8 ก.ย. 2022 เวลา 00:30 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
รีวิว : Plan 75 - วันเลือกตาย
Filmment Rating : 7.2
#เนื้อเรื่องย่อ
ในอนาคตอันใกล้เมื่อประเทศญี่ปุ่นก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ จึงทำให้ภาครัฐประกาศใช้นโยบาย Plan 75 ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุวัย 75 ปีขึ้นไปมีสิทธิเลือกการุณยฆาตตัวเองได้ โดยผู้ที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับเงินสดจำนวน 1 แสนเยนเพื่อกอบโกยความสุขเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิต ก่อนที่จะจากโลกนี้ไปในฐานะวีรบุรุษที่เสียสละเพื่อประเทศชาติ ภาพยนตร์บอกเล่าเรื่องราวของ มิจิ หญิงชราวัย 78 ปีผู้ตกงานและไร้ที่อยู่ กำลังครุ่นคิดและตัดสินใจครั้งสำคัญในบั้นปลายของชีวิต กับการเข้าร่วมโครงการ Plan 75 ของรัฐบาล
#ความเห็น
ภาพยนตร์เรื่อง Plan 75 ได้รับแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์จริงสุดสะเทือนขวัญในประเทศญี่ปุ่นครับ โดยย้อนกลับไปในปี 2016 มีชายคนหนึ่งบุกสถานดูแลผู้สูงอายุพร้อมสังหารคนชราไปมากกว่า 19 คน พร้อมมีผู้บาดเจ็บอีกกว่า 40 รายครับ โดยผู้ก่อเหตุกล่าวว่าเหยื่อทุกคนของเขาเป็นภาระของสังคมที่สมควรได้รับการกำจัดทิ้ง และเชื่อว่าการกระทำของเขาเป็นการขับเคลื่อนสังคมให้ดีขึ้นกว่าเดิม
ซึ่งภาพยนตร์ก็หยิบเอาเหตุการณ์ดังกล่าวมาใช้เป็นเชื้อไฟในการพัฒนาเรื่องราว จนกลายมาเป็นภาพยนตร์สะท้อนปัญหาสังคมได้อย่างร้าวลึก และยอดเยี่ยมจนกลายเป็นตัวแทนของประเทศญี่ปุ่นในการเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์นานาชาติยอดเยี่ยมในปีหน้าอีกด้วยครับ
แม้ว่าประเทศไทยจะยังไม่ได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัว แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันเป็นปัญหาที่ไม่ควรมองข้าม อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อประชากรวัยกลางคนเลือกที่จะไม่มีบุตร ขณะที่ผู้สูงอายุก็ทวีจำนวนมากขึ้นทุกปี ปัญหาที่ตามมาก็คือการขาดแคลนแรงงานในการขับเคลื่อนสังคมในทุกภาคส่วน จนนำมาซึ่งวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในอนาคตอันใกล้นี้
โครงการ Plan 75 ของภาพยนตร์ตั้งต้นจากจุดนั้นครับ ซึ่งนโยบายดังกล่าวนั้นเป็นแนวความคิดที่ท้าทายกรอบของสังคมและหมิ่นเหม่ในแง่ของศีลธรรมเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ล้วนเป็นสัจธรรมของชีวิต แต่การได้เฝ้ามองสถานการณ์ที่ตัวละครต้องเผชิญอย่างใกล้ชิด กับการถูกลดทอนคุณค่าทางสังคมลงตามอายุที่มากขึ้น อีกทั้งยังถูกประโลมโลกด้วยการยัดเยียดแนวความคิดชาตินิยมว่า การเสียชีวิตโดยสมัครใจของเหล่าผู้สูงอายุคือการเสียสละเพื่อชาติ ก็นับเป็นความรู้สึกที่จุกอยู่ในอกและยากจะอธิบายครับ
แต่ถึงกระนั้นการที่ภาพยนตร์เลือกให้พื้นที่กับเหล่าตัวละครได้ใช้เจตจำนงเสรีของตนเอง พร้อมกับนำเสนอปัญหาของผู้สูงอายุอย่างรอบด้านแล้ว และยังสามารถหาเหตุผลรองรับให้กับทุกฝ่ายได้อย่างหนักแน่น ทำให้การตราหน้าว่านโยบายดังกล่าวนั้นเป็นเรื่องที่ผิดและโหดร้าย กลายเป็นความรู้สึกที่กระอักกระอ่วนและไม่สามารถพูดได้เต็มปากมากนัก
จากคำถามที่ภาพยนตร์โยนเข้าใส่ผู้ชม มันทำให้เรื่องราวทั้งหมดนั้นตกตะกอนเป็นก้อนความคิดให้ได้ต่อเติมในหลายมิติ ไม่ว่าจะในแง่ของความเหลื่อมล้ำ เนื่องจากภาพยนตร์เลือกเล่าเฉพาะตัวละครผู้สูงอายุที่ไม่มีฐานะ ไร้ลูกหลานดูแล และไม่มีสินทรัพย์ใดๆ เป็นของตัวเอง ในขณะเดียวกันมันก็ชวนให้ตั้งคำถามถึงจุดเริ่มต้นของปัญหา ด้วยสภาพสังคมที่เต็มไปด้วยการแข่งขันและเศรษฐกิจที่รัดตัว อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชนชั้นกลางไม่อยากมีลูกอีกต่อไป
หรือหากจะมองถึงความโหดร้ายของระบอบทุนนิยม ที่ต้องการแรงงานมนุษย์เป็นฟันเฟืองในการขับเคลื่อนธุรกิจทุกประเภท แต่เมื่อถึงจุดที่มนุษย์มีอายุมากขึ้น ระบอบทุนนิยมที่โอบรับพวกเขาเมื่อครั้งยังวัยเยาว์ ก็พร้อมที่จะผลักไสไล่ส่งผู้สูงอายุออกจากพื้นที่ในทันที และสุดท้าย ภาพยนตร์ทำให้ผู้ชมตั้งคำถามครับว่า มนุษย์มีเจตจำนงเสรีในการเลือกวันตายของตัวเองได้จริงหรือไม่
ภายใต้คอนเซปต์อันล้ำสมัย ภาพยนตร์เรื่อง Plan 75 เลือกที่จะเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมาอย่างเรียบง่ายและไม่ฟูมฟายจนเกินไปครับ โดยเป็นการพาผู้ชมไปสำรวจถึงความตายจากหลากหลายแง่มุมของตัวละคร ทั้งตัวละครหลักซึ่งเป็นผู้สูงอายุที่ต้องดิ้นรนต่อสู้ และตั้งคำถามถึงคุณค่าของการมีชีวิตอยู่
พนักงานของ Plan 75 ที่บังเอิญต้องมาให้บริการกับคนรู้จัก , แรงงานต่างด้าวผู้รับหน้าที่จัดการทรัพย์สินของผู้เสียชีวิต เพื่อรักษาชีวิตลูกสาวของตัวเอง รวมถึงพนักงานให้คำปรึกษาของโครงการ ที่เกิดผูกพันธ์กับผู้สูงอายุโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งทุกตัวละครล้วนถูกกรอบของหน้าที่การงานครอบเอาไว้ กับการพยายามโน้มน้าวใจของผู้สูงอายุให้เลือกจบชีวิตตัวเอง แต่ภาพยนตร์ก็มอบความเป็นมนุษย์ให้กับทุกตัวละคร พร้อมกับใช้เรื่องราวของพวกเขาเป็นดั่งภาพสะท้อนถึงแง่มุมต่างๆ ได้อย่างยอดเยี่ยม
สุดท้ายนี้แม้ว่าภาพยนตร์จะมีประเด็นอันหนักแน่น แต่ Plan 75 ก็ไม่ใช่ภาพยนตร์ที่เหมาะสำหรับผู้ชมทุกคนอย่างแน่นอนครับ โดยเฉพาะจังหวะการเล่าเรื่องที่เนิบช้าและการไม่ได้บอกเล่าบทสรุปของหลากหลายเหตุการณ์อย่างแน่ชัด เพื่อทิ้งพื้นที่ให้กับผู้ชมได้ตกผลึกทางความคิดและตั้งคำถามต่อจากสิ่งที่ภาพยนตร์นำเสนอ นอกจากนี้ภาพยนตร์ยังมีการแทนค่าสิ่งของและการกระทำต่างๆ ของเหล่าตัวละคร เพื่อบอกเล่าประเด็นในเชิงลึกมากขึ้นกว่าที่เห็นบนจอภาพยนตร์อีกด้วยครับ
#ประเด็นตกผลึก
ประเด็นตกผลึกจากภาพยนตร์เรื่อง Plan 75 ที่ผมจะชวนผู้อ่านทุกท่านมาคุยกันในวันนี้ก็คือ
มุมมองต่อจุดสิ้นสุดของชีวิตที่เปลี่ยนไปตามช่วงอายุขัย
ประเด็นในวันนี้เป็นสิ่งที่ผมตกผลึกได้จากภาพยนตร์อย่างแท้จริงครับ แม้มันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ภาพยนตร์ต้องการนำเสนอโดยตรง แต่มันกลับสามารถเทียบเคียงกับชีวิตส่วนตัวของผมได้อย่างแนบเนียนมากๆ และมันก็ยังติดอยู่ในหัวของผมจนถึงตอนนี้ครับ
ย้อนกลับไปในช่วงวัยเด็กจนถึงวัยรุ่น ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่เรามองข้ามความตายได้แบบไม่แยแสครับ เราพร้อมที่จะแหกขนบทุกอย่างโดยไม่สนผลลัพธ์ที่จะตามมา พร้อมที่จะเอาตัวเองไปเสี่ยงกับการเล่นพิเรนทร์มากมาย ขณะที่เมื่อเติบโตเข้าสู่วัยทำงาน เราก็พร้อมที่จะถวายตัวเองให้กับความสำเร็จที่คนรุ่นก่อนนิยามเอาไว้ ทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อรับใช้อะไรบางอย่างโดยไม่ได้ตั้งคำถาม แข่งขันกันเพื่อพุ่งสู่จุดสูงสุด และพยายามไขว่คว้าหรือครอบครองทุกอย่างให้ได้มากที่สุดครับ
แต่เมื่อชีวิตเริ่มเข้าสู่เลข 3 นำมาซึ่งการเห็นจุดเปลี่ยนรอบตัวมากมายครับ ไม่ว่าจะเป็น การเห็นผู้คนรอบตัวในวัยใกล้เคียงกันเติบโตขึ้น ล้มเหลว ประสบความสำเร็จ มีชีวิตคู่ แต่งงาน เริ่มสร้างครอบครัว และตัดสินใจเรื่องการมีบุตรกันอย่างชัดเจนมากขึ้น
แต่ในขณะเดียวกันเมื่อใบไม้ใบใหม่เติบโตขึ้น ใบไม้ใบเดิมก็เริ่มผลัดใบหล่นจากต้นครับ ในช่วงวัยนี้ผมได้สัมผัสกับความตายอย่างใกล้ชิดมากขึ้น ญาติผู้สูงอายุหลายท่านจากไปด้วยปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะด้วยโรคภัยไข้เจ็บหรือการสิ้นอายุขัยก็ตามครับ นับเป็นช่วงวัยที่ผมเริ่มตั้งคำถามกับคุณค่าของชีวิต การประสบความสำเร็จ และวัฏจักรของความเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นจริงเป็นจังกว่าที่เคยครับ
ขณะที่วัยผู้สูงอายุนั้นถูกเล่าผ่านตัวละครอย่าง มิจิ ตัวละครหลักของภาพยนตร์นั่นเองครับ ด้วยวัย 78 ปีของมิจิ เธอได้สัมผัสกับความตายอย่างใกล้ชิดอยู่ตลอดเวลาครับ เพื่อนร่วมงานในวัยใกล้เคียงกันของเธอพร้อมที่จะจากไปอย่างกระทันหันได้ทุกเมื่อ บวกกับการที่เธอใช้ชีวิตเพียงลำพังโดยปราศจากครอบครัวมาเป็นเวลานาน ทำให้มิจิต้องเผชิญกับความเปลี่ยวเหงาเดียวดายมากขึ้นทุกขณะครับ
นอกจากนี้เธอยังถูกสังคมทุนนิยมขับออกจะระบอบ เธอตกงานและขาดรายได้ในการใช้ชีวิต จึงทำให้มิจิเริ่มตั้งคำถามกับคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ ระหว่างการใช้ชีวิตและต่อสู้กับมันอย่างยากลำบาก หรือการกอบโกยความสุขครั้งสุดท้ายในชีวิต ก่อนจากไปอย่างสงบกับโครงการ Plan 75 ครับ
สุดท้ายนี้ผมขอหยิบยกคำพูดจากพ่อผมมาบอกเล่าให้กับผู้อ่านทุกท่านได้ฟังกันครับ ขณะที่กำลังสนุกสุดเหวี่ยงในวันงานฉลองวันเกิดปีหนึ่งของผมในช่วงวัยรุ่น พ่อของผมก็ได้พูดขึ้นมาครับว่า “ให้ทุกงานฉลองวันเกิดของเราเป็นสิ่งย้ำเตือนว่า เรากำลังเดินหน้าไปสู่หลุมศพของตัวเองใกล้ขึ้นอีกปี”
ในตอนนั้นผมไม่เข้าใจในสิ่งที่พ่อของผมพูดเลยครับ จนกระทั่งวันนี้ที่ผมเริ่มได้เห็นการเปลี่ยนผ่านของช่วงอายุคน รวมถึงการได้อยู่ใกล้ชิดกับพ่อซึ่งเพิ่งผ่านประสบการณ์เฉียดตายมาหมาดๆ ทำให้ผมตระหนักถึงประโยคในวันนั้นของพ่อผมได้ชัดเจนมากขึ้นครับ
เราทุกคนรู้ดีครับว่า ความตายเป็นจุดสิ้นสุดในชีวิตของมนุษย์ทุกคน แต่ด้วยสัญชาตญาณพื้นฐานของมนุษย์แล้ว ความกลัวย่อมฝังรากลึกและแสดงตัวออกมาอยู่เสมอเมื่อวันตายใกล้จะมาถึงครับ โดยเฉพาะการตระหนักถึงความกลัวดังกล่าวในยุคสมัยที่สังคมเต็มไปด้วยการแข่งขัน และพร้อมจะตัดสินคุณค่าของกันและกันอยู่ตลอดเวลา เมื่อมองจากองค์ประกอบแวดล้อมที่ภาพยนตร์นำเสนอแล้วก็คล้ายกับว่า สังคมพร้อมจะผลักผู้สูงอายุให้เข้าร่วมโครงการ Plan 75 เนื่องจากผู้สูงอายุถูกมองว่าไม่สามารถขับเคลื่อนประเทศได้อีกต่อไป
แม้ว่าโครงการ Plan 75 จะเป็นเพียงเรื่องสมมติ แต่ระบอบทุนนิยมและสวัสดิการของภาครัฐ ที่ไม่ได้ตอบสนองต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในสังคมนั้นเป็นเรื่องจริงนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชนชั้นกลางเลือกที่จะไม่มีบุตรกันมากขึ้นในปัจจุบัน ก็จะยิ่งบีบให้ผู้สูงอายุในอนาคตมีโอกาสที่จะพบเจอกับบททดสอบทางจิตใจที่ยากลำบากมากขึ้น
จนบางครั้งมันอาจจะทำให้เราอยากสัมผัสกับจุดสิ้นสุดของชีวิตในวันที่มันยังมาไม่ถึงก็เป็นได้ครับ ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเป็นดั่งการเปลี่ยนมุมมองต่อความตายและจุดสิ้นสุดของชีวิตของผมอีกครั้ง และผมก็อยากชวนให้ทุกท่านไปตามหาคำตอบของตัวเองกันในโรงภาพยนตร์ครับ
#Plan75 #วันเลือกตาย #Filmment
โฆษณา