25 ก.ค. 2022 เวลา 08:24 • อาหาร
"ทำไมต้องล่าปลาบึกจำศีล? ก็ในเมื่อปลาบึกจำศีล แล้วต้องทำอย่างไรจึงจะได้กินปลาบึก?"
ปลาบึก เป็นปลาน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตัวเต็มวัยอาจถึง 3 เมตร และอาจหนักมากกว่า 250 กิโลกรัม สัตว์ขนาดใหญ่ที่กินแต่สาหร่ายน้ำจืดต้นเล็ก ๆ รวมทั้งหาพบตัวได้ยาก ชาวบ้านจึงเชื่อกันว่าปลาบึกเป็นปลาที่ถือศีลกินเจ แต่เนื่องจากมีเนื้อแน่น อร่อย เหมาะแก่การปรุงอาหาร การจะล่าจ้าวแห่งสัตว์น้ำจืดสายพันธุ์นี้จึงไม่ได้อาศัยเพียงศาสตร์ของพรานปลา แต่ "ไสยศาสตร์" ก็สำคัญไม่แพ้กัน
พ่อแม่พันธุ์ปลาบึกจากบ่อเลี้ยงในการผสมเทียม (ภาพ: กรมประมง)
บ้านเกิดผมอยู่สมุทรสาครเมืองชายทะเลแต่คุ้นเคยกับ “ปลาบึก” ปลาน้ำจืดมังสวิรัติขนาดใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งพบเฉพาะในน้ำโขง กว่าสามสิบปีที่ผมได้ยินชื่อและเรื่องเล่าพิธีกรรมล่า “ปลาบึก” ผ่านพ็อคเก็ตบุ๊คสารคดีแนวโลดโผน มีทั้งเนื้อหาและภาพประกอบ กระชากผมจมลึกขนาดไหนคงไม่ต้องเล่า เวลาผ่านไปกว่า 3 ทศวรรษฉากของพิธีกรรมนั้นยังวนเวียนอยู่ในหัวเหมือนเห็นมาด้วยตาตัวเองคือคำยืนยัน
เครื่องบวงสรวงในปัจจุบันใช้หัวหมูซึ่งไม่ใช่แบบแผนดั้งเดิมอุษาคเนย์ เดิมทีชาวบ้านใช้ไก่เป็น ๆ ฟาดให้เสียชีวิต (ภาพ: SOMSAK@Photo-Feature-Travel)
ความทรงจำที่มีว่า
“...ราวเดือนเมษายน คณะล่าปลาบึกจะไปกันกลุ่มเล็กห้าหกคน ตั้งศาลบนเกาะแก่งกลางแม่น้ำโขงที่ผุดขึ้นหลังน้ำลด นำเครื่องเซ่นบูชาเจ้าที่เจ้าทาง...ในเวลาค่ำก็เปลื้องผ้า เอ่ยคำสองแง่สองง่าม ยั่วให้ปลาบึกซึ่งมีศีลมีธรรมตบะแตก ลอยขึ้นจากเมืองบาดาลปรากฏตัวให้ล่าเป็นอาหาร...”
สื่อนิรนาม
เป็นสิ่งที่ได้อ่านและลืมแหล่งที่มาแล้ว รวมทั้งไม่ชัดเจนชื่อหมู่บ้าน จำได้เพียงว่าเป็นรวมเรื่องสารคดีชวนประหลาดใจ ผู้เขียนเรื่องนี้ยืนยันว่า ได้รับการชักชวนให้เข้าร่วมในพิธีกรรมดังกล่าวพร้อมภาพถ่ายศาลบูชาและพิธีกรรมบางส่วนนำลงประกอบบทความ แต่ภายหลังจากที่ต่างร่ำสุราจน “ได้ที่” คณะผู้ล่าปลาบึกพ่อเฒ่าแม่เฒ่าจำนวนหนึ่งก็ปลีกตัวออกไปประกอบพิธีกรรมยั่วโทสะปลาบึก ซึ่งขั้นตอนนี้ผู้เขียนได้รับการขอร้องไม่ให้ตามไปถ่ายภาพ
แต่จากการค้นคว้าข้อมูลแหล่งต่าง ๆ ไม่มีใครเอ่ยถึงพิธีกรรมล่าปลาบึกในลักษณะที่ "ได้รับการขอร้องไม่ให้ตามไปถ่ายภาพ" จะว่าเป็นเรื่องกุขึ้นแต่ก็ดูมีความเป็นไปได้ เพราะผมเชื่อว่ามันมีเหตุผลของการกระทำ อย่างพิธีบูชาศาลปะกำคล้องช้างของคนเขมรแถบอีสานใต้ ควาญช้างก็ต้องล่อนจ้อน แต่ภายหลังการส่งเสริมการท่องเที่ยว และการเข้าถึงของวัฒนธรรมแบบ "ไทย ๆ" ควาญช้างจึงต้องนุ่งห่มอย่างมิดชิด
"ปลาบึก" เป็นปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ที่สุดในโลก พบเฉพาะแถบลุ่มน้ำโขงและแม่น้ำสาขาเท่านั้น เคยพบบ้างในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา และแคว้นยูนนาน ในจีนตอนใต้ เชื่อกันว่า ปลาบึกมีถิ่นกำเนิดแถบหลวงพระบาง ประเทศลาว เมื่อถึงเดือนเมษายนซึ่งเป็นฤดูวางไข่ก็จะว่ายทวนน้ำจากลาวขึ้นมาตามน้ำแม่ของ (โขง) ผ่านทางเหนือของไทยเพื่อไปวางไข่ที่จีนซึ่งเป็นต้นน้ำ
เพราะเหตใด พิธีกรรมบวงสรวงเพื่อล่าปลาบึกจึงต้องจัดขึ้นที่บ้านหาดไคร้ อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย?
เหตุผล คือ ปลาบึกชอบอาศัยอยู่ในบริเวณแม่น้ำที่มีความลึกมากกว่า 10 เมตร ก้นแม่น้ำเป็นกรวด และควรจะมีเพิงหินหรือถ้ำใต้น้ำให้หลบภัย และมีสาหร่ายชุกชุม
แม่น้ำโขงช่วงบ้านหาดไคร้มีลักษณะเป็นเกาะดอนกลางแม่น้ำ ประกอบด้วย 3 ดอนใหญ่ ๆ ได้แก่ ดอนโป่ง ดอนแวง และดอนกูด เรียงตัวตามยาว ทำให้แม่น้ำมีลักษณะเป็นช่องแคบ ในฤดูแล้งหาดจะโผล่ยื่นออกมาทำให้กระแสน้ำไหลเอื่อย ก้นน้ำราบเรียบมีกรวดก้อนกลมเล็กเรียงราย น้ำตื้นขอดและตะกอนน้อย ใสจนแสงแดดส่องถึงพื้นน้ำ สาหร่าย (ไก) พืชซึ่งเป็นอาหารหลักของปลาบึกเติบโตได้ดี
นอกจากนี้ การจับปลาบึกในสมัยก่อนใช้วิธีขึ้นห้างที่สร้างไว้ริมตลิ่งเพื่อสังเกตคลื่นเมื่อปลาว่ายขึ้นเหนือน้ำ ด้วยเหตุนี้ชายฝั่งแม่น้ำโขงบริเวณบ้านหาดไคร้จึงมีความเหมาะสมในการล่าปลาบึก
เป็นที่รู้กันว่า ปลาบึกที่แม้จะเป็นสัตว์ใหญ่แต่กินเพียงสาหร่าย (ไก) เป็นอาหาร ชาวบ้านจึงมีความเชื่อว่า ปลาบึกเป็นปลาจำศีล มี "เจ้าที่" หรือ "เจ้าของ" คุ้มครอง ใครได้กินแล้วจะมีสุขภาพดี อายุยืน ดังนั้นการจับปลาบึกของชาวบ้านแต่เดิมจึงทำด้วยความเคารพใน “เจ้าที่” ผู้เป็น "เจ้าของ" เพื่อแบ่งปันไปเป็นอาหารเพียงพอ
แบ่งปันกันภายในชุมชนและครัวเรือน ไม่ได้ต้องการล่าเพื่อการค้า
เมื่อชาวบ้านเชื่อว่าปลาบึกเป็น “ปลาเจ้าที่” ก่อนล่าจึงต้องประกอบพิธีกรรมบวงสรวง "เจ้าที่" ที่ชาวบ้านเรียกว่า เจ้าโพ้ง เจ้าลวง เสียก่อน โพ้ง ในภาษาถิ่นหมายถึงบริเวณน้ำไหลเซาะเข้าไปในแผ่นดินเป็นโพรง ภาษาอีสานเรียก วังน้ำ หรือ วังเวิน ส่วนทางภาคกลางหมายถึง คุ้งน้ำ “โพ้ง” จึงหมายถึงผีที่คอยปกปักรักษาคุ้งน้ำ ส่วน ลวง เป็นคำเรียกร่องน้ำสำหรับกั้นใส่ไซ ใส่หลี่ ใส่โพงพาง “ลวง” จึงหมายถึงผีที่คอยดูแลสถานที่ และด้วย "ผีโพ้ง ผีลวง" เป็นผีดีที่คอยปกปักรักษาแม่น้ำ ชาวบ้านจึงเรียก "เจ้าโพ้ง เจ้าลวง"
นอกจากนี้ ชาวอีสานยังมีความเชื่อว่าการกระทำใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับแม่น้ำโขงจะต้องขอต่อพญานาคผู้เป็นใหญ่แห่งแม่น้ำโขงก่อน ดังนั้นความเชื่อของชาวบ้านที่ประกอบพิธีกรรมบวงสรวงก็เพื่อให้เจ้าที่ที่ปกปักรักษาปลาบึก และสิ่งศักดิสิทธิ์ประจำแม่น้ำโขงรับรู้และอนุญาตให้จับปลาบึกซึ่งเป็นบริวารได้ รวมทั้งขอให้ช่วยคุ้มครองป้องภัยนานาระหว่างการล่า
พิธีกรรมล่าปลาบึกของชาวบ้านหาดไคร้ไม่ปรากฏบันทึกชัดเจนว่าเริ่มมีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เรื่องเล่าของพ่อเฒ่าหนานต๊ะ ยงยืน เป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรมเมื่อ พ.ศ. 2420 และเนื่องจากการล่าปลาบึกสมัยก่อนใช้เพียงเครื่องมือพื้นบ้าน เช่น ฉมวก และมอง นอกจากความชำนาญในการใช้เครื่องมือและการเข้าใจธรรมชาติของปลา การพิชิตปลาบึกที่ถือเป็น “จ้าวแห่งลำน้ำโขง” จึงถือเป็นศักดิ์ศรีของพรานปลาด้วย
อุไรวรรณ ชัยมินทร์ ศึกษาพบว่า พิธีกรรมล่าปลาบึกในอดีตชาวบ้านจะรวมตัวกลุ่มละ 4-5 คน หลังช่วงสงกรานต์ 4-5 วัน แต่ละกลุ่มจะสร้างศาลเพียงตาจัดเครื่องบวงสรวงเจ้าโพ้ง เจ้าลวง พญานาค และแม่ย่านางเรือ เสี่ยงทายจำนวนปลาบึกที่จะจับได้ ยังจุดที่แต่ละกลุ่มประจำอยู่ ซึ่งเรียกว่า “พิธีป่า” ณ บริเวณดอนท้ายหาดบ้านหาดไคร้ ห่างจากหมู่บ้านออกไป และพิธีกรรมดังกล่าวนี้จะไม่อนุญาตให้คนภายนอกเข้าร่วมโดยเด็ดขาด
อย่างไรก็ตาม "พิธีป่า" ก็ไม่เคยปรากฏรายละเอียดว่า ประกอบด้วยพิธีกรรมลักษณะเช่นใด พิธีป่าจึงยังคงถูกปกปิดเป็นความลับดำมืด
พ.ศ. 2510 ชาวบ้านหาดไคร้ทั้งหมู่บ้านได้เข้ามามีส่วนร่วมในการล่าปลาบึกเพื่อการค้า ขณะที่ผู้ประกอบพิธีกรรมแบบดั้งเดิมยังคงมีเฉพาะผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการล่าปลาบึกโดยตรงเท่านั้น
เมื่อจับปลาบึกได้ก็จะต้องทำพิธีบูชาแม่ย่านางเรือเพื่อแสดงความขอบคุณ เนื้อปลาที่ได้จะถูกปันส่วนออกเป็น 4 ส่วน เจ้าของเรือ 2 ส่วน นายมอง 1 ส่วน ผู้ช่วยนายมอง 1 ส่วน แต่หากเป็นความเชื่อของคนลาวและคนอีสาน ปลาบึกที่ถูกจับได้ตัวแรกของฤดูกาลเรียกว่า ปลาเจ้า ต้องนำมาถวายเจ้าและทำอาหารเลี้ยงกันในหมู่พรานปลา ปลาตัวที่สองเรียกว่า ปลาแก้ม ต้องนำมาเลี้ยงกันครึ่งหนึ่ง ส่วนที่เหลือจะเป็นของผู้ที่จับได้ ตัวที่สามเป็นต้นไปจึงเป็นของผู้ที่จับปลาได้ทั้งหมด
“พิธีเมือง” เข้าแทนที่
พ.ศ. 2539 การบวงสรวงปลาบึกถูกจัดขึ้นโดยคณะกรรมการที่ทางจังหวัดแต่งตั้ง ศาลเพียงตามีขนาดใหญ่กว่า "พิธีป่า" ของชาวบ้าน มีวงดนตรีพื้นบ้านประโคม ขบวนแห่ และการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน พร้อมพิธีการแบบราชการที่ชาวบ้านไม่เคยพบมาก่อน ที่ชาวบ้านเรียกว่า “พิธีเมือง” ส่วนหนึ่งเพื่อจัดให้เจ้าฟ้าชายอากิชิโนแห่งญี่ปุ่นทอดพระเนตร นับจากปีนั้น ทางจังหวัดได้กำหนดวันจัดงานตายตัว คือ 18 เมษายนของทุกปี
ศาลเพียงตาขนาดใหญ่ในพื้นที่รโหฐานหน้าวัดหาดไคร้ แบบ “พิธีเมือง” ซึ่งเข้าแทนที่ "พิธีป่า"
“งานมหาสงกรานต์ อภิบาลปลาบึก” ของอำเภอเชียงของ ประจำปี 2552
สุจิตต์ วงษ์เทศ กล่าวว่า ความเชื่อของคนอุษาคเนย์ตั้งแต่อดีต ยกย่องนับถือสัตว์ที่ขนาดใหญ่โตกว่าปกติหรือมีลักษณะผิดธรรมชาติว่าเป็นสัตว์ที่มีเทพเจ้าหรือผีศักดิ์สิทธิ์เป็นเจ้าของหรือสิงสู่ อย่าง ปลาบึก หรือสัตว์เผือกต่าง ๆ เช่น ปลาไหลเผือก ดังมีตำนานเรื่องเวียงหนองล่ม (ลำพูน) ที่ชาวบ้านจับปลาไหลเผือกได้แล้วเอามาแบ่งกินกันทั้งเมืองเป็นเหตุให้เกิดเภทภัยเวียงล่มจมหายกลายเป็นหนองน้ำ
1
นักคติชนวิทยาอธิบายว่า พลังอำนาจที่อยู่ในความเชื่อรูปแบบต่าง ๆ จะประกอบกันขึ้นเป็นหลักศีลธรรมที่มีจุดมุ่งหมายอยู่ที่การยังชีพของสังคมเกษตรกรรม ซึ่งให้ความสำคัญต่อชีวิตและความอุดมสมบูรณ์ของครอบครัวและชุมชน โดยความเชื่อแต่ละประเภท เช่น พิธีเลี้ยงผีบรรพชน พิธีทรงเจ้า และพิธีรักษาโรคของหมอยาพื้นบ้าน ล้วนสัมพันธ์กับสิ่งที่เป็นรูปธรรมสื่อความหมายผ่านสัญลักษณ์ที่ปรากฏในพิธีกรรม เช่น เครื่องเซ่น การฟ้อนรำ และคำกล่าวเซ่นสรวงสังเวย เป็นต้น จนดูเหมือนว่าพลังอำนาจที่ซ่อนเร้นอยู่นั้นจับต้องได้
โดยจะพบว่า รูปแบบของพิธีกรรมเป็นปฏิบัติการที่สะท้อนความคิด การให้ความหมาย และการตีความผ่านประสบการณ์ของคน เพื่อแสดงออกถึงสติปัญญา ศักยภาพ และอำนาจในการแก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวันของตน เช่นเดียวกับพิธีกรรมบวงสรวงปลาบึกที่แสดงออกถึงพลังอำนาจของคนต่อการดำรงอยู่ของสมาชิกในชุมชนมาอย่างยาวนาน
ในสายตาคนภายนอก พิธีกรรมบวงสรวงปลาบึกอาจมีจุดเริ่มต้นมาจากสิ่งเหนือธรรมชาติ แต่ภาวะที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน คือ ประเพณีประดิษฐ์ที่สนองกลไกตลาด ตามนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว พิธีกรรมจึงถูกจัดให้เป็นส่วนหนึ่งของการแสดงเพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายทางการตลาด ที่เน้นความยิ่งใหญ่ของพิธีกรรม และความยิ่งใหญ่ของกระแสอนุรักษ์ตามจริตของคนเมือง
ไม่ว่านักวิชาการจะมองและอ่านความหมายของพิธีกรรมบวงสรวงปลาบึกอย่างไร? เพื่อทำความเข้าใจสภาพแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ทัศนคติ ความคิดของผู้คน สะท้อนพัฒนาการทางความคิดของท้องถิ่น เป็นประวัติศาสตร์ที่มีชีวิตที่ยังคงเคลื่อนไหว ต่อรอง ต่อต้าน ช่วงชิง หรืออะไรก็ตาม...
ในสายตาชาวบ้าน พิธีกรรมบวงสรวงปลาบึกเป็นประวัติศาสตร์ชุมชน เป็นการแสดงถึงความเคารพและสำนึกต่อธรรมชาติที่สืบเนื่องยาวนาน แต่กาลเวลาได้ลดทอนความศักดิ์สิทธิ์ของพิธีกรรมลง ความผูกพันระหว่างคนกับคน และคนกับธรรมชาติเปลี่ยนไป จนดูเหมือนเป็นความขัดแย้ง ที่ถูกเชื่อมต่อกับปัจจัยอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในชุมชนทั้งการต่อรอง ต่อต้าน ช่วงชิง ในการเข้าถึงทรัพยากรของชุมชน
การจับปลาบึกในอดีตต้องขอจากผู้เป็นเจ้าของ นั่นคือ เจ้าโพ้ง เจ้าลวง แต่ในปัจจุบัน ปลาบึกในธรรมชาติหายาก กรมประมงซึ่งประสบความสำเร็จในการเพาะปลาบึกแบบผสมเทียมครั้งแรกในโลกเมื่อ พ.ศ. 2526 จึงเป็นเจ้าของปลาบึก ดังนั้นชาวบ้านที่ต้องการล่าปลาบึกจึงต้องขอจากกรมประมง และเพื่อแสดงถึงความใส่ใจในสิ่งแวดล้อมตามจริตของคนเมือง พรานปลาบึกจึงต้องประกาศสัตยาบันว่าจะงดเว้นการล่าปลาบึก (ปีต่อปี) โดยการทูลเกล้าฯ ถวายเป็นพระราชกุศล
คณะทำงานถ่ายภาพร่วมกันภายหลังประสบความสำเร็จในการเพาะปลาบึกแบบผสมเทียมครั้งแรกของโลก ณ บ้านหาดไคร้ เมื่อ พ.ศ. 2526 (ภาพ: กรมประมง)
“พิธีป่า” ที่ถูกปกปิด
รายละเอียดของ “พิธีป่า” ที่ถูกปกปิด แต่ก็มีเค้าเงื่อนที่ได้รับการบอกเล่าว่า “ทำกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ จัดทำขึ้นบริเวณดอนท้ายหาดบ้านหาดไคร้...โดยคนภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้องกับการจับปลาจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมพิธีกรรม...” นั่นคือร่องรอยของพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์เฉพาะกลุ่มที่ไม่ต้องการให้คนนอกรู้เห็น
แม้จะไม่เคยมีบันทึกรายละเอียดในพิธีกรรมของฝ่ายไทยมาก่อน แต่ที่สุดก็ค้นพบบันทึกของชาวตะวันตก ที่ทำให้เราเห็นภาพ"พิธีป่า" และมันก็ทำให้เรารู้เหตุผลว่า เพราะเหตุใดจึง "ไม่ต้องการให้คนนอกรู้เห็น"
Francis Henry Giles หรือ พระยาอินทรมนตรีศรีจันทรกุมาร คือผู้ที่บันทึกเรื่องการล่าปลาบึก “An account of the ceremonies and rites performed when catching the Pla Bük a species of catfish inhabiting the waters of the river Me Khong: The Northern and Eastern Frontier of Siam” ใน วารสารสยามสมาคม เมื่อ พ.ศ. 2476
สิ่งสำคัญ คือ "คำ" ของพรานขณะออกล่าปลาบึกเพื่อให้ปลาบึกซึ่งกำลังจำศีลละศีลออกมาให้ล่า "คำ" เหล่านั้นเป็นภาษาอังกฤษ
“O, my friend, men and women. Friend, O, friend, O, dogs O, bald headed fools, O, ancients in thy dotage. A dog shall lay with thy mother. I will lay with thy mother. O, Friend, let me lay with thy wife. O, friend, let me lay with thy daughter. O, ancients, bald headed one, thy age is great. Death is near to thee, yet thou comest with the throng. A dog shall lay with thy mother. As thou art here, I will go and in thy place, lay with thy wife. Do not return home till dawn.”
1
และ Francis Henry Giles ก็ไม่ลืมแนบ "คำ" อีสานไว้ด้วย เพื่อการเข้าถึงอรรถรสทางภาษา
“พ่อเสี่ยว แม่เสี่ยว เสี่ยว บักเสี่ยว บักหมา บักหัวล้าน บักเฒ่า บักหมาสี่แม่มึง กูสี่แม่มึง บักเสี่ยวกูขอสี่เมียมึงแด่ กูขอสี่ลูกสาวมึงนำ บักเฒ่าหัวล้าน มึงเฒ่าสิตายแล้ว กะยังมานำเขา หมาสี่แม่มึง มึงมานี่ กูจะไปนอนนำเมียมึง มึงอย่าสูมา มึงคืนเมือมา”
พิธีจะเริ่มตั้งแต่เย็นวันขึ้น 8 ค่ำ ถึง 15 ค่ำ บางคืนต้องทำกันตลอดรุ่งสาง ตรงนี้เองทำให้ปะติดปะต่อร่องรอย “พิธีป่า” ก่อนถูกปรับแปลงเป็น “พิธีเมือง” เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในพิธีการรับแขกบ้านแขกเมือง เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว และเพื่อเผยแพร่ออกอากาศได้ จากนั้นเป็นต้นมา คุณค่าของปลาบึกหายากและพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์เฉพาะกลุ่มจึงสิ้นมนต์ขลัง ขณะที่พิธีกรรมล่าปลาบึกในที่สาธารณะได้ถูกออกแบบขึ้นใหม่ในบริบทของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว “จากป่าสู่เมือง”
รายการอ้างอิง
พระยาอินทรมนตรีศรีจันทรกุมาร. (2518).
หนังสือรวมบทความพระยาอินทรมนตรีศรี
จันทรกุมาร พิมพ์เผยแพร่ในโอกาสกรม
สรรพากรครบรอบ 60 ปี วันที่ 2 กันยายน
พ.ศ. 2518.
องค์ บรรจุน. (2555). เมื่อพิธีบวงสรวงปลาบึก
โกอินเตอร์. ศิลปวัฒนธรรม. 34(1):
34-38.
โฆษณา