4 ก.ย. 2022 เวลา 12:19 • ธุรกิจ
“Will Keith Kellogg” ผู้ก่อตั้งแบรนด์ซีเรียล อายุกว่า 100 ปี
1
ถ้าย้อนกลับไปเมื่อร้อยกว่าปีก่อน อเมริกันชนผู้มีฐานะมักจะเริ่มมื้อเช้าด้วยเนื้อสัตว์ ไข่ แพนเค้ก ขนมปัง ส่วนผู้ใช้แรงงานมักจะเริ่มด้วยโจ๊ก หรือเศษธัญพืชต้ม
แต่หลังจากที่สองพี่น้อง Kellogg คิดค้นคอร์นเฟลกขึ้นมาในปลายศตวรรษที่ 19 คอร์นเฟลกจึงได้เข้ามาปฏิวัติวงการอาหารเช้าของชาวอเมริกัน จนกลายเป็นอาหารเช้ายอดนิยมเกือบทุกบ้านในสหรัฐฯ และได้แพร่ขยายความนิยมไปทั่วโลกมาจนถึงปัจจุบัน
ในบทความนี้ Bnomics จึงอยากจะพาทุกคนไปรู้จักกับคุณ Will Keith Kellogg หนึ่งในผู้คิดค้นคอร์นเฟลก และเป็นผู้ก่อตั้งแบรนด์ Kellogg's อาหารเช้าคู่บ้านของใครหลายๆ คน ซึ่งถ้านับมาถึงตอนนี้ก็จะมีอายุกว่า 116 ปีแล้ว
📌 เด็กชายผู้มีพรสวรรค์ด้านธุรกิจ
คุณ Will Keith Kellogg เกิดที่เมือง Battle Creek รัฐมิชิแกน เขาเติบโตมาในครอบครัวขนาดใหญ่ โดยมีพ่อเป็นช่างทำไม้กวาดที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
 
คุณ Will จึงถูกเรียกให้เข้าไปช่วยพ่อทำงานในโรงงานตั้งแต่อายุยังน้อย และทำให้เขาค้นพบว่าตัวเองมีพรสวรรค์ด้านธุรกิจ
เมื่ออายุเพียง 14 ปี เขาจึงได้เป็นเซลล์ที่อายุน้อยที่สุดของบริษัท ก่อนที่ 5 ปีต่อมา เขาได้กลายไปเป็นผู้จัดการโรงงานไม้กวาดในเมืองดัลลัส
คุณ Will ทำงานให้กับพ่อเรื่อยมาจนกระทั่งปี 1880 คุณหมอ John Harvey Kellogg ซึ่งเป็นพี่ชายของเขา ที่ขณะนั้นได้ก่อตั้ง Battle Creek Sanitarium สถานที่ช่วยดูแลฟื้นฟูร่างกายและสุขภาพของผู้ป่วยขึ้นมา และต้องการคนมาช่วยบริหารจัดการงานที่นี่ คุณ Will ก็เลยได้เข้ามาช่วยงานพี่ชายตั้งแต่นั้น
ในตอนนั้น คุณหมอ John พยายามทดลองหาอาหารสุขภาพแบบใหม่ๆ ที่ดีต่อสุขภาพและเป็นอาหารประเภทมังสวิรัติ เพื่อเอาไปเสิร์ฟคนไข้ ในตอนแรกเขาได้นำธัญพืชมาทดลองทำอาหาร ซึ่งถึงแม้อาหารที่คิดค้นขึ้นมาได้จะมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่กลับมีรสชาติจืดสนิท
หลังจากพยายามทดลองอยู่หลายต่อหลายครั้ง ในที่สุดในปี 1894 คุณ Will ผู้เป็นน้องชายก็ค้นพบวิธีการนำเมล็ดข้าวสาลีมาอบและบดเป็นแผ่นๆ โดยบังเอิญ ซึ่งเมื่อเขาลองเอาไปเสิร์ฟคนไข้ในสถานพยาบาลของเขาชิมพร้อมกับนม ทุกคนต่างชื่นชอบรสชาติของแผ่นข้าวสาลีอบกรอบเป็นอย่างมาก และที่สำคัญมันยังเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพตามสองพี่น้อง Kellogg ต้องการอีกด้วย
ทั้งคู่ดีใจเป็นอย่างมากกับการค้นพบอาหารที่อุดมไปด้วยประโยชน์และยังมีรสชาติอร่อย จึงได้ก่อตั้งบริษัท Sanitas Food Company ขึ้นมาในราวๆ ปี 1897 เพื่อโปรโมทว่าแผ่นข้าวสาลีอบกรอบ หรือที่เราเรียกกันว่าคอร์นเฟลกนี้ จะกลายเป็นอาหารเช้าทางเลือกใหม่ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ
📌 จุดแตกหักของสองพี่น้อง และกำเนิดคอร์นเฟลกแบรนด์ Kellogg's
ด้วยความที่คุณ Will เป็นคนที่มีทักษะทางธุรกิจและการจูงใจคนอยู่แล้ว เขาก็เลยได้ลงมือทำการตลาด เพื่อให้สามารถเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้
หลังจากนั้น เขาได้ตระหนักว่าคอร์นเฟลกเป็นสินค้าที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดีมาก และก็เสี่ยงที่จะโดนคนอื่นลอกเลียนแบบได้เช่นกัน เขาจึงไปปรึกษาพี่ชายเพื่อหาทางเก็บวิธีการผลิตให้เป็นความลับ แต่พี่ชายของเขากลับไม่เห็นด้วย
นั่นจึงกลายเป็นความไม่ลงรอยกันของสองพี่น้อง Kellogg มานับแต่นั้น ทำให้คุณ Will ตัดสินใจออกไปทำบริษัทผลิตคอร์นเฟลกเอง มีการเติมน้ำตาลและเพิ่มรสชาติเข้าไป เพื่อให้ถูกปากผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นแนวทางที่ขัดกับพี่ชายของเขาเป็นอย่างมาก
ในปี 1906 เขาจึงได้แยกตัวออกมาจากบริษัทของพี่ชายแล้วก่อตั้ง Battle Creek Toasted Corn Flake Co. ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น Kellogg Company (กว่าจะได้ใช้ชื่อนี้ มีการฟ้องร้องกันกับคุณหมอ John อยู่หลายต่อหลายรอบ)
ช่วงแรกๆ บริษัทขายแต่คอร์นเฟลกเพียงอย่างเดียว ก่อนที่ต่อมาจะเริ่มเพิ่มอาหารเช้าซีเรียลประเภทอื่นๆ เข้ามา
คุณ Will ทุ่มเทอย่างหนักในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และทำการตลาดเพื่อให้สินค้าของ Kellogg เป็นอาหาร เพื่อสุขภาพที่มีความโดดเด่นแตกต่างจากเจ้าอื่นๆ จนทำให้บริษัท Kellogg กลายมาเป็นผู้นำตลาดอาหารเช้าซีเรียลในสหรัฐฯ
ภายในเวลาเพียงแค่ 4 ปี เขาได้พายอดขายธุรกิจคอร์นเฟลกแตะหลักล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ตัวเขากลายมาเป็นนักธุรกิจอเมริกันที่ทรงอิทธิพลเป็นอย่างมาก
แต่เขาไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เพราะเขามองเห็นว่าผลิตภัณฑ์ของ Kellogg มีศักยภาพมากพอที่จะส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศได้ เขาจึงเริ่มขยายบริษัทออกไปนอกสหรัฐฯ
ในปี 1914 Kellogg ได้เริ่มส่งออกซีเรียลไปยังแคนาดา และในอีก 10 ปีต่อมา ก็ได้สร้างโรงงานผลิตที่ออสเตรเลีย
📌 Kellogg’s กับ The Great Depression
ในช่วงทศวรรษ 1930 เกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ หลายบริษัทปิดตัว คนตกงานมหาศาลทั่วสหรัฐฯ หลายบริษัทลดเงินเดือนพนักงาน แต่บริษัท Kellogg กลับรอดมาได้และยังช่วยให้คนจำนวนมากมีงานทำในช่วงเวลาวิกฤติครั้งนั้น
ทั้งนี้ก็มาจากวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของคุณ Will ที่มองเห็นโอกาสและยังนำพาความหวังไปให้แก่ทุกคนในช่วงเวลาที่มืดหม่น
ในขณะที่บริษัทคู่แข่ง ชะลอกำลังการผลิตและลดงบประมาณการโฆษณา แต่เขากลับมองช่วงเวลาวิกฤตินี้เป็นโอกาส เขาขยายโรงงานในเมือง Battle Creek และเพิ่มงบประมาณโฆษณากว่าเท่าตัว เพื่อโปรโมทให้คนหันมากินคอร์นเฟลกแทนอาหารเช้าแบบเดิมๆ
อีกทั้งยังเปลี่ยนชั่วโมงกะการทำงานจากเดิมมี 3 กะ กะละ 8 ชั่วโมง เป็น 4 กะ กะละ 6 ชั่วโมง เพื่อช่วยให้คนมีงานทำโดยทั่วๆ กัน และช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพขึ้น เนื่องจากมีเวลาไปพักผ่อนมากขึ้น การทำงานผิดพลาดก็น้อยลง
บริษัท Kellogg ยังคงขายผลิตภัณฑ์ซีเรียลคอร์นเฟลกไปเรื่อยๆ แม้จะผ่านช่วงที่ยากลำบากอย่างสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่บริษัทก็ยังสามารถปรับตัว และผ่านมาได้จนถึงทุกวันนี้
ปัจจุบัน Kellogg เป็นบริษัทที่มีอายุกว่า 116 ปี จำหน่ายผลิตภัณฑ์ซีเรียลและอาหารอื่นๆ ไปกว่า 180 ประเทศทั่วโลก จ้างงานพนักงานกว่า 31,000 คน
และเป็นหนึ่งในบริษัทอาหารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอเมริกาเหนือ ในปี 2020 แม้จะเผชิญกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ Kellogg ก็ยังคงมียอดขายสูงถึง 13.77 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และยังคงมียอดขายนอกสหรัฐฯ เติบโตขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งหมดนี้เกิดจากการบริหารงานของคุณ Will Keith Kellogg ชายที่มีพรสวรรค์ทางธุรกิจ แสวงหาทุกโอกาส แม้แต่โอกาสที่ไม่มีใครมองเห็น และยังเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะหาทางพัฒนาธุรกิจของเขาให้ดียิ่งขึ้นๆ
เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ของ Kellogg กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่บนโต๊ะอาหารเช้าของทุกคนบนโลกนี้
“Doing what’s right today means no regrets tomorrow”
“ทำสิ่งที่ใช่ในวันนี้ เพื่อที่พรุ่งนี้จะไม่ต้องรู้สึกเสียดาย”
Will Keith Kellogg
ผู้เขียน : ชนาภา มานะเพ็ญศิริ Economist, Bnomics
ภาพประกอบ : จินดาวรรณ อรรถมานะ Graphic Designer, Bnomics
▶︎ ติดตามช่องทางของ Bnomics ได้ที่
Line OA : @Bnomics https://bit.ly/3eYkTJC
Bnomics - Bangkok Bank Economics
'Be an Economist for Everyone'
วิเคราะห์ เจาะทุกประเด็นเศรษฐกิจ ให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ
References :
เครดิตภาพ : Kellogg และ The Famous People
โฆษณา