30 ก.ค. 2022 เวลา 16:55 • ไลฟ์สไตล์
#ประสบการณ์ครั้งแรกของการเรียกกู้ภัย
หมู่บ้านผมเป็นชุมชนใหญ่ มีผู้อยู่อาศัยทั้งบ้านเรือนแถว (ทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้น) และอาคารสูง 5 ชั้น ที่เรียกกันว่าแฟลต รวมๆ กันประมาณ 2,900 คน จำนวนกว่า 800 ครัวเรือน (แฟลตประมาณ 500 ครัวเรือน บ้านแถวประมาณ 300 ครัวเรือน)
ด้วยจำนวนผู้อยู่อาศัยที่เยอะขนาดนี้ ไม่แปลกที่ผมจะมีโอกาสเห็นกู้ภัยฉุกเฉินมาลงพื้นที่บ่อยๆ บางทีก็มาช่วยจับงูบ้าง (ที่ดินติดกับหลังหมู่บ้าน บางส่วนยังเป็นป่าหญ้ารกร้าง) แต่...ลองทายกันดูมั้ยครับว่า....ส่วนใหญ่กู้ภัยเค้ามาที่หมู่บ้านผม เพื่อมาทำอะไรกัน???
ใครทายถูกไม่มีรางวัลให้นะ (ฮา) *เฉลย*....“เก็บศพ!” ซิครับ จริงๆ คนส่วนใหญ่จะไปเสียที่โรงพยาบาลกัน แต่ที่เสียที่บ้านก็มี มีทั้งคนชราและวัยทำงาน อย่างล่าสุดเดือนนี้มี 2 ราย เธอเป็นสาวหล่ออายุน่าจะราวๆ 30 กว่าๆ อาศัยอยู่ในบ้านเรือนแถว 2 คนกับแม่ เกิดภาวะ #ไหลตาย (คือกลุ่มอาการที่เสียชีวิตขณะนอนหลับโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือ SUDS : sudden unexpected death syndrome)
อีกคนเป็นคุณลุงอายุ 50 ปลายๆ อาศัยอยู่บนแฟลตพักอยู่คนเดียว (ลูกเมียอยู่ต่างจังหวัด) ญาติเล่าว่าคุณลุงมาเข้าฝันว่าอยากกินข้าวไข่เจียว ญาติสะดุ้งตื่น ทำข้าวไข่เจียวไปให้ พอเปิดประตูห้องถึงรู้ว่าเสียชีวิตแล้ว
จริงๆ ลักษณะของคนกรุงเทพฯ คือ บ้านใครบ้านมัน จะไม่ค่อยรู้จักกัน ต่างคนต่างอยู่ (บางทีรั้วบ้านชนกันยังไม่รู้จักกันเลย ซึ่งจะแตกต่างจากคนต่างจังหวัด) แต่ที่ผมพอทราบข้อมูลผู้ของอยู่อาศัยภายในหมู่บ้านนี้บ้าง เพราะแม่ผมเป็น อสส. (อาสาสมัครสาธารณสุข กทม.) ของหมู่บ้านนี้ครับ
เมื่อคืน (วันที่ 29 ต่อเช้าวันที่ 30 ก.ค. 2565) ใกล้ตีหนึ่ง ผมกำลังจะเข้านอน ก็ได้ยินเสียงหญิงชราตะโกนออกมาจากทางหลังบ้าน (บ้านผมกับบ้านคุณยายท่านนี้ หลังบ้านจะหันชนกัน) เพื่อขอความช่วยเหลือ ผมก็..เฮ้ย! อะไรอ่ะ แกเรียกชื่อคนข้างๆ บ้านที่รั้วอยู่ติดกัน (น่าจะไม่รู้จักผม ซึ่งอยู่คนละซอยแต่หลังบ้านหันชนกัน) แกเรียกอยู่นาน คนข้างบ้านก็เงียบ
ผมก็เอาวะ! สงสัยเขาคงนอนปิดประตูเปิดแอร์อยู่ชั้นสอง แบบนี้คงไม่ได้ยินแหงมๆ แต่ผมยังอยู่ชั้นล่างยังไม่ได้ขึ้นไปนอนบนชั้นสอง ประกอบกับช่วงตีหนึ่งมันเงียบมาก เลยได้ยินเสียงชัด เมื่อผมคิดว่าคนรู้จักที่รั้วติดกับบ้านแก ไม่ออกมาแน่ ผมเลยไขประตูออกไปหลังบ้าน เรียกแกผ่านกำแพงอิฐบล็อกฉลุ ที่ก่อเป็นรั้วกั้นระหว่างบ้านผมกับบ้านคุณยาย
คุณยายถามว่าผมเป็นใคร ผมตอบกลับไปว่า ผมอยู่บ้านที่หลังบ้านชนกับบ้านคุณยายนี่แหละครับ แกตะโกนขอความช่วยเหลือบอกว่า แกเข้ามาเอาของที่ห้องเก็บเสื้อผ้าหลังบ้าน แล้วลูกบิดประตู (มันคงเสีย) พอปิดแล้วก็เปิดออกอีกไม่ได้ ทำให้แกถูกขังอยู่ข้างใน แกพยายามจะเปิดลูกบิดด้วยตัวเองหลายครั้ง...แต่ไม่ออก แกทำไม่ไหวจนหมดแรงแล้ว อ้อ...คุณยายอายุ 75 แล้วนะครับ พักอยู่ในบ้านหลังนี้คนเดียว และไม่ได้เอาโทรศัพท์มือถือติดมือไป ตอนเข้าไปในห้องหลังบ้านนี้ด้วย
อ้าว...แล้วผมจะช่วยยังไงดีล่ะ? คุณยายบอกว่า น่าจะเข้าจากทางหน้าบ้านลำบาก เพราะแกล็อกกุญแจเอาไว้ 2 ชั้น ชั้นแรกเป็นรางประตูเหล็กยืดได้ (แบบที่ดึงยืดออกจนสุด จะเห็นเป็นรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดเรียงกัน) อีกชั้นเป็นประตูกระจกบานเลื่อนสีชา แกแนะนำว่า น่าจะทุบกำแพงอิฐบล็อกฉลุหลังบ้านแล้วเอาตัวลอดเข้ามาช่วยแก น่าจะง่ายกว่าการงัดประตูหน้าบ้าน
เสื้อยืดของกู้ภัยหนุ่ม (ซ้ายมือ) พิมพ์คำว่า “ชอบกู้ชีพ 100%” กับ เสื้อยืดของผม (คนกลาง) พิมพ์คำว่า “ทำงาน ทำงาน ทำงาน” 555+ | จริงๆ เวลานี้คือตีสาม มันมืดมาก แต่ที่ภาพดูสว่างเหมือนเวลา 1 ทุ่ม 2 ทุ่ม คงเพราะฟิลเตอร์ในมือถือ ที่ช่วยให้ถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้สว่างกว่าปกติ
เอาล่ะว้า...กู จะทุบอิฐบล็อกตอนตีหนึ่งกว่าๆ เดี๋ยวชาวบ้านได้ด่ากันขรม มันน่าจะมีทางออกอื่นๆ ที่ดีกว่านี้ หรือหาคนมาช่วยดีกว่า ผมคิดถึงกู้ภัยแต่ผมไม่มีเบอร์เลย ผมกลับเข้ามาในบ้านเสิร์ชหาในเน็ต ด้วยคีย์เวิร์ดคำว่า “กู้ภัย” แต่ดันเจอแต่เบอร์ที่ไม่ค่อยตรงกับเหตุการณ์นี้เท่าไหร่ เช่น หน่วยบรรเทาสาธารณภัย เจ็บป่วยฉุกเฉิน แจ้งคนหาย แจ้งรถหาย มั่ง
พอเจอเบอร์ที่คิดว่าน่าจะใกล้เคียงที่สุด ลองโทรไป...ปลายสายเป็นเสียงอัตโนมัติ บอกเป็นบริษัทประกันภัยก็มี เวร! ผมบ่นอุบในใจ สุดท้ายนึกถึงเบอร์ที่ผมจำได้มาโดยตลอด โดยไม่ต้องเสิร์ชหา คือเบอร์ 191 เอาวะ เอาอันนี้ล่ะ!
พอโทรไป ปลายสายเป็นเสียงคนรับ (น่าจะเป็นตำรวจ เพราะ 191 คือเบอร์ฉุกเฉิน แจ้งเหตุด่วน เหตุร้าย) ผมบรรยายเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง และบอกว่าผมไม่ใช่ผู้ประสบภัย แต่เป็นเพื่อนบ้านที่หลังบ้านอยู่ติดกัน ตำรวจอยากทราบรายละเอียดเพิ่ม ผมเลยต้องออกมาหลังบ้านอีกครั้ง ตะโกนถามคุณยายเพื่อจะบอกรายละเอียดตำรวจได้
สุดท้ายตำรวจแนะนำให้ติดต่อกู้ภัย เพราะตำรวจไม่มีหน้าที่แบบนี้ (คือการทุบกำแพง แบบที่คุณยายแนะนำ) โดยให้ผมวางสายก่อน แล้วจะให้กู้ภัยโทรกลับ ไม่นานกู้ภัยโทรเข้าเบอร์ผม เมื่อผมแจ้งรายละเอียดและพิกัดเสร็จ กู้ภัยจึงแจ้งว่ากำลังจะเดินทางมาหาผม
รออีกประมาณ 15 นาที กู้ภัยคนแรกขี่มอเตอร์ไซค์มาถึงบ้านผม ผมให้กู้ภัยเดินเข้าไปทางหลังบ้าน เพื่อคุยกับคุณยายโดยตรง คุณยายยังยืนยันเหมือนเดิมว่า ทุบกำแพงหลังบ้านน่าจะง่ายกว่างัดประตูหน้าบ้านเข้ามา ผมพากู้ภัยวนไปดูหน้าบ้านคุณยาย ก็เห็นประตูล็อกอยู่ 2 ชั้นจริง แต่กู้ภัยที่มาดูหน้างานก่อนเป็นคนแรกไม่มีอุปกรณ์ เขาจึงติดต่อเรียกทีมช่วยเหลือเพิ่ม
รออีกสักพักรถตู้กู้ภัยก็ขับมาถึงบ้านผม ลงจากรถมาเป็นชายหนุ่มอีก 3 คน หลังดูปัญหาหน้างานเสร็จ ทีมกู้ภัยปรึกษากันว่าจะช่วยอย่างไรดี หากจะทุบกำแพงตามที่คุณยายแนะนำ จำเป็นต้องให้เจ้าบ้านอนุญาตก่อน ไม่งั้นอาจมีปัญหาทางกฎหมายได้ในภายหลัง กู้ภัยถามหาเบอร์ลูกคุณยาย ผมไม่มี
สุดท้ายเลยขอลองวิธีที่คุณยายไม่แนะนำคือ จะลองงัดประตูหน้าบ้านก่อน กู้ภัยปีนรั้วหน้าบ้านเข้าไปในลานจอดรถ ตรงไปที่รางประตูเหล็กยืดได้ชั้นแรก ก็เห็นกุญแจโซ่คล้องอยู่ กู้ภัยพยายามง้างประตูเหล็กยืดออกให้ได้มากที่สุด จนเห็นประตูบานเลื่อนกระจกสีชาอีกชั้น (โชคดี) ที่คุณยายยังไม่ได้ล็อกกุญแจประตูบานเลื่อนกระจกนี้ ทำให้เปิดออกได้ ถ้าหากหาลูกกุญแจมาไขกุญแจโซ่ที่คล้องประตูเหล็กยืดได้ ก็ไม่จำเป็นต้องงัดประตูนี้ ตอนนี้กู้ภัยแบ่งออกเป็น 2 ทีม
ทีมที่ 1 อยู่หน้าบ้านมี 3 คน ทีมที่ 2 มี 1 คน อยู่กับผมที่หลังบ้าน กู้ภัยถามคุณยายว่าเอาลูกกุญแจไว้ตรงไหน โดยกู้ภัยทั้ง 2 ทีมนี้ใช้วิทยุคุยกัน คุณยายบอกว่า วางลูกกุญแจไว้บนโต๊ะในบ้าน กู้ภัยทีมที่ 1 จึงสอดท่อ PVC ยาว (ท่อนี้น่าจะเป็นราวตากผ้า ที่อยู่หน้าบ้านคุณยาย) ผ่านประตูบานเลื่อนกระจกเข้าไป เพื่อเขี่ยหาลูกกุญแจภายในตัวบ้าน ไม่นานทีมกู้ภัยก็เขี่ยหาลูกกุญแจได้สำเร็จ จนไขแม่กุญแจเข้าไปภายในตัวบ้านได้
รูปนี้ใช้ flash ช่วย ทำให้เห็นหน้าตาของแต่ละคนชัดขึ้น จะเห็นแถบสะท้อนแสง ที่ขากางเกงของกู้ภัยหนุ่มคนขวาสุด สว่างวาบสะท้อนรับแสง flash อย่างชัดเจนเลย
ผมไม่เห็นเหตุการณ์หน้าบ้านคุณยาย เพราะอยู่กับกู้ภัยทีมที่ 2 หลังบ้าน หลังจากกู้ภัยทีมที่ 1 ไขประตูเปิดออกได้ ผมเดินมาที่หน้าบ้านคุณยายอีกครั้ง เห็นคุณยายเดินออกมาแล้ว ด้วยตัวที่เปียกโชก น่าจะร้อนด้วย ตกใจด้วย จนทำให้เหงื่อออกเต็มตัว ผมถามกู้ภัยว่าพอเดินเข้าไปถึงห้องเก็บเสื้อผ้าแล้ว ได้ทุบลูกบิดประตูเลยหรือเปล่า กู้ภัยตอบว่า “เปล่า” แต่เอาเท้าถีบประตูให้เปิดออกเลย อ้าวววววววว........ (ฮา) ต้องรีบไว้ก่อน น่าจะดีที่สุดนะครับ
ผมยังได้ถามกู้ภัยอีกว่า เคยเจอเหตุการณ์ทำนองนี้บ่อยมั้ย เขาตอบว่าเจอประจำ ที่คนแก่อยู่คนเดียวแล้วเผลอล็อกตัวเองอยู่ในห้องแบบนี้ ผมถึงกับเหวอ.....เหรอ? ไม่รู้มาก่อนว่าจะพบบ่อยๆ กู้ภัยยังบอกอีกว่า ดีที่ผมยังไม่นอนและได้ยินเสียงคุณยายตะโกนขอความช่วยเหลือ เพราะเขาเคยเจอเคสที่แม้จะตะโกนขอความช่วยเหลือ แต่กลับไม่มีใครได้ยิน ภายในห้องก็ไม่มีทั้งน้ำและอาหาร
เมื่อถูกขังไปนานๆ สุดท้ายบางรายเกิด ฮีทสโตรก (Heatstroke) คือภาวะที่อุณหภูมิในร่างกายสูงผิดปกติ (เกิน 40 - 41องศาเซลเซียส) ด้วยอากาศที่ร้อนอบอ้าวภายในห้องปิดตาย ผสมกับความตกใจกลัว จนทำให้เสียชีวิตได้
เมื่อการช่วยเหลือประสบผลสำเร็จ ผมมองดูนาฬิกา อ้าวตีสามซะแล้ว ผมถามอีกว่าคุณอยู่ใกล้ๆ แถวนี้เหรอ ถึงมาได้เร็ว กู้ภัยตอบผมว่า พวกเขาประจำอยู่บริเวณสถานีตำรวจใกล้ๆ นี้เอง และวันนี้เป็นเวรของพวกเขา ซึ่งเป็นทีมกู้ภัยของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดยจะสลับวันกับทีมกู้ภัยของมูลนิธิร่วมกตัญญู (เท่าที่ฟังจากปาก เขาเล่ามาแบบนี้นะ)
ผมสังเกตอีกอย่างคือ ทีมกู้ภัยที่มาช่วยเหลือคืนนี้ ยังหนุ่มมาก ดูจากสายตามี 2 คน ที่อายุน่าจะ 20 ต้นๆ อีกคนที่บุคลิกดูเป็นหัวหน้าทีมหน่อย ก็น่าจะราวๆ 30 กว่าๆ แต่กู้ภัยที่ขี่มอเตอร์ไซค์มาเจอผมเป็นคนแรก คนนี้น่าจะซัก 40 (โดยประมาณจากสายตานะครับ) หลังเสร็จงานผมขอถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก แต่ที่เห็นในภาพมีแค่ 2 คน คือ 1 คนเป็นคนถ่ายรูปให้ แต่อีก 1 คน ไม่อยากถ่ายครับ นั่งอยู่ในรถตู้
อ้อ....มีอีกเรื่องที่ได้คุยกันคือ กู้ภัยคนที่หนุ่มกว่า บอกว่าเขาเป็นจิตอาสาและชอบอาชีพแบบนี้ ก็ “ชอบกู้ชีพ 100%” อะนะ 555+ เขาทำด้วยใจ คงเพราะน่าจะยังไฟแรงอยู่ด้วย แต่กู้ภัยอีกคนที่อายุมาก จะบ่นให้ผมฟังเรื่อง ขอสินน้ำใจเป็นค่าน้ำมันรถสักหน่อยก็ยังดี เอิ่ม.ม.ม.ม...... ครับ แต่ผมไม่ใช่ผู้ประสบภัยนิ แค่ประสานงานให้ความช่วยเหลือเฉยๆ หรอกหนา.......
แต่ที่ผมเห็นคือ พอคุณยายออกมาได้แล้ว ก็ขอบคุณกู้ภัยทุกๆ คน พร้อมกับแจกสตางค์ให้ด้วยนะ คุณยายถามว่ามากันกี่คน พอผมเห็นแบบนั้น ผมก็รีบปลีกตัวออกมาทันที เพราะสินน้ำใจแบบนี้ ให้กู้ภัยดูจะเหมาะสมที่สุด ผมเป็นเพื่อนบ้าน...ยินดีให้ความช่วยเหลืออยู่แล้ว
อย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นอุทาหรณ์อย่างนึง เกี่ยวกับคนชราที่ปัจจุบันอาศัยอยู่เพียงลำพังมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เหตุการณ์ไม่คาดฝันแบบนี้อาจเกิดขึ้นได้ เรื่องลูกบิดชำรุดจนทำให้ตัวเองถูกขังแบบนี้ จะมองเป็นเรื่องเล็กๆ ได้มั้ย? ก็น่าจะทั้งใช่และไม่ใช่ หากกรณีที่มีคนอยู่ด้วย การเรียกให้มาช่วยเปิดประตูออกคงง่ายกว่ามาก แต่หากเป็นคนชราแถมยังอยู่ลำพังอีก หากเกิดอะไรแบบนี้....ก็จะยากขึ้นไปอีกครับ
จิด.ตระ.ธานี : #เล่าสู่กันฟังนะครับ
#Jitdrathanee

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา