4 ก.ย. 2022 เวลา 05:16 • อาหาร
"ปักตะไคร้ก่อนฝนถล่มงานสมุทรสาครสาวซิงหลบไปก่อนแม่ม่ายเข้าวิน"
1
งานบวชงานบุญทอดกฐินผ้าป่าตามบ้านนอกสมัยก่อนเขาทำกันหน้าแล้ง หลังฤดูกาลเก็บเกี่ยว ขายข้าวพืชผักถั่วงาได้ตังค์มีงบจัดงานแล้ว แม้แต่วัดก็ต้องช่วงนี้ รอจนญาติโยมมีสตางค์และว่างช่วยงานวัด โอกาสที่ฝนจะตกในช่วงเวลาจัดงานจึงแทบไม่มี แต่ถ้าจะมีก็เป็นเรื่องที่ไม่ปกติ หากกำลังมีงานอยู่เกิดฝนตั้งเค้าทำท่าจะตกก็มักจะได้ยินโฆษกประกาศผ่านลำโพงหาอาสาสมัครปลูกตะไคร้ และคนที่จะมาปลูกตะไคร้ก็ต้องไม่ธรรมดา
เจนี เทียนโพธิ์สุวรรณ นางเอกในเรื่อง “ดาวเกี้ยวเดือน” ถูกตัวร้ายแกล้งให้ปลูกตะไคร้เอาด้านโคนลงเพื่อให้ฝนตก จากนั้นจึงถูกใส่ร้ายว่าเธอไม่ใช่สาวบริสุทธิ์
งานสีสันพรรณไม้สวนสมเด็จฯ 12 สิงหาคม 2551 (ภาพ: www.klongdigital.com)
งานสีสันพรรณไม้สวนสมเด็จฯ 12 สิงหาคม 2551 (ภาพ: www.klongdigital.com)
สมัยที่สนามหลวงยังเป็นพื้นที่ของคนทุกชั้นชน กิจกรรม และเปิดยี่สิบสี่ชั่วโมง เวทีชุมชนของคนเสื้อสีไหนจำไม่ได้เมื่อเกิน 10 ปีมาแล้ว มีเสียงประกาศหาคนปลูกตะไคร้ซึ่งระบุคุณสมบัติอย่างที่ผมคลับคล้ายคลับคลาว่าคุ้นเคย
“รับสมัครสาวพรหมจรรย์อายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป 3 คน ปลูกตะไคร้ด้านหน้าเวที ขอไวหน่อยนะครับ เมฆตั้งเค้ามาแล้ว...”
1
ตอนฟังครั้งแรกได้ยินแต่ "อายุ 50 ขึ้นไป" ก็นึกว่าจะเหมือนกันแต่พอเอาเข้าจริงสาระของประกาศอยู่ที่ "พรหมจรรย์" ถ้างั้นคุณสมบัติก็ไม่เหมือนสมุทรสาครบ้านผมแล้วครับ
ตอนนั้นสาวรุ่นป้ารุ่นยายแย่งยกมือกันสลอน เรียกเสียงฮาครื้นเครงจากผู้เข้าร่วมชุมนุม เนื้อความที่ประกาศนั้นไม่ได้มีการทำกันขึ้นมาจริง แต่เชื่อว่าเป็นมุกที่ต่างเข้าอกเข้าใจกันดีว่า การปลูกหรือปักตะไคร้เอาเคล็ดป้องกันไม่ให้ฝนตกนั้นเป็นที่เชื่อถือกันอยู่ในเกือบทั่วทุกภูมิภาคของไทย แถมคนที่จะทำหน้าที่นี้ได้ต้องเป็น “สาวพรหมจารี” หรือ “สาวพรหมจรรย์”
หลายคนเข้าใจว่าคนที่จะปลูกตะไคร้เพื่อไม่ให้ฝนตกต้องเป็นสาวพรหมจารี ดังนั้นสาวอายุ 50 ปีขึ้นไปที่ยังรักษาพรหมจารีไว้จึงเรียกเสียงหัวเราะด้วยรู้สึกเอ็นดู ถึงวันนี้ที่เราเดินทางมาถึงยุคดิจิทัล ผมไม่มีข้อสงสัยหรอกว่าพิธีนี้จะได้ผลหรือไม่ ผมสนใจวิธีคิดในการพยายามหาที่พึ่งทางใจและการเลือกคุณสมบัติของผู้ปักตะไคร้มากกว่า และที่สนใจกว่า สมุทรสาครบ้านผมใช้ “แม่ม่าย” แน่นอนว่าลดอัตราเสี่ยงและทนแรงต้านที่อาจถูกตั้งข้อสงสัยในมาตรการรักษาพรหมจรรย์ภายหลังการปักตะไคร้แล้วฝนตกได้ในระดับดี
การรับมือกับธรรมชาติขณะมีงานมหรสพหรืองานประเพณีกิจกรรมใด ๆ ในพื้นที่โล่งแจ้งของชาวบ้านซึ่งสุ่มเสี่ยงที่จะมีฝนตกลงมาขณะจัดงาน อันจะทำให้งานนั้นกร่อยหรือถึงกับล่มด้วยวิธีการต่าง ๆ นั้นคงมีอยู่ด้วยกันในหลายชาติ แม้จะรู้ดีว่าเป็นการฝืนธรรมชาติ แต่ก็คงเป็นความพยายามหาสิ่งยึดเหนี่ยวทางใจ หรืออาจจะเรียกว่าเป็นการละเล่นแก้เครียด ที่น่าจะดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
การปลูกหรือปักตะไคร้ป้องกันฝนตกอันเป็นที่รู้จักกันดีแล้ว ในบางแห่งเช่น ปทุมธานี ที่ผมเคยพบมาด้วยตนเอง นอกจากการปักตะไคร้แล้วยังมีพิธีกรรมอื่นพ่วงเสริมเข้าไปด้วยคือ ปักตะไคร้พร้อมหงายครกหงายสาก โดยเอาเอาสากตั้งขึ้นชี้ฟ้า
ย่านอำเภอสองพี่น้อง สุพรรณบุรี นิยมนำเอากางเกงในแม่ม่ายสีแดง ผูกเข้ากับปลายไม้ยาว ๆ ปักแขวนไว้กลางแจ้งกันฝนตก
1
แถบภาคเหนือในบางถิ่น นิยมนำเอาผ้าถุงผู้หญิงขึ้นพาดหรือตากไว้บนหลังคาบ้านหรือเพิงพัก นัยว่าเพื่อให้เกิดอาเพศฝนฟ้าจะได้ไม่ตก แต่ก็ไม่มีหลักปฏิบัติชัดเจนว่าต้องเป็นผ้าถุงแม่ม่ายด้วยหรือไม่
ขณะที่ประเทศจีน เจ้าอารยธรมเก่าแก่ที่สุดชาติหนึ่งของเอเชีย มีคติความเชื่อที่ผูกติดกับสิ่งเหนือธรรมชาติไม่แพ้ชาติใดในโลก แต่กับความคิดเรื่องการป้องกันฝนตกกลับเลือกใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่น่าสนใจ ผมได้อ่านบทความของคุณพิษณุ นิลกลัด เรื่อง “วิธีห้ามฝนสมัยใหม่ไม่ต้องปักตะไคร้” คอลัมน์ คลุกวงใน นิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ เมื่อปี 2551 เล่าไว้อย่างน่าสนใจว่า
คณะกรรมการโอลิมปิคจีน มีการเตรียมการวางแผนรับมือหากเกิดฝนตกขึ้นระหว่างจัดการแข่งขันระหว่างวันที่ 8 - 24 สิงหาคม 2551 โดยนักอุตุนิยมวิทยาของจีนทำการวิเคราะห์จากสถิติฝนตกในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาและพยากรณ์ว่า โอกาสที่ฝนจะตกในวันทำพิธีเปิดและวันทำพิธีปิดการแข่งขันมีความน่าจะเป็นสูงถึง 50 เปอร์เซ็นต์ นับเป็นเรื่องน่าหนักใจอย่างยิ่ง แต่เจ้าภาพก็ไม่ได้วิตกกังวล เพราะมั่นใจในวิธีห้ามฝนแบบใหม่ที่จะถูกใช้เป็นครั้งแรกในการแข่งขันโอลิมปิคครั้งนั้น
แน่นอนว่าจีนไม่ได้ใช้สาวพรหมจรรย์ปักตะไคร้หรือเอาซินแสมาทำพิธีห้ามฝน แต่จีนยุคใหม่ใช้สิ่งที่เรียกว่า Cloud Seeding เทคโนโลยีเดียวกันกับการทำฝนเทียมที่เรารู้จักกันดี วิธีการคือ ในช่วงระยะเวลาก่อนถึงพิธีเปิดโอลิมปิค 2-3 วัน เจ้าหน้าที่จะยิงจรวดบรรจุสารเคมีขึ้นทั่วฟ้าเหนือกรุงปักกิ่ง มันจะไประเบิดกลางก้อนเมฆเพื่อเร่งให้ฝนตก
3
หมายความว่า เขาจะไม่ยอมให้มันคลอดธรรมชาติแต่ชิงผ่าคลอดเสียก่อน เป็นการรีดเมฆให้กลั่นตัวเป็นเม็ดฝนให้หมดจากน่านฟ้ากรุงปักกิ่ง เพื่อที่จะได้ไม่ตกในวันงาน วิธีการนี้นอกจากจะทำให้งานใหญ่ระดับโลกดำเนินไปได้อย่างราบรื่นแล้ว ฝนยังช่วยชะล้างอากาศของกรุงปักกิ่งที่มีระดับมลพิษในอากาศสูงกว่าระดับมลพิษที่องค์การอนามัยโลก (World Health Organization) รับรอง 2-3 เท่า เป็นการยิงจรวดนัดเดียวได้ประโยชน์สองอย่าง
1
พิธีเปิดกีฬาโอลิมปิคที่ปักกิ่งเมื่อ 8 สิงหาคม 2551 ตรงกับปฏิทินตะวันตกคือวันที่ 8 เดือน 8 ปีคริสตศักราช 2008 ซึ่งเป็นตัวเลขมงคลตามคติโบราณของจีน แต่ขณะเดียวกันก็เลือกใช้วิธีการห้ามฝนตกด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ นับว่าเป็นการผสานกันทางเทคโนโลยีชนิดที่เรียกว่า ตะวันตกพบตะวันออกอย่างแท้จริง
กลับมาที่ศาสตร์ล้ำ ๆ แบบไทย ๆ กันบ้างครับ ว่าด้วยวิธีการปักตะไคร้ ความเชื่อที่มีมาช้านานซึ่งไม่พบหลักฐานว่ามีมาตั้งแต่ครั้งไหน และจีนก็อาจจะยังไม่ล่วงรู้ในศาสตร์นี้ของไทยด้วยซ้ำ
ลองมาดู “วิธีการแบบบ้าน ๆ” กันดูบ้าง ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไร โดยจะกระทำพิธีตรงลานดินกลางแจ้ง สำหรับสังคมเมืองในปัจจุบันที่หาลานดินที่โล่งกลางแจ้งได้ยาก ก็เคยเห็นมีคนนำเอากระถางหรือกระป๋องใส่ทรายไปวางกลางแจ้ง แล้วปักตะไคร้ลงไปแทน ซึ่งวิธีการก็แค่ปักตะไคร้โดยเอาด้านปลายหรือยอดลงดินให้ด้านโคนชี้ฟ้า ดูแล้วก็น่าจะเป็นเจตนาที่จะสวนกระแสฝืนธรรมชาติ เทวดาเห็นเข้าก็คงจะนึกขบขันปนสมเพชมนุษย์เลยเอ็นดูสั่งระงับยับยั้งไม่ให้ฝนตกมาทำลายพิธี
ลองถามคนมีประสบการณ์หลายคนก็ตอบตรงกันว่า ระหว่างทำพิธีปักตะไคร้ก็กลั้นใจตั้งจิตอธิษฐาน บนบานศาลกล่าวแต่สิ่งดี ๆ ตามแต่จะนึกเอาเพื่อให้เทวดาเมตตา ไม่ได้มีคำสวดหรือคาถาบทไหนเป็นการเฉพาะแต่อย่างใด
แต่สิ่งที่ดูจะเป็นหลักการสำคัญในการปักตะไคร้น่าจะอยู่ที่คนปัก ส่วนใหญ่เชื่อกันว่า ถ้าจะให้ได้ผลดี คนผักจะต้องเป็นสาวพรหมจรรย์ ส่วนคนทางพระประแดง สมุทรปราการ มีคติต่างออกไปว่า คนปักจะต้องเป็นลูกคนเล็กของครอบครัวด้วยจึงจะเข้มขลังกันแบบสุด ๆ
ประเด็นสำคัญคือ คุณสมบัติของคนปักตะไคร้ จากการสัมภาษณ์พูดคุยกับคนหลายถิ่นมีข้อสรุปเหมือนกันว่าต้องเป็น "สาวพรหมจรรย์" จะมีก็ที่สมุทรสาครบ้านผม ที่นิยมใหญ่ใช้ "แม่ม่าย" พอบอกกับคนบ้านอื่นว่าบ้านผมใช้แม่ม่ายก็มีแต่คนว่าประหลาด ปกติไม่เคยสงสัยแต่พอถูกว่าประหลาดก็เกิดอยากรู้ แต่ปัญหาใหญ่คือไม่มีใครรู้
ผมใช้เวลาสืบเสาะหาคนปักตะไคร้ทั่วย่านสมุทรสาครที่มีผลงานดีเยี่ยมมาได้คนหนึ่ง ผลงานเป็นที่ประจักษ์ ได้รับความไว้วางใจให้ปักตะไคร้มาแล้วหลายงานติดต่อกัน เนื่องจากภายหลังการปักตะไคร้ปรากฏว่าลมหอบเอาเมฆดำทะมึนปลิวหายได้ผลชะงัดทุกครั้ง
น้าสาคร มาปากลัด บ้านอยู่บ้านเกาะ อำเภอเมืองสมุทรสาคร เล่าให้ฟังว่า เรื่องฟ้าเรื่องฝนเอาแน่เอานอนไม่ได้ หากฝนจะตกมันก็ตก อย่างเช่นคราวก่อนน้าแกไปร่วมงานเพื่อนบ้านต่างหมู่บ้าน เมื่อเกิดฝนตั้งเค้าขึ้นแม่ครัวภายในงานก็จัดแจงปลูกตะไคร้ ปลูกเสร็จไม่นานฝนก็เทลงมาไม่ลืมหูลืมตา
สาคร มาปากลัด ชาวมอญบ้านเกาะ สมุทรสาคร ผู้มีผลงานดีเยี่ยมในการปักตะไคร้
แต่อย่างไรก็ตาม น้าสาครยืนยันในหลักการว่า คนปักตะไคร้ต้องใช้แม่ม่าย ที่มีสามีคนเดียว รักเดียวใจเดียว โดยเลือกเอาจากบรรดาคนที่มาช่วยงานอยู่ในโรงครัวนั่นแหละ เพราะใครเป็นใครก็รู้จักมักคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว หากมีแม่ม่ายหลายคนก็ต้องปรึกษาหารือกันว่าใครจะเหมาะสมที่สุด
วันงานศพยาย (มารดาน้าสาคร – ผู้เขียน) ฝนครึ้มมา ก็คุยกันในครัวว่าจะหาใครปลูกตะไคร้ งานนั้นมีฉันคนหนึ่ง ยายยา นังแตน คุยกันไปคุยกันมา ตกลงเอาฉัน เพราะยายยาชักจะมีหนุ่มมาเมียงมอง ไอ้แตนยังสาวสวยอยู่ก็มีหนุ่มจีบเยอะ...อย่างเมื่อตอนงานแต่งไอ้หมวยนั่นไง ใครปลูกก็ไม่รู้ ฝนเทโครม น้ำท่วมหม้อไหกะละมังลอยต้องตามเก็บกัน...
สาคร มาปากลัด (2551)
1
สมัยเป็นเด็กผมติดแม่แจ เวลาแม่ไปงานบวชงานแต่งแถวบ้านก็ตามไปอยู่ในครัว
ด้วย ขณะที่แม่ช่วยงานขูดมะพร้าวตำน้ำพริกหั่นผักหั่นเนื้อก็ได้ยินทุกเรื่องในครัว บอกได้เลยว่า ช่วงเวลาที่พวกผู้หญิงเขารวมตัวกันแบบนั้น เขาเป็นใหญ่ในครัว พวกผู้ชายก็ไปรวมกลุ่มกับผู้ชายไกลออกไป หุงข้าวกระทะ ต้มน้ำชา ปิ้งขนมหม้อแกง เป็นงานที่ต้องอยู่ใกล้กองไฟขนาดใหญ่แสบร้อนผิว นอกนั้นก็งานขนของแบกหาม รับแขก เสิร์ฟอาหาร จัดแจงพิธีสงฆ์และพิธีกรรมต่าง ๆ ก็งานผู้ชายอีก ผู้หญิงเขาไม่ทำ
1
เมื่อในครัวเป็นถิ่นของผู้หญิง ผู้ชายที่หลุดเข้าไปเพียงจะขอเนื้อขอหมูมาทำกับแกล้มแม้สักเสี้ยวนาที ก็จำต้องนอบน้อมรู้อยู่รู้เจียม เรื่องที่พวกผู้หญิงคุยกันในครัวจะเป็นใต้สะดือหรือเหนือสะดือ หากต้องต่อปากต่อคำกันแล้ว ผู้หญิงไม่มีทางลงให้ผู้ชายในนาทีนั้นเด็ดขาด เรื่องในครัวนั้นผู้หญิงเขาเหมาหมด
นอกจากเรื่องในครัว รวมทั้งพิธีกรรมบวชนาค (ก่อนเข้าพิธีบวชพระตามพิธีพุทธ) การดูแลบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางผีสางและฝนฟ้าสิ่งเหนือจริงทั้งหลาย หากงานไหนฝนตั้งเค้าเมฆครึ้มขึ้นมา คนที่จะต้องลุกขึ้นมาจัดการคือกลุ่มแม่ครัวพวกนี้
มีอยู่งานหนึ่งผมจำได้ติดหูไม่ลืม เป็นงานบวชคนในหมู่บ้าน พวกแม่ครัวหารือกันเรื่องจะให้ใครเป็นคนปักตะไคร้ไล่ฝน ถกเถียงกันลั่นครัวเหมือนจะส่งสาวงามขึ้นประกวดเทพีตัวแทนหมู่บ้าน ถ้อยถกแถลงมีความเคร่งเครียดเอาจริงเอาจัง
“เอาอีซ้อนนั่นไง”
คนหนึ่งแย้ง
“งานที่แล้วมันปักฝนตกห่าใหญ่มึงจำไม่ได้เรอะ ฝีมือไม่ถึง” เสียงใครสักคนแทรกขึ้นมากลางวง
“อีเพิ่มก็ได้อยู่หรอกกูว่า ผัวตายห่าไปหลายปีไม่ค่อยได้ปัก คงเหงาพิลึก”
1
อีกคนขัด “ปีกลายมันปักงานปิดทองหลวงพ่อโต ฝนเทโครมเดียวหม้อกระจายกระทะกระโถนลอยน้ำ คว้ากันไม่ทัน...”
“เออ...ใช่ ไม่รู้ไปแอบมีผัวซุกไว้ที่ไหนหรือเปล่า...”
แม้จะเป็นที่รู้กันดีว่าฝนฟ้าเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่มีใครสามารถควบคุมได้ เป็นความจริงที่เราต้องยอมรับและเป็นฝ่ายปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติ มากกว่าคิดเอาชนะธรรมชาติ เพราะวันใดวันหนึ่ง ธรรมชาติก็อาจเอาคืนกับมนุษย์ตัวเล็ก ๆ เหมือนอย่างเขื่อนที่จีนสร้างไว้เก็บน้ำและคนจีนก็ล้มตายนับพันหลังเขื่อนแตก แต่ก็นึกถึงคำพูดของน้าสาครที่ว่า
“เพราะมันเป็นธรรมชาติ แต่จะไม่ให้ทำอะไรเลยก็ไม่ได้ ก็ต้องลองดู เป็นที่พึ่งทางใจอะไรกันไป...”
การปักตะไคร้ไล่ฝนทุกวันนี้เป็นที่รับรู้กันทั่วไปว่ามีปัจจัยสำคัญควบคู่กันไปคือ คนปักต้องเป็นสาวพรหมจรรย์ แม้ไม่อาจระบุที่มาของความคิดนี้ แต่ก็มีเค้าลางวิธีคิดเรื่องสาวพรมจรรย์อยู่ในหลายแห่ง เช่น การใช้สาวพรหมจรรย์กวนข้าวทิพย์บูชาพระพุทธเจ้า หรือแม้แต่ความเชื่อเรื่องการฝังร่างสาวพรหมจรรย์ลงในหลุมเสาในการสร้างเมืองสมัยโบราณ อันอาจเป็นชุดความเชื่อเรื่องของความบริสุทธิ์ทางจิตใจมากกว่าที่จะเป็นเรื่องความบริสุทธิ์ทางเพศหรือการตีตราทางเพศอย่างที่มีบางคนตีความในบริบทปัจจุบัน
เพลง “ปักตะไคร้” วง Buddha Bless อัลบั้ม Buddha Bless You
ไม่ว่ายังไง ผู้หญิงกับการปักตะไคร้ก็ถูกใช้เป็นตัวชี้วัดพรหมจรรย์ของคนผัก กรณีปักตะไคร้แล้วแต่ฝนตก แทนที่จะมองเหตุผลเรื่องของสภาวะทางธรรมชาติ แต่กลับเลือกที่จะตั้งคำถามกับคนปักตะไคร้ ทำนองข้องใจในพรหมจรรย์ ยัง “บริสุทธิ์” หรือ "ซิง" อยู่หรือไม่ แม้จะแลดูเหมือนเป็นเรื่องล้อกันเล่น แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเรื่องเล่นที่ผู้หญิงหลายคนคงไม่สนุกด้วย โดยเฉพาะในสังคมเก่าที่ผู้ชายยังให้ความสำคัญกับความบริสุทธิ์ทางเพศมากกว่าความบริสุทธิ์ทางศีลธรรม
1
ปรับปรุงจาก
องค์ บรรจุน. (2551). ปลูกตะไคร้เพื่อไม่ให้ฝนตก. ใน ศิลปวัฒนธรรม. 35(5): 32-36.
1
โฆษณา