10 ส.ค. 2022 เวลา 13:57 • ไลฟ์สไตล์
เรื่องของบุญนั้น มันเป็นเรื่องราวของการที่เราได้สังขารพ่อแม่ ไปทำมาหากิน ด้วยแรงกายของพ่อแม่ จิตของเราอาศัยอยู่ในเรือนกายของพ่อแม่ เราก็ต้องดูแลเรือนกายที่พ่อแม่ให้มา ใช้ให้เป็นประโยชน์ หากเราไม่ใช้เรือนกายพ่อแม่ ไปเสาะหากิน ไปทำมาหากินหล่อเลี้ยงกายที่พ่อแม่ให้จิตเราอาศัยอยู่ จิตเราจะอาศัยอยู่ในเรือนกายนี้เป็นสุขมั้ย
เมื่อเราได้ปัจจัยมา เราก็แบ่งตอบแทนพ่อแม่ ให้ปัจจัยให้แรงกายกลับไปช่วยเหลือดูแล ใช้คำพูดทร่ดีๆกับพ่อแม่ เพราะเราเป็นผู้รับรู้จักเรื่องของความกตัญญูรู้คุณ ที่พ่อแม่ให้สังขารนี้มา ดูแลทะนุถนอม จิตเติมโต ใ้ห้เรียนรู้จักเรื่องราวต่างๆ จนสามารถทำงานใช้แรง ได้เงินทองมาหล่อเลี้ยงสังขาร
เงินทองที่เราหามาได้เรากแบ่งปัน สละออกมา เพราะเวลาเราไปเสาะแสวงหา ทำมาหากิน เราก็ต้องใช้อารมณ์โลภโกรธหลง ไปเห็นคนนี้คนนั้นไม่ ไม่ชอบใจ ไปติเตียน แม้กับข้าวกับปลาที่ที่จะกินก็ยังติ ติว่าไม่อร่อยบ้าง บ้างก็อร่อย มันเป็นอารมณ์กรรมทั้งนั้น ที่เราไปใช้เพื่อเสาะแสวงหาปัจจัยมา
กรรมนั้นสะสมไว้ที่ไหนบ้าง ก็ในตัวตนของเรานั้นแหละ ที่ต้องเครียด ต้องเหนื่อย เจ็บปวด เมื่อยล้า นั่นก็เป็นกรรม ที่เค้าแสดงออกมาให้เห็นเหมือนกัน เพราเราเป็นผู้ใช้กายพ่อแม่ ทำให้กายนี้เหนื่อยยากเอง กรรมที่ลึกลงไปก็มีการสะสมอยู่ที่ธาตุทั้งสี่ ที่เราเรียนรู้จักยาก
เมื่อเราได้ปัจจัยมา มันก็มีความโลภความโหหลง ซ่อนเร้นอยู่สิ่งของนั้น มีความยึดถือว่าเป็นของเรา มีความหวงแหน เราก็นำปัจจัยที่เราได้มา แบ่งปันเล็กน้อย น้อมระลึกถึงกายที่ให้สังขารเรามา นำปัจจัยนั้นมาแปรสภาพเป็นบุญ ทำบุญด้วยความนอบน้อม เมื่อเรานับถือพุทธ เราก็น้อมถวายต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า บำรุงพระศาสนาของท่าน ที่ชี้ท่านให้จิตรู้จักทุกข์ แล้วก็หนีทุกข์ แล้วเราก็ทำความเข้าเสียหน่อย คำว่าทุกข์ ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ นั่นเรารู้จักทุกข์ในความหมายที่ท่านสอนท่านตรัสจริงหรือไม่
เมื่อพระพุทธเจ้าท่านไม่อยู่ กก็มีนักบวชครองผ้ากาสาวพัสตร์ เป็นเครื่องหมายของธรรม ที่ท่าเคยตรัสสินไว้ เราก็ทำบุญกับเครื่องหมายธรรม น้อมจิตถวายต่อเครื่องหมายธรรม(ไม่ไปยึดที่นักบวช) สิ่งที่จะช่วยให้บุญกุศล นั้นสำเร็จ เราก็ของพระธรรมคำสั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า อุทิศส่วนกุศลนี้ให้ เจาะจงไปให้ใครที่ล่วงลับไปแล้ว เจ้ากรรมนายเวร (สิ่งที่ทำให้เรามีอุปสรรค เจ็บป่วยมากมาย) เรื่องเจ้ากรรมนายเวร มันก็เนื่องด้วยวิบากกรรม ที่ส่งมาให้เกิดขึ้นในกายที่เราอาศัย
เรื่องการทำบุญ เวลากรวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวร ทร่อใครที่ล่วงลับไปแล้ว จิตวิญญาณที่ล่วงลับไปแล้วก็ต้องการบุญบริสุทธิ์ ที่เจ้าของให้ด้วยความเต็มใจ ถ้าเราเจาะจงไปคนอื่นก็ไปหยิบไม่ได้ เหมือนอาหารที่เราถวายเจาะจงไป ให้นาย ก จิตวิญญาณอื่นก็หยิบจับไม่ได้ เพราะเค้าก็มีกฏของเค้า บางดวงจิต ก็รับบุญไม่ได้เลย เพราะสร้างแต่กรรม ก็เหมือนคนเรานั่นแหละ ที่ไม่รู้จักพระ ทำบุญก็ไม่เคยทำ ตายไปมีแต่กรรม ทุกข์ทรมาน กรรมนั้นก็ทำให้จิตนั้นรับบุญไม่ได้
บางคนจะทำบุญก็หมิ่นบุญของตัวเองว่าน้อย ที่จริงความสำคัญอยู่ที่นำกิริยากายวาจาใจที่ดี มาน้อมถวาย ด้วยความเต็มใจ ยาจกก็กระทำได้ เหมือนขอทานถวายข้าวต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทำด้วยความนอบน้อมเต็มใจทำ ในสิ่งที่ตนมี พระพุทธเจ้าท่านก็ฉันข้าวในกะลาของยาจก ไม่ได้ไปฉันข้าวที่เศรษฐีตระเตรียมถวายให้
บางคนก็ทำตนยิ่งใหญ่กว่าเครื่องหมายธรรม มีทรัพย์สมบัติมาก มียศมีตำแหน่งหน้าที่ใหญ่ทำตนยิ่งใหญ่ ไม่ได้กิริยาที่นอบน้อม ในบุญกุศลที่ตนทำเลย ทำแบบเหวี่ยงทิ้งไป ให้มันสำเร็จคิดไปเองเออเองว่าเป็นบุญ ทำกิริยาแบบนี้มันน่าอนุโมทนามั้ย ยิ่งประเภททำบุญที่ใจคิดว่าดีแล้ว ทำส่งไปเสี้ยววินาที พระก็ยังหันมามองไม่ทัน เอ๊ะ..โยมทำอะไร พระก็อ่านใจโยมไม่ออก งั้นก็ทำเองส่งบุญตามใจของโยมก็แล้วกันอย่าให้ต้องมาถึงพระเลย
ส่วนเรื่องราวของคำว่า บารมีเพื่อตัดขาดอารมณ์ ตัดขาดบ่วงกรรม จิตนั่นต้องมีขันติเป็นบารมี ตัดขาดเรือนกายตัดขาดอารมณ์ ทั้งหมดได้ รู้จักทุกข์จริง เหมือนที่เจ้าชายสิทธัตถะท่านกระทำ คือต้องเข้าป่า ไปปฏิบัติ ให้รู้จักทุกข์จริงๆ เมื่อจิตมีขันติเป็นบารมี ผจญทุกข์ในเรือนกายได้ รู้จักจักทุกข์จริง จิตก็มีปัญญาหนีทุกข์ หลุดพ้นไปได้ ด้วยขันติเป็นบารมี
สมัยนี้ นักบวชก็รีบ โยมก็รีบ ต่างคนต่างรีบ รีบแล้วเป็นยังไง มันก็ร้อน ลุกลี้ลุกลน กิริยาดีๆ ทีจะเอาเรือนกายพ่อแม่มาทำบุญ มันก็เลยไม่ค่อยเกิดเป็นบุญกุศล จิตก็ไม่พร้อมทำบุญ แล้วกายก็ไปอยู่ในกิริยาที่ดีๆ ที่พร้อมทำบุญ อุทิศส่วนกุศล ก็ดูเองก็แล้วกัน ว่าจะเกิดเป็นบุญมั้ย ยิ่งเวลาอุทิศส่วนกุศล จบท้าย ขอให้ข้าพเจ้าร่ำรวย นั้นยิ่งเสียหายหนัก เหมือนเรายื่นของกินให้คนที่หิว ยื่นจะไปถึงปากดึงกลับมากินเสียเอง แล้วมันจะถึงเจ้ากรรมนายเวรมั้ย กลับจะยิ่งทำให้โมโหหิว ทำร้ายคนที่มาหลอกเค้าได้ ไปคิดดูน่ะ
แล้วเมื่อเราถวายสิ่งของตาของเราจับอยู่ที่สิ่งของที่เราทำหรือเปล่า ตาบันทึกการกระทำของเราไปที่ธาตุทั้งสี่ ถ้าตาเราไปดูสุนัข ระหว่างทำบุญประเคนของ ต่อเครื่องหมายธรรม จิตเราก็บันทึกภาพสุนัขลงไปที่ธาตุทั้งสี่ ไม่มีภาพที่มือเราประเคนด้วยกายของพ่อแม่เลย นั้นแหละที่จะเป็นหลักฐานการสร้างบุญติดไปกับจิตของเรา
ฟังพระท่านเล่าให้ฟัง ในสมัยต้นพุทธกาล ผู้ที่จะใส่บาตร ต้องนอบน้อมจริงๆ ทำกายให้นิ่ง จิตนิ่ง พระอรหันต์ท่านถึงจะเปิดฝาบาตรให้ใส่ เพราะท่านรู้จักวาระจิตของโยม ท่านรอจนจิตโยมนิ่ง เพิ่อจะเกิดบุญกุศล จิตของโยมนิ่ง จิตก็รับแสงสว่างจากพระอรหันต์ได้ กายและจิต ก็ได้รับบุญกุศล เป็นกายของบุญ จิตโยมอยู่ในเรือนกายที่เป็นบุญ จิตก็มีความสุข กายบุญก็ไม่มีเรื่องราวทุกข์ร้อยอะไร แล้วเวลาจิตออกจากสังขาร ก็ออกไปแบบสบายไม่ทุกข์ทรมาน เหมือนคนสะสมกายมีแต่กรรมเป็นกายกรรม
พระท่านบอกว่า เวลาจะถวายปัจจัย ก่อนถวายก็ให้นึกถึงว่า ได้นำกายนำสังขารที่พ่อแม่ให้มาเนี่ย ไปหาปัจจัยมา มันเหน็ดเหนื่อยลำบากกายลำบากใจลำบากกายมั้ย อ้าว..เมื่อจะนำปัจจัยที่หามา เอามาถวายโยมไม่หวงหรือไง อุตส่าห์ไปทำงานเหน็ดเหนื่อยยากลำบากกว่าจะได้ปัจจัยมา แล้วจะทำบุญทั้งที่โยมทำไม่ไม่เห็นความสำคัญ ไม่ตั้งใจทำให้มันดี เอากิริยาดีที่มีความสุขมาทำล่ะ
อีกเรื่องหนึ่ง เวลาทำบุญ ให้เอาจิตที่เข้มแข็งมาทำบุญ ทำให้เหมือนนักรบออกศึกสงคราม อย่าไปเอาตัวโศกตัวเศร้ามาทำบุญ ทำจิตทำใจให้ดี จะทำบุญทั้งที่ทำให้เต็มที่ด้วยกำลังของจิตเรา ที่เวลาเราสร้างกรรม โมโห เรายังทำเต็มที่เลย อย่าไปทำบุญแบบกระมิดกระเมี้ยน ทำให้เต็มที่ของเรา บุญของเราเอง เราไม่ได้ไปสร้างกรรมสักหน่อย เราสร้างบุญ จิตเราต้องการบุญ บังคับกายให้นิ่งได้ จิตนิ่งได้ ไม่นึกคิดอะไร เพื่อทั้งกายทั้งจืตจะได้บุญ มีความสุขของบุญเกิดขึ้นแก่จิตของตน
โฆษณา