25 ส.ค. 2022 เวลา 22:10 • ท่องเที่ยว
Wellness Tourism ผลักดันประเทศไทยสู่ศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพโลก
กระแสการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หรือ Wellness Tourism เริ่มเป็นที่จับตามองและได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวเลือกเดินทางมาสัมผัสกับบรรยากาศและฟื้นฟูสุขภาพไปพร้อมๆ กับการท่องเที่ยว
จากการประเมินของ Global Wellness Institute การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ จะกลับมาเติบโตแบบก้าวกระโดด เฉลี่ยสูงถึงปีละ 20.9% และมูลค่าสาขานี้จะทะลุ 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในปี พ.ศ. 2567 ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ (Medical Hub) ของภูมิภาคเอเชียและก่อนการเกิดโควิด-19 ประเทศไทยมีรายได้หลักจากการเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวชั้นนำของโลก ในปี พ.ศ. 2563 ประเทศไทยถูกเลือกให้เป็น Wellness Destination อันดับ 2 ของโลก จากการจัดอันดับโดย Global Wellness Institute
และล่าสุดปี พ.ศ. 2565 ประเทศไทยถูกจัดให้เป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่น่าเดินทางไปเยือนมากที่สุดในโลก อันดับ 4 จากผลสำรวจเกี่ยวกับแผนการท่องเที่ยวระดับโลกของวีซ่า (Visa Global Travel Intentions Study)
ผู้ประกอบการในประเทศไทย เช่น โรงแรม รีสอร์ท กำลังใช้ประโยชน์จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกสำหรับการพักผ่อนเพื่อสุขภาพ การท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศและทำให้อยากที่จะกลับมาอีกเรื่อย ๆ
แล้วทำไมชาวต่างชาติถึงเลือกประเทศไทย ?
อุตสาหกรรมด้านสุขภาพคิดเป็น 5.3% ของการผลิตทางเศรษฐกิจทั่วโลกตามข้อมูลของ Global Wellness Institute การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความสวยความงามและความอ่อนเยาว์ ตอนนี้ดูเหมือนว่าคนหนุ่มสาวจะรักษาวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดี ตัวแปรที่มีอิทธิพลหลักบางประการที่ควบคุมการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพของประเทศไทย มีดังนี้
1. ปัจจุบันและอนาคตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของไทย
ก่อนเกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 ผู้คนจากต่างประเทศมักเดินทางมาที่ประเทศไทย เพื่อมาใช้บริการด้านการแพทย์และสุขภาพอื่น ๆ จากโรงพยาบาลไทยเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี ชาวต่างชาติทุกชนชาติสามารถเข้าถึงการดูแลคุณภาพสูง พร้อมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกชั้นยอดด้วยค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าการรักษาในประเทศตนเอง
2. การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของประเทศไทย
มีเหตุผลทางการแพทย์หลายประการที่ว่าทำไมประเทศไทยถึงดีที่สุดสำหรับการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ การระบาดใหญ่ของโควิดอาจทำให้โลกส่วนใหญ่หยุดนิ่ง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ศูนย์กลางการแพทย์ในทุกด้านของการดูแลสุขภาพของประเทศไทยช้าลง ซึ่งก่อนล็อกดาวน์ นักท่องเที่ยวทางการแพทย์ใช้จ่ายเงิน 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในประเทศไทย ทำให้เป็นตลาดที่โดดเด่นที่สุดติดอันกับของโลก ตามรายงานของ World Travel and Tourism Council
เหตุผลหลัก ๆ นั่นก็คือ โรงพยาบาลเอกชนในประเทศไทยมีความโดดเด่นอย่างแท้จริง เนื่องจากแพทย์ในประเทศได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีในด้านการรักษาและหัตถการสมัยใหม่ นอกจากนี้ โรงพยาบาลยังติดตั้งเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยที่สุด แพทย์และเจ้าหน้าที่อื่น ๆ ในโรงพยาบาลที่นักท่องเที่ยวทางการแพทย์ให้ความสนใจในประเทศไทย มีทักษะทางภาษาที่ยอดเยี่ยม ดังนั้นผู้ป่วยจึงมีปัญหาในการสื่อสารเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยก็ว่าได้ครับ
นอกเหนือจากด้านการแพทย์แล้ว นักท่องเที่ยวหรือผู้ป่วยที่เดินทางมาประเทศไทยเพื่อรับการรักษามักจะทึ่งกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่ยอดเยี่ยมของโรงพยาบาลในไทย เนื่องจากการบริการมีความคล้ายคลึงกับโรงแรมระดับโลกอีกด้วย
แต่เหนือสิ่งอื่นใด การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ไม่เหมาะสำหรับการรักษาพยาบาลฉุกเฉิน ซึ่งหากเกิดกรณีนี้ควรได้รับการปฏิบัติโดยเร็วที่สุดในสถานพยาบาลที่ดีที่สุดในพื้นที่ใกล้เคียงมากกว่า มาดูสาเหตุทั่วไปว่าเพราะอะไร ผู้คนจึงเดินทางไปต่างประเทศในฐานะนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์โดยใช้ประเทศสหรัฐอเมริกา (US) เป็นข้อมูลอ้างอิงกันครับ
ขั้นตอนการเสริมความงาม รวมถึงการทำทันตกรรม ทรีทเม้นท์ต่อต้านริ้วรอย วีเนียร์ หรือการทำศัลยกรรมเสริมความงามอื่น ๆ ที่ผู้ป่วยต้องการจะทำ ประหยัดเงินได้มาก ซึ่งการรักษาทางทันตกรรมเป็นเหตุผลหลัก ๆ ในการมาประเทศไทย คลินิกทันตกรรมเฉพาะทางที่ได้รับการรับรองเต็มรูปแบบสามารถเทียบได้กับประเทศอื่น ๆ และค่าใช้จ่ายก็ถูกกว่ามากเช่นกันครับ
มาดูกันที่ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของการสแกน MRI ในสหรัฐอเมริกาคือ 2,611 ดอลลาร์สหรัฐ ไม่น่าแปลกใจที่บางคนยินดีจ่ายสำหรับเที่ยวบินมายังประเทศไทย ซึ่งการสแกนแบบเดียวกันอาจมีราคาระหว่าง 250 ดอลลาร์สหรัฐ ถึง 1,100 ดอลลาร์สหรัฐ การเดินทางมาประเทศไทยนั้น ช่วยให้ประหยัดเงินในการสแกนทางการแพทย์อื่น ๆ ด้วย เช่น การสแกน PET, CT scan, อัลตราซาวนด์ และเอ็กซ์เรย์
ในส่วนของการผ่าตัดหัวใจ สามารถประหยัดเงินได้มากที่สุด เช่น การเปลี่ยนลิ้นหัวใจ รวมถึงการผ่าตัดบายพาส แม้ว่าขั้นตอนประเภทนี้อาจมีราคา 75,000 เหรียญสหรัฐในสหรัฐอเมริกา แต่มีแนวโน้มว่าจะมีค่าใช้จ่ายเพียงหนึ่งในสามของราคานั้นในประเทศไทย
นอกจากเรื่องราคายังมีเรื่องของสภาพแวดล้อมและการบริการ ที่ทำให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกว่าอึดอัดจากการรักษาในโรงพยาบาล เพราะการบริการของโรงพยาบาลเอกชนในไทย คล้ายกับโรงแรม 5 ดาวเลยก็ว่าได้ แถมยังมีการจัดโปรโมชั่นอยู่ทุกปี ช่วยดึงดูดอยู่เสมอครับ
ซึ่งในอนาคต เทรนด์การท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพในประเทศไทยนั้น จะเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ จะไม่ใช่แค่การรักษาในโรงพยาบาลเพียงอย่างเดียวแล้ว แต่ยังเดินทางมาเพื่อพัฒนาตนเองทั้งทางร่างกาย จิตใจ โภชนาการ อารมณ์ และจิตวิญญาณ มีกิจกรรมหลายประเภทที่สามารถอยู่ภายใต้การดูแลของการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ ได้แก่
  • 1.
    โภชนาการ
  • 2.
    สมุนไพร
  • 3.
    ฟิตเนสและจิตใจร่างกาย
  • 4.
    การดูแลป้องกันส่วนบุคคล
  • 5.
    แพทย์แผนไทย
  • 6.
    สปา
  • 7.
    การทำสมาธิ
  • 8.
    โยคะ
  • 9.
    ทรีทเม้นท์ความงามและชะลอวัย
  • 10.
    การแพทย์ทางเลือก และอื่น ๆ
รู้จัก Hotelsup มากขึ้น : https://www.hotelsup.co/
โฆษณา