5 ส.ค. 2022 เวลา 03:13 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
รีวิว : Emergency Declaration - ไฟลต์คลั่งฝ่านรกชีวะ
Filmment Rating : 7.2
#เนื้อเรื่องย่อ
เมื่อผู้โดยสารปริศนาก่อวินาศกรรมบนเครื่องบิน ด้วยการนำเอาเชื้อไวรัสที่มีอันตรายถึงชีวิตมาปล่อยกลางอากาศ ผู้โดยสารทุกคนจึงต้องพยายามเอาชีวิตรอด พร้อมกันนั้นรัฐบาลก็ต้องพยายามหาทางช่วยเที่ยวบินนี้ให้ปลอดภัยโดยเร็วที่สุด
#ความเห็น
นอกจากการได้รับเลือกให้เข้าฉายในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์เมื่อปีที่ผ่านมาแล้ว ภาพยนตร์เรื่อง Emergency Declaration - ไฟลต์คลั่งฝ่านรกชีวะ ยังเป็นอีกหนึ่งข้อพิสูจน์ถึงพัฒนาการอันยอดเยี่ยมของอุตสาหกรรมภาพยนตร์เกาหลี ที่พัฒนาและเติบโตขึ้นอย่างรอบด้าน ทั้งในแง่ของคุณภาพการผลิตที่ยกระดับขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการขยายฐานคนดูด้วยการเลือกสร้างภาพยนตร์แนวใหม่ๆ ที่ทะยานใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
Emergency Declaration เริ่มต้นได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการใช้เวลาอันน้อยนิดในช่วงแรกได้อย่างคุ้มค่า กับการแนะนำให้ผู้ชมรู้จักกับตัวละครอย่างไม่มากไม่น้อยเกินไป โดยเฉพาะกับตัวละครอย่าง ริว จินซ็อก วายร้ายที่สร้างความอึดอัดคับข้องใจให้กับผู้ชมได้ตั้งแต่วินาทีแรกที่ปรากฏตัว
ก่อนที่พาผู้ชมเทคออฟขึ้นสู่เที่ยวบินระทึก ด้วยการหยิบยื่นไวรัสร้ายที่มีอันตรายถึงชีวิตให้กับเรื่องราว ซึ่งกระบวนการถ่ายทอดความอันตรายของไวรัสที่ภาพยนตร์เลือกใช้ ก็สามารถสร้างความน่าสะพรึงกลัวให้กับภาพยนตร์ได้อย่างยอดเยี่ยม ขณะที่สถานการณ์ก็ทวีความบีบคั้นมากขึ้น เมื่อทุกอย่างนั้นเกิดขึ้นในสถานที่ปิดอย่างเครื่องบินโดยสารที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศครับ
นอกจากสถานการณ์สุดระทึกบนเครื่องบินแล้ว ภาพยนตร์ยังมีการแบ่งเส้นเรื่องได้อย่างน่าสนใจครับ โดยเฉพาะเรื่องราวการแก้ปัญหาของเหล่าตัวละครบนภาคพื้นดิน ทั้งจากหอบังคับการบินและหน่วยปฏิบัติการณ์พิเศษ ปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ รวมถึงการสืบหาต้นตอของไวรัส
อย่างไรก็ตาม ภาพยนตร์เลือกเชื่อมทุกเส้นเรื่องเข้าหากันด้วยความบังเอิญจนเกินงามครับ ไม่ว่าจะเป็น แจฮย็อก ซึ่งผู้มีอดีตอันโหดร้ายก็บังเอิญเจอกับคู่กรณีของเขาบนเที่ยวบินลำนี้ หรือ อินโฮ นายตำรวจยศจ่าที่ภรรยาอยู่บนเที่ยวบินนี้ด้วยความบังเอิญ นอกจากนี้เขายังสามารถแทรกตัวเข้าไปร่วมแก้ปัญหากับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของภาครัฐได้อย่างไม่มีที่มาที่ไป ขณะที่ส่วนที่น่าสนใจที่สุดของเรื่องราวอย่าง จุดประสงค์และแรงจูงใจของตัวละครอย่าง ริว จินซ็อก กลับไม่ได้ถูกขยายความเพื่อเติมเต็มมิติของเรื่องราวมากนัก
และแม้ว่าภาพยนตร์จะโดดเด่นด้านการสร้างความระทึกขวัญขนาดไหน แต่ Emergency Declaration ก็ยังไม่ทิ้งลายเซ็นต์เฉพาะตัวของภาพยนตร์จากเกาหลีใต้ ที่สามารถสร้างดราม่าให้กับตัวละครได้ในทุกสถานการณ์ โดยเฉพาะกับปูมหลังของตัวละครอย่างแจฮย็อก และการตั้งคำถามอันแสนท้าทายว่า หากเครื่องบินลำนี้ลงจอดแล้วทำให้ผู้คนทั้งโลกติดไวรัส มันเป็นความเสี่ยงที่ควรแบกรับหรือไม่ ทำให้จังหวะการเล่าเรื่องอันเข้มข้นในช่วงต้น ถูกชะลอให้ช้าลงเพื่อขยายทั้ง 2 ประเด็นดังกล่าวมากขึ้น
แต่ถึงกระนั้นเมื่อภาพยนตร์เดินทางมาถึงช่วงเวลาสำคัญที่ต้องเฉลยความลับทั้งหมด ทุกอย่างกลับดูเบาบางและขาดน้ำหนัก จนไม่สามารถสร้างอารมณ์ร่วมให้กับเรื่องราวได้มากเท่าไรนัก ขณะที่การตัดสินใจในช่วงเวลาสำคัญของเหล่าตัวละครก็ดูขาดเหตุผลรองรับและมุ่งมั่นในการสร้างโมเมนต์ดราม่าให้กับภาพยนตร์มากจนเกินไป นำไปสู่ตอนจบที่ค่อนข้าง Play Safe และคาดเดาได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
งาน Production ของภาพยนตร์นั้นเป็นตัวชูโรงในการสร้างความระทึกขวัญให้กับเรื่องราวครับ โดยเฉพาะกับฉากบนเครื่องบินที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน กับการสร้างเครื่องบินจำลองที่สามารถหมุนได้ 360 องศาจริงๆ เพื่อการถ่ายทำ
ทำให้งานด้านภาพของภาพยนตร์นั้นออกมาอย่างยอดเยี่ยม ขณะที่การตัดต่อและดนตรีประกอบก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ เมื่อผสมรวมกับการแสดงอันยอดเยี่ยมของนักแสดงทุกคน ก็ทำให้ผู้ชมที่นั่งอยู่กับเบาะของโรงภาพยนตร์ ได้รับความรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนไม่ต่างกันกับตัวละครที่นั่งอยู่กับเบาะเครื่องบินเลยครับ
โดยสรุปแล้วภาพยนตร์เรื่อง Emergency Declaration - ไฟลต์คลั่งฝ่านรกชีวะ ทำได้อย่างยอดเยี่ยมในการสร้างความระทึกขวัญให้กับเรื่องราว พร้อมกันนั้นยังสามารถสอดแทรกความดราม่าให้กับเรื่องราวได้อย่างลงตัว และมีงาน Production ที่น่าชื่นชมเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตามภาพยนตร์ก็ยังคงมีปัญหาด้านการเล่าเรื่องอยู่บ้าง ทั้งการผูกเรื่องราวทั้งหมดเข้าหากันด้วยความบังเอิญจนเกินไป หรือมีการตัดสินใจของบางตัวละครที่ขาดความน่าเชื่อถือไปบ้าง แต่ถึงกระนั้นภาพยนตร์ก็ยังมีมาตรฐานที่ดีเยี่ยมและควรค่าแค่การรับชมในโรงภาพยนตร์ครับ
#ประเด็นตกผลึก
ประเด็นตกผลึกจากภาพยนตร์เรื่อง Emergency Declaration ที่ผมจะชวนผู้อ่านทุกท่านมาคุยกันในวันนี้ก็คือ
ทุกชีวิตของมนุษย์ควรได้รับการดูแลปกป้องจากภาครัฐอย่างเท่าเทียมหรือไม่
หนึ่งในสิ่งที่ผมชอบจากภาพยนตร์เรื่อง Emergency Declaration ก็คือ การท้าทายด้านมืดในจิตใจของผู้ชมครับ โดยภาพยนตร์พาผู้ชมและตัวละครเดินทางขึ้นสู่เครื่องบินเที่ยวระทึก ซึ่งเป็นดั่งสภาพสังคมจำลองที่มีมนุษย์หลากหลายรูปแบบอยู่รวมกัน และเมื่อไวรัสเกิดการระบาดขึ้น กลุ่มตัวละครทุกคนจึงเริ่มเผยสันดานดิบของตัวเองออกมา และแน่นอนครับว่าในสถานการณ์แบบนี้ ไม่แปลกที่ภาพยนตร์จะเลือกสร้างตัวละครอันแสนเห็นแก่ตัวที่ผู้ชมเกลียด หรือสาปแช่งให้ตัวละครเหล่านั้นพบกับจุดจบ
แต่ในขณะเดียวกันมันก็ชวนให้เราคิดในมุมกลับครับว่า การที่เราอยากให้ตัวละครซึ่งเป็นดั่งมนุษย์คนหนึ่งนั้นตายลงเพียงเพราะนิสัยแย่ๆ ของพวกเขา แล้วคุณค่าที่แท้จริงของชีวิตมนุษย์มันคืออะไรกันแน่ มันควรค่าแก่การถูกปกป้องรักษากันอย่างเท่าเทียมหรือไม่ และยิ่งเราอยากให้ตัวละครเหล่านั้นพบเจอกับจุดจบมากเท่าไร ก็ยิ่งตอกย้ำด้านมืดภายในจิตใจของตัวเราเองมากขึ้นเท่านั้น
ซึ่งแง่มุมดังกล่าวก็ถูกต่อยอดไปถึงการตัดสินใจของเหล่าตัวละครด้วยเช่นกันครับ โดยภาพยนตร์ได้ทำการสะท้อนการทำงานของเจ้าหน้าที่ภาครัฐ และสำรวจความใส่ใจที่พวกเขามีต่อประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไวรัสที่ระบาดบนเครื่องนั้นเป็นเชื้อชนิดใหม่ที่ยังไม่มีวัคซีนสำหรับการรักษา
ทุกตัวละครจึงถูกผลักให้เผชิญหน้ากับความไม่รู้ และแน่นอนครับว่า ความไม่รู้ย่อมนำมาซึ่งความตื่นตระหนก ความกลัว และความเห็นแก่ตัว สิ่งที่น่าสนใจและเป็นสัจธรรมเสมอก็คือ มนุษย์ทุกคนมีวิธีการรับมือกับความไม่รู้และความกลัวของตัวเองอย่างแตกต่างกันครับ
ตัวละครอย่าง ซุกฮี ซึ่งเป็นรัฐมนตรีของประเทศเกาหลี พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เที่ยวบินดังกล่าวลงจอดอย่างฉุกเฉินให้ได้ แต่ถึงกระนั้นเธอก็ต้องต่อสู้กับความคิดของชนชั้นผู้นำมากมาย ที่ต่างก็มองความมั่นคงของประเทศเป็นเรื่องใหญ่ และคิดว่าการนำเอาเครื่องบินลงจอดในประเทศนั้นเป็นความเสี่ยงที่จะทำให้ทั้งโลกติดไวรัสไปด้วยจึงทำให้เครื่องบินลำนี้ไม่ได้รับอนุญาตให้ลงจอดไม่ว่าจะในประเทศใดก็ตาม
การตัดสินใจดังกล่าวเป็นภาพสะท้อนชั้นดีต่อมุมมองของชนชั้นผู้นำที่มีอำนาจการตัดสินใจในมือ และตัดสินใจทุกอย่างด้วยความหวาดกลัว ส่วนสถานการณ์ในภาพยนตร์จะลงเอยอย่างไรนั้นต้องไปติดตามกันในโรงภาพยนตร์นะครับ
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้เชื่อว่าผู้อ่านทุกท่านน่าจะคิดเห็นตรงกันครับว่า ไม่มากก็น้อย ภาพยนตร์น่าจะได้รับอิทธิพลสำคัญมากจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ไวรัสที่ระบาดอย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะเป็นนักโทษประหารหรือนักสังคมสงเคราะห์ผู้ใจบุญก็มีโอกาสติดเชื้อเท่ากันทั้งหมด
แต่สิ่งที่แตกต่างอย่างรอบด้านกันคือมนุษย์ ทั้งในด้านชนชั้น อำนาจ ฐานะ และทัศนคติที่แต่ละคนนั้นมีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน โดยเฉพาะกับชนชั้นผู้นำที่ทุกมุมมองและความคิดของพวกเขามีผลต่อการตัดสินใจในวงกว้าง ดังนั้นคำถามสำคัญที่ภาพยนตร์มอบให้ก็คือ ถึงแม้ประชาชนจะตกเป็นเบี้ยล่างของพวกเขาในเชิงโครงสร้างของอำนาจ แต่หากมองในฐานะมนุษย์คนหนึ่งแล้ว ประชาชนทุกคนควรจะได้รับการดูแลปกป้องจากภาครัฐอย่างเท่าเทียมกันหรือไม่ ฝากไว้ให้คิดกันนะครับ
#EmergencyDeclaration #ไฟลต์คลั่งฝ่านรกชีวะ #Filmment
โฆษณา