17 ก.ย. 2022 เวลา 12:00 • ไลฟ์สไตล์
ตอนที่ 17: บัลเล่ต์ - My ‘Healing Session’ to bring an old me back!
สวัสดีค่ะ และแล้ว….ดิฉันก็ตัดสินใจดึงตัวเองมาเขียน reflect นี้ต่อได้เสียทีในยามกลางดึกเช่นนี้ (เพื่อจะได้ไม่ทำให้ตัวเองง่วงไปกว่านี้ยามทำงานนั่นเอง 55555)
จาก aim ของการเขียนไดอารี่นี้แต่ต้น ที่ได้กล่าวไว้ว่าจะเป็นการเขียนเพื่อสะท้อนและเก็บความทรงจำดี ๆ ที่มีความสุขเอาไว้….เพราะปกติตนเองมักจำเรื่องราวที่เต็มไปด้วยความสุขไม่ได้สักเท่าไหร่นั่นเอง 5555
วันนี้ดิฉันก็เลยตัดสินใจบันทึกเความทรงจำกับสิ่ง ๆ หนึ่งที่เกิดขึ้นมาอย่างเนิ่นนานลงไปอย่างละเอียด เพราะบอกเลยว่าที่ผ่านมาเราทำมันเป็น routine มาโดยตลอด แล้วมันก็หายไปจากเราระยะหนึ่งด้วยเหตุผลบางอย่าง จนล่าสุดพอได้มีโอกาสกลับมาทำมันอีกครั้ง…..กลายเป็นว่ามันได้ช่วยปลุกความ authentic ในตัวเราบางอย่างออกมาจากที่ห่างหายไปนานแสนนานมากจริง ๆ ซึ่งมันทำให้เรารู้สึกดีมาก ๆ เลย :)
และสิ่งที่เรากำลังพูดถึงนั่นก็คือ…. การเต้นบัลเล่ต์นั่นเองค่ะ
จริง ๆ แล้วดิฉันเริ่มเต้นบัลเล่ต์มาตั้งแต่สมัยวัยเยาว์ค่ะ วัยเยาว์ใน ณ ที่นี่น่าจะเป็นตั้งแต่ช่วงสมัยอนุบาลเลยแหละ จำได้ว่าช่วงนั้นเมื่อถึงเวลาเลิกเรียนดิฉันจะต้องเดินผ่านเรือนไม้เล็ก ๆ เรือนหนึ่ง ซึ่งจะมีการเต้นบัลเล่ต์เกิดขึ้นในเรือนนั้น
ดิฉันจำถึงรายละเอียดได้ไม่มากนักว่าสุดท้ายมาลงเอยที่การลงเรียนได้อย่างไร แต่หลังจากวันนั้น ดิฉันก็รับผิดชอบลงเรียนบัลเล่ต์มาโดยตลอด ไต่ระดับไปเรื่อย ๆ คล้าย ๆ เหมือนที่เรียนเปียโนเลยเพราะก็มองว่าเป็นสิ่งที่เราทำแล้วเอนจอย บวกกับพ่อแม่ก็ไม่ได้ติดเรื่องค่าใช้จ่ายอะไร เราก็เลยลงเรียนไปอย่างเต็มที่มาโดยตลอด จนมาถึงช่วงหนึ่งที่เราหยุดไปเพราะเรามีอะไรหลายอย่างมากที่ต้องทำ บวกกับอยากประหยัดค่าใช้จ่ายกับที่บ้านด้วยนั่นแหละ
ดิฉันเชื่อว่าหลายคนอาจมองว่า การเต้นบัลเล่ต์….มันอาจเหมือนเป็นกิจกรรมหนึ่งที่ดูสวยหรู ดูเป็นความฝันของเด็กผู้หญิงหลาย ๆ คนที่คลาสสิกมาก ๆ ดูเป็นสิ่งง่าย ๆ ที่ถ้ามีเงินก็สามารถแลกมาได้ด้วยฝึกฝนที่ไม่มีอะไรยากเย็นเพราะเป็นการเต้นด้วยท่าทางฟรุ้งฟริ้งกับกระโปรงที่ฟูฟ่อง…
ซึ่งใช่ค่ะ ดิฉันไม่เถียงในเรื่องของค่าใช้จ่ายที่มันสูงมากจริง ๆ แต่ดิฉันบอกเลยค่ะว่าบัลเล่ต์นี่ถือว่าเป็นการเต้นที่ ‘โหดมาก’ แบบดอกจันล้านด้วงเลย! เพราะท่าทางหลาย ๆ อย่างที่งดงามแบบนั้นมันเป็นอะไรที่ฝืนความเป็นธรรมชาติร่างกายของเราสุด ๆ เลย มันจึงต้องอาศัยการฝึกฝน อาศัยแรงใจ อาศัยวินัยที่สูงมากเพื่อทำให้สามารถทำท่าทางเหล่านั้นได้อย่างงดงามไร้ที่ติจริง ๆ
มันจึงไม่แปลกที่การเต้นที่ฝืนธรรมชาตินี้เลยเป็นสิ่งที่ต้องใช้แรงกายมหาศาลมาก เอาจริง ๆ ดิฉันว่าไม่แพ้กันกับการเต้นประเภทอื่นๆ เลยค่ะ ถือว่าเป็นคาร์ดิโอรูปแบบหนึ่งเลยก็ว่าได้นะ
กลับมาที่เรื่องการเต้นบัลเล่ต์ของดิฉันกันต่อ ด้วยความที่ดิฉันก็เติบโตมาอย่างไม่รู้หรอกว่าการเต้นเหล่านี้มันยากมากเพียงใด แต่เพราะการเต้นบัลเล่ต์ที่มันอาศัยวินัย การฝึกฝน และแรงใจมาก ๆ เพื่อทำให้เราทำท่าต่าง ๆ ได้ ประสบการณ์นี้ก็เลยค่อย ๆ เริ่มหล่อหลอมตัวดิฉันให้กลายเป็นคนที่เต็มไปด้วยแรงใจ เวลาเจออะไรมาขวางกั้นดิฉันเลยมักจะไม่กลัวและไม่ค่อยมองว่ามันเป็นอุปสรรคเท่าไหร่ แล้วก็ลุยไปเลยเพราะรู้สึกว่าอยากทำให้ได้ อยากเป็นแบบนั้นให้ได้ อยากสวยแบบนั้นให้ได้
ดิฉันจะพยายามเรียนรู้จากการสังเกตตัวแบบให้ละเอียดเพื่อนำไปปรับ posture ร่างกายและ inner ข้างในให้เหมือนเขามากที่สุด ซึ่งบอกเลยว่าความรู้สึกอยากทำให้ได้นี้มันทรงพลังมาก มันทรงพลังแบบที่ทำให้เรายังอยากวนเวียนอยู่กับมันเพื่อทำให้มันสวยและดีที่สุดในมุมมองของเรา แล้วพอเราทำได้เราก็เอนจอยมาก ๆ เพราะมันทำให้เราได้ลูกเล่นอะไรใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามาเวลาเต้นทำให้มันสนุกและมีสีสันมากขึ้น
มันไม่มีความรู้สึกท้อ เศร้า หรือกดดันตนเองในเชิงลบอยู่ตรงนั้นเลยจริง ๆ
พอเราโตขึ้น เจอเรื่องหนัก ๆ มาที่ทำให้เรารู้สึกกลัว ไม่อยากเผชิญกับมันอีกเพราะไม่อยากเจ็บ (ซ้ำอีก) มันเลยทำให้ความกล้าหรือความอยากทำได้มันน้อยลง เผลอ ๆ กลายเป็นเลือกที่จะปิดกั้นให้ตนเองไม่ทำมันด้วยซ้ำ บ่นปฏิเสธไปก่อนเพราะกลัวไปก่อนแล้วว่าเราจะเหนื่อย จะทำไม่ได้…..
ความรู้สึก ‘fearless’ ที่มาจากความบริสุทธิ์ของเด็กหญิงตัวน้อยที่เพียงคิดแค่ว่า ‘ฉันอยากสวยและทำให้ได้’ มันกลับมาหาดิฉันอีกครั้งเมื่อได้กลับมาเต้นบัลเล่ต์เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งบอกตามตรงดิฉันก็เพิ่งจะมา surprise กับตนเองเหมือนกันที่ก็เพิ่งจะเห็นว่าความรู้สึกนี้มันหายไปจากเรานานเหมือนกัน แล้วก็เพิ่งมาเห็นว่าความ fearless นี้แม่งมีพลังมากจริง ๆ
แล้วยิ่งพอโตขึ้น เมื่อเราได้รู้จักที่จะลดแรงกดดันที่ไม่จำเป็นกับตนเองลง หรือปล่อยวางกับสิ่งบางอย่างที่เป็น fact หรือเปลี่ยนแปลงได้ยากมากขึ้น มันก็ทำให้เราไม่ตึงกับการผลักดันตนเองมากจนเกินไป
ใช่แหละ! แม้ว่าช่วงแรก ๆ ของการ come back เข้าสู่การเต้นบัลเล่ต์ของเราอาจทำให้เราหัวเสียไปนิดหน่อยเพราะเราไม่สามารถทำยางอย่างได้เหมือนเดิมเพราะห่างหายไปนาน แต่จากความโตที่ทำให้เราเริ่มรู้จักปล่อยวาง จาก awareness ที่เราคอยทำการบ้านกับตนเองตลอดในเรื่องการให้อภัยตนเองจากความรู้สึกผิดหวัง มันก็ค่อย ๆ ทำให้เราลดความคาดหวังในตนเองลงให้มันใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากขึ้นเพื่อทำให้เราไม่รู้สึกดดันจนเกินไป และก็ใจดีกับตนเองมากขึ้นเวลาเราทำไม่ได้ ด้วยการบอกกับตนเองให้ค่อย ๆ ทำไป
ประกอบกับสภาพแวดล้อมการเรียนบัลเล่ต์ที่จะช่วยเหลือกันอยู่แล้วด้วยแหละ เพราะปกติคุณครูบัลเล่ต์ของดิฉันก็ไม่ได้กดดันอะไรเวลาเราทำไม่ได้อยู่แล้ว หรือเวลาบางทีเราหัวเสีย เพื่อนก็จะคอยปลอบแล้วก็คอยช่วยให้เราไม่กดดันตนเองจนเกินไปเช่นกัน ซึ่งมันดีมาก ๆ เลย
ตอนนี้การเต้นบัลเล่ต์เลยเป็น Healing Session หนึ่งของเราที่ดีมาก แม้ว่ามันจะแลกมากับการเหงื่อหรือความเจ็บปวดทางกายบ้างก็ตาม
การ come back กลับมาเต้นบัลเล่ต์ของดิฉันในครั้งนี้จึงเป็นสิ่งที่คุ้มค่ามากจริง ๆ ตอนแรกบอกเลยว่าดิฉันก็ลังเลใจอยู่นานพอควรเพราะว่าดิฉันต้องออกค่าใช้จ่ายในการเรียนเอง แต่พอมานึกถึงโอกาสที่เราจะได้กลับมาหาประสบการณ์นี้ที่ก็อาจเริ่มน้อยลงในอนาคต นึกถึงความสนุกที่เราเคยได้เต้น นึกถึงบรรยากาศในอดีตบางอย่างที่ทำให้เรารู้สึกแฮปปี้ นึกถึงเพื่อน ๆ และคุณครูที่น่ารัก มันก็ทำให้เราตัดสินกัดฟันจ่ายนั่นแหละ
แล้วยิ่งพอมันทำให้เราได้สัมผัสถึงความ fearless นั้นอีกครั้ง มันก็ยิ่งทำให้เรารู้ว่าเราห่างหายจากมันมามากเพียงใด ซึ่งก็นำไปสู่การที่ทำให้เราได้เห็นคุณค่าของมันอย่างแท้จริง
ประสบการณ์ come back นี้คงเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ดิฉันคงเอามา explore ต่อเพื่อหาแนวทางการสร้างความมั่นใจให้กับดิฉันต่อไปในอนาคตอย่างแน่นอน (แต่ไม่รู้เมื่อไหร่เหมือนกันนะ 5555)
นั่นแหละ นี่ก็เป็นตอนหนึ่งสั้น ๆ ที่ดิฉันเองอยากบันทึกเก็บไว้ ว่าอีกวิธีที่สามารถสร้างความรู้สึกดี ๆ ให้ตนเองได้ ….. ก็มีสิ่งนี้แหละ ที่ช่วยเราได้จริง ๆ :)
โฆษณา