28 ส.ค. 2022 เวลา 08:34 • ประวัติศาสตร์
♦️ยุทธการบ้านร่มเกล้า♦️ตอนที่ 2
ปัญญหาเขตแดนบริเวณ 3 หมู่บ้าน (บ้านใหม่ บ้านกลาง และบ้านสว่าง) ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ติดต่อระหว่างจังหวัดอุตรดิตถ์ (อำเภอบ้านโคก)
กับแขวงไชยะบุรี และบริเวณบ้านร่มเกล้า ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่เขตติดต่อระหว่างอำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก พื้นที่แรกๆ ที่ทหารลาวเข้ายึดครองพื้นที่บ้านใหม่ บ้านกลาง และบ้านสว่าง อยู่ในอำเภอบ้านโคก บริเวณสีม่วง ทหารไทยเตรียมเข้าผลักดันซึ่งทหารข้าศึกไม่ต้องการที่จะสู้รบด้วย ดังนั้นเมื่อกำลังของเราเข้าถึงที่หมายจึงไม่มีการปะทะรุนแรงเกิดขึ้นนอกจากการยิงเพียงประปรายเพราะทหารของอีกฝ่ายตั้งใจอยู่แล้วว่าจะถอนตัวออกไป
บทสรุปไทยสามารถครอง 3 หมู่บ้านให้เป็นของไทยได้อย่างถาวร รวมเนื้อที่ประมาณ19 ตารางกิโลเมตร
แต่ไม่มีฐานทหารตั้งอยู่ประกอบกับไทยต้องการเข้าเป็นสมาชิกมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ
ซึ่งการจะทำเช่นนั้นได้ เราจะต้องไม่มีปัญหาข้อพิพาทใด ๆ กับประเทศเพื่อนบ้าน ฝ่ายตรงข้ามจึงใช้เงื่อนไขในข้อนี้มาเป็นประโยชน์ด้วยการอ้างว่าพื้นที่ 3 หมู่บ้านเป็น "พื้นที่ปัญหา" ซึ่งจะต้องมีการเจรจากัน ฉะนั้นจึงขอให้ฝ่ายไทยถอนทหารออกไปซึ่งเราก็ยอมปฏิบัติตาม เพราะเกรงว่าจะถูกยับยั้งไม่ให้เข้าเป็นสมาชิกมนตรีความมั่นคง ฯ ด้วยเหตุผลดังกล่าวพื้นที่ 3 หมู่บ้าน จึงไม่มีฐานปฏิบัติการของทหารไทยตั้งมั่นอยู่อีกเลยนับจากนั้นเป็นต้นมา
วันที่ 31 พฤษภาคม 2530 ทหารลาวยกกำลังเข้ามาในพื้นที่ซึ่งฝ่ายไทยอ้างว่าอยู่ในเขตอำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก ทำลายรถแทรกเตอร์ของบริษัทป่าไม้เอกชนเสียหาย 3 คัน มีผู้เสียชีวิต 1 คน หายสาบสูญ 1 คน ทหารพรานชุด 3405 เข้าปะทะกับทหารลาว
วันที่ 1 มิถุนายน 2530 ทหารลาวเข้าโจมตีม้งที่บ้านร่มเกล้า และมีทหารลาวอีกชุดหนึ่งยกกำลังข้ามพรมแดนเข้ามาที่เขตบ้านนาผักก้าม และบ้าน
นากอก อำเภอนาแห้ว จังหวัดเลย ยิงราษฎรไทยตาย 1 คน จับกุมตัวไป 6 คน หนีรอดมา 1 คน โดยกล่าวหาว่าราษฎรเหล่านั้นลักลอบเข้าไปตัดไม้ในลาว
ไทยเข้าใช้พื้นที่บริเวณบ้านร่มเกล้าโดยจัดตัังเป็น หมู่บ้านช้าวม้งตั้งแต่ปี พ.ศ.2492 และจัดตั้งโรงเรียนบ้านร่มเกล้า ในปี 2522
ลาวมีชาติมหาอำนาจสนับสนุนอาวุธระบบสื่อสาร
กำลังผลรวมถึงจรวดพื้นสู่อากาศอีกทั้งยังได้รับ การฝึกจากรัสเซียอย่างเข้มข้นในเรื่องยุทรวิธีการรบป้องกันภัยทางอากาศ (ยิงแซม7 ดักหน้าดักหลังพร้อมกันหลายลูก เป็นเทคนิคของรัสเซีย ) ชาติที่สนับสนุนลาวได้แก่ เวียดนาม รัสเซีย คิวบา
เดือนธันวาคม ปี 2530 ทหารลาวเข้ายึดพื้นที่เนิน 1428 พร้อมทั้งเตรียมตั้งฐานปืนใหญ่ ขุดอุโมง บังเกอร์คอนกรีดเสริมเหล็กเพื่อให้ทนต่อการโจมตี จากปืนใหญ่หรือจากโจมตีทางอากาศ นี่ถือเป็นการประกาศชัดแจ้งว่าต้องการสู้รบยืดเยื้อกับฝ่ายไทย
ในวันที่ 13 ธันวาคม ปี 2530 กองพันผสมได้รับคำสั่งให้เคลื่อนกำลังเข้าตีที่หมาย หลังจากที่ทหารพรานจู่โจมซึ่งทำการลาดตระเวนพิสูจน์ทราบเป้าหมายบนเนิน1428 เกิดการปะทะกับกองกำลังของฝ่ายตรงข้าม ขอให้กองพันผสมเตรียมพร้อมเคลื่อนเข้าโจมตี
เพื่อผลักดันข้าศึกให้ถอยกลับออกไปจากเขตแดนไทย การรบที่ดุเดือด การสูญเสียชีวิตเหล่าทหารทั้งสองฝ่ายกำลังเริ่มต้นขึ้น
วันที่ 15 ธันวาคม ปี 2530 เคลื่อนกำลังฝ่าความมืด หมายเข้าโจมตีเนิน 1428 ต้องเดินเท้า 8 กิโล ถึงที่หมายในเวลา 6 โมงเช้า กำลังทั้งหมดก็เข้าใกล้ที่หมายในตำแหน่งที่สามารถทำการโจมตีข้าศึกตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย แต่เนื่องจากความอ่อนล้าจากการเดินทาง เป็นระยะทาง 8 กิโลเมตร ฝ่าภูเขา สูงชันป่ารกทึบ ผู้นำกองกองร้อยผสมจึงวิทยุแจ้งไปยังกองพันขออนุญาตเลื่อนแผนการโจมตีออกไปจากกำหนดเดิมเพราะ
พิจารณาแล้วเห็นว่า หากเข้าโจมตีข้าศึกทั้งที่กำลังพลยังเหน็ดเหนื่อยหมดแรง โอกาส "สูญเสีย" ที่จะทำให้ภารกิจล้มเหลวมีอยู่มาก
ทางผู้บังคับกองพันจึงอนุญาตตามคำขอ ประกอบกับฝ่ายเราเตรียมที่จะทำการโจมตีทางอากาศหรือ
ก่อนที่กำลังภาคพื้นดินจะเข้ากวาดล้างข้าศึกแต่นักบินยังไม่สามารถทิ้งระเบิดได้ เนื่องจากสภาพ "อากาศปิด"
เพราะที่หมายบนเนิน 1428 อยู่บนยอดเขาซึ่งมีความสูงกว่าระดับน้ำทะเลมากกว่า 1,000 เมตร ทำให้มีหมอกปกคลุมหนาทึบในช่วงหน้าหนาว
การโจมตีทางอากาศเพื่อผลักดันข้าศึกบนเนินจึงต้องเลื่อนเวลาออกไปจากกำหนดเดิม 1 วัน เพื่อรอให้ "อากาศเปิด" เสียก่อน การเลื่อนกำหนดการโจมตีทางภาคพื้นดินจึงสอดคล้องกับการทิ้งระเบิดของฝ่ายเรา
บทวิเคราห์
สถานการณ์บนเนิน 1428 จึงเป็นไปในลักษณะที่ฝ่ายเราเสียเปรียบข้าศึกอย่างมากเพราะถึงแม้จะมีกำลังทหารหนึ่งกองร้อย แต่กลับมีอำนาจการยิงจริง ๆ เพียงไม่เกิน 3 คน ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามวางกำลังตั้งรับอยู่ในที่มั่นดัดแปลงแข็งแรง อีกทั้งสภาพภูมิประเทศยังเอื้ออำนวยเป็นอย่างดีปัจจัยต่าง ๆ ที่กล่าวมาจึงทำให้ข้าศึกสามารถทนทานต่อการโจมตีทางอากาศและการระดมยิงด้วยอาวุธหนักของฝ่ายเราได้
การรบจึงเป็นไปในลักษณะติดพันโดยฝ่ายเราบุกเข้าตีแล้วก็ถูกตอบโต้จนต้องถอยกลับลงมาพักกำลัง ก่อนจะเข้าตีใหม่แล้วก็ถอยกลับลงมาเป็นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า คล้ายกับเหตุการณ์สู้รบที่ "แฮมเบอเก้อรฮิลล์" ในสงครามเวียดนาม เมื่อกองทหารสหรัฐเข้าตีที่หมายบนเนินสูงซึ่งทหารเวียดนามเหนือยึดไว้ การรบครั้งนั้นทำให้ทหาร "แอร์บอน" ของสหรัฐต้องประสบความสูญเสียอย่างมาก เนื่องจากต้อง "ปีนเขา" ขึ้นไปรบเช่นเดียวกับทหารม้าของไทยในสมรภูมิบ้านร่มเกล้าเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2530
บทวิเคราะห์ พันเอกวัฒนชัย
การโจมตีทางอากาศไม่ได้ทำให้ได้เปรียบข้าศึกแต่อย่างใดเพราะทั้งระเบิดขนาด 500 ปอนด์ และ 2,000 ปอนด์ จากเครื่องบินไม่สามารถถล่มลงสู่เป้าหมายได้อย่างแม่นยำ เนื่องจากที่มั่นของทหารข้าศึกอยู่บนภูสูงและเป็นพื้นที่แคบ ระเบิดจากเครื่อง f5 จึงตกสู่ที่หมายในลักษณะเฉียดซ้ายเฉียดขวาเช่นเดียวกับปืนใหญ่ของฝ่ายเราที่ยิงสนับสนุนตามคำร้องขอ
แต่กระสุนวิถีโค้งที่มาจากฐานยิงส่วนหลังก็ตกคร่อมเนินที่มั่นข้าศึก แม้ผู้ตรวจการณ์หน้า( ผ.ต.น.)ของฝ่ายเราจะพยายามปรับตำแหน่งแก้พิกัดอย่างสุดความสามารถแล้วก็ตาม แต่กระสุนวิถีโค้งจากปืนใหญ่ยังคงพลาดเป้า การยิงจากส่วนหลังจึงถล่มลงบริเวณด้านหน้าที่หมายบ้างหลังที่หมายบ้าง ทำให้ไม่สามารถลิดรอนหรือทำลายกำลังข้าศึกให้อ่อนแอลงได้อย่างที่ต้องการ
โฆษณา