความกลัวที่ทับถมกันภายในจิตใจของเขา ฟินนีย์พยายามหลีกหนีโลกภายนอกด้วยงานอดิเรกอย่างการดูหนังและการเล่นกีฬาเบสบอลครับ
ภาพยนตร์ให้น้ำหนักไปที่การเติบโตของฟินนีย์มากขึ้น ด้วยการลดบทบาทของผู้ใหญ่ในเรื่องทุกคน พร้อมกับเพิ่มความสำคัญให้กับเหล่าตัวละครเด็กทุกคน ทั้งที่ยังอยู่และจากไปแล้ว ในการจับมือกันเพื่อก้าวข้ามผ่านประสบการณ์อันเลวร้ายครั้งนี้ไปพร้อมกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเด็กทุกคนในเรื่องนั้นล้วนตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ทั้งความรุนแรงภายในครอบครัว , ความรุนแรงภายในรั้วโรงเรียน หรือกระทั่งความรุนแรงจากสังคมและฆาตกรของเรื่อง แต่เด็กทุกคนเลือกที่จะไม่เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่พวกเขาเกลียด ยุติความรุนแรงทั้งหมดไว้ที่ตัวเอง และเปลี่ยนมันให้กลายเป็นความสามัคคีและความรัก เพื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างสมบูรณ์ครับ
ดังนั้นสารที่ภาพยนตร์เรื่อง The Black Phone ส่งตรงมาถึงผู้ชมก็คือ บางครั้งสิ่งที่ทำให้เราเติบโตขึ้นได้นั้น ก็คือการเผชิญหน้ากับความกลัวภายในจิตใจของตัวเราเอง ทำความเข้าใจกับมัน และก้าวข้ามบาดแผลเหล่านั้นไปให้ได้ครับ แน่นอนครับว่าเด็กหลายต่อหลายคนนั้นเติบโตมากับการถูกรังแกจากเพื่อนฝูง , ถูกใช้ความรุนแรงจากครอบครัว หรือถูกสังคมกีดกันออกจากพื้นที่ของพวกเขา
สิ่งที่เราทำได้ในปัจจุบันก็คือ การมองลึกลงไปยังก้นบึ้งของสิ่งที่กลัวมากที่สุด และในมุมที่มืดมิดนั้นเองครับ เราอาจจะได้ค้นพบกับแสงสว่างเล็กๆ ที่จะทำให้เราก้าวต่อไปได้ ซึ่งแสงสว่างนั้นก็คือความภูมิใจในตัวเราเอง ที่สามารถก้าวข้ามผ่านเหตุการณ์อันเลวร้ายในชีวิตมาได้นั่นเอง ฝากไว้ให้คิดกันนะครับ
#TheBlackPhone #สายหลอนซ่อนวิญญาณ #Filmment
โฆษณา