22 ก.ย. 2022 เวลา 02:50 • ประวัติศาสตร์
สรุปประวัติ Warner Bros. ค่ายหนังยักษ์ใหญ่ ที่ตั้งโดยพี่น้อง 4 คน
หลายคนคงเคยดูภาพยนตร์เรื่อง Harry Potter, The Lord of the Rings, Game of Thrones
หรือการ์ตูนแอนิเมชันอย่าง Looney Tunes, ซูเปอร์ฮีโรจักรวาล DC
รู้ไหมว่า คอนเทนต์เหล่านี้ ล้วนมีเจ้าของคนเดียวกันคือ “Warner Bros.”
ใครเป็นผู้ก่อตั้งค่ายหนัง Warner Bros. ?
แล้วทำไม Warner Bros. ถึงก้าวขึ้นมาเป็นยักษ์ใหญ่ของวงการภาพยนตร์ได้ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ย้อนกลับไปเมื่อปี 1889 ครอบครัว Wonsal ได้อพยพจากโปแลนด์ ย้ายมาที่สหรัฐอเมริกา
และได้เปลี่ยนนามสกุลใหม่เป็น “Warner”
โดยครอบครัวนี้มีลูกชายทั้งหมด 4 คน ได้แก่ Harry, Aaron, Samuel และ Jack
ต่อมาคุณ Samuel Warner ได้งานเป็นพนักงานฉายภาพยนตร์กลางแปลง
และได้เล็งเห็นว่าธุรกิจมีแนวโน้มเติบโตดี จึงได้ชักชวนพี่น้อง มาเริ่มธุรกิจฉายภาพยนตร์กลางแปลง ด้วยเงิน 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ
1
พอธุรกิจไปได้สวย พวกเขาจึงตัดสินใจขยายกิจการ สร้างโรงภาพยนตร์เป็นของตัวเองขึ้นมาในปี 1903 และยังได้ขยายกิจการไปยังต้นน้ำ โดยเป็นผู้จำหน่ายฟิล์มภาพยนตร์ ให้แก่ผู้บริการรายอื่นด้วย
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจจำหน่ายฟิล์มภาพยนตร์ มีต้นทุนค่อนข้างสูง และการผลักราคาไปให้กับบรรดาค่ายผู้ผลิตภาพยนตร์ก็ทำได้ยาก จึงทำให้พี่น้อง Warner ประสบปัญหา จนต้องขายกิจการทิ้งไปในที่สุด
1
แต่มันก็ทำให้พี่น้อง Warner เห็นโอกาสในการเป็นผู้ผลิตภาพยนตร์เสียเอง
และได้เริ่มต้นธุรกิจค่ายหนังขึ้นในปี 1912
โดยในเวลานั้น พี่น้อง Warner เห็นว่า ผู้บริโภคกำลังสนใจภาพยนตร์สงคราม จึงได้ซื้อลิขสิทธิ์หนังสือเรื่อง My Four Years in Germany นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของค่าย ซึ่งก็ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
ส่งผลให้พวกเขามีเงินทุนมาสร้างสตูดิโอ และก่อตั้งบริษัท Warner Bros. Pictures อย่างเป็นทางการในปี 1923 หรือเมื่อ 99 ปีที่แล้ว โดยมีพี่ชายคนโตอย่างคุณ Harry Warner รับตำแหน่งเป็นประธานบริษัท
1
ต่อมา Warner Bros. กลับไม่สามารถสร้างภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จได้อย่างช่วงแรก ๆ
จึงได้ลองหาสิ่งแปลกใหม่ ด้วยการใช้สุนัขฝึกชื่อว่า Rin Tin Tin แสดงเป็นตัวเอกในภาพยนตร์ ซึ่งก็ได้รับกระแสตอบรับที่ดีแทบทุกภาค
รวมถึงได้มีการหานวัตกรรมใหม่ อย่างเช่น การนำเทคโนโลยีที่เรียกว่า Vitaphone มาพัฒนาต่อยอดเป็นภาพยนตร์เสียงเรื่องแรกของโลกที่ชื่อ The Jazz Singer
โดยผู้ชมภาพยนตร์สามารถสัมผัสทั้งเสียงบทสนทนา และเสียงดนตรีประกอบได้
ซึ่งถือเป็นความแปลกใหม่ในตอนนั้น ที่ภาพยนตร์มีเพียงแค่ภาพเท่านั้น
แต่น่าเสียดายที่คุณ Samuel Warner ผู้ผลักดันโครงการ ไม่มีโอกาสรับชมผลงานเรื่องนี้
เนื่องจากเขาเสียชีวิตลง ก่อนที่ภาพยนตร์จะเปิดตัวได้ไม่นาน
หลังจากนั้น Warner Bros. ยังสำรวจตลาดอย่างต่อเนื่อง และพบว่าผู้บริโภคต้องการชมภาพยนตร์ที่ตื่นเต้นสมจริงมากขึ้น
Warner Bros. จึงหันไปสร้างภาพยนตร์แนวแก๊งมาเฟีย และอาชญากรรม ซึ่งก็นับเป็นค่ายหนังรายแรก ๆ ที่ได้สร้างภาพยนตร์แนวนี้ ให้เป็นที่นิยมขึ้นมาเป็นอย่างมาก
1
ด้วยเหตุนี้ Warner Bros. จึงเติบโตแบบก้าวกระโดด สามารถก้าวขึ้นมาเป็นค่ายหนังชั้นนำของสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยในช่วงทศวรรษ 1930 บริษัทผลิตภาพยนตร์เฉลี่ยถึง 100 เรื่องต่อปี และกว้านซื้อโรงภาพยนตร์มากถึง 360 แห่ง
ต่อมา บริษัทได้ก่อตั้งหน่วยงานแอนิเมชันขึ้นมา เพื่อขยายฐานผู้ชมในกลุ่มเด็ก จนเกิดเป็นแบรนด์ Looney Tunes นำโดยตัวการ์ตูนชื่อดัง ที่ทุกคนน่าจะผ่านตากันมาบ้างอย่าง Bugs Bunny และ Daffy Duck
แต่ใช่ว่าเส้นทางของพวกเขาจะราบรื่น
เพราะพอเริ่มผูกขาดตลาดมากขึ้น หน่วยงานรัฐจึงได้เข้ามากำกับอย่างเข้มงวด
โดยสั่งให้ลดเนื้อหาที่มีความรุนแรงลง และบังคับให้แยกกิจการผลิตภาพยนตร์ และโรงภาพยนตร์ออกจากกัน
2
เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทโดยตรง ประกอบกับโทรทัศน์ตามครัวเรือนเริ่มเป็นที่แพร่หลายมากขึ้น ส่งผลให้ Warner Bros. เกือบจะล้มละลายเลยทีเดียว
จากมรสุมธุรกิจที่ถาโถมเข้ามา พี่น้อง Warner จึงตัดสินใจเกษียณตัวเอง ด้วยการขายหุ้นออกมาทั้งหมด แต่น้องคนเล็กชื่อคุณ Jack Warner กลับแอบตั้งกลุ่มบริษัทร่วมทุน มารับซื้อหุ้นถึง 90% ของทั้งหมด และแต่งตั้งตัวเองขึ้นมาเป็นประธานบริษัทแทน
ซึ่งนั่นก็ทำให้พี่น้อง Warner มาถึงจุดแตกหัก และไม่เคยคุยกันอีกเลย
จากนั้นคุณ Harry และคุณ Aaron ก็ได้เสียชีวิตลงในเวลาต่อมา
จนมาในปี 1966 คุณ Jack Warner ที่มีอายุมากแล้ว จึงได้ขายหุ้นให้กับทางค่ายหนัง Seven Arts Productions มูลค่าราว 32 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อให้เข้ามาช่วยบริหารงาน โดยที่ตัวเขายังคงเป็นประธานบริษัท
แต่พอเวลาผ่านไป ทั้งสองฝ่ายก็มีความเห็นไม่ตรงกัน ทาง Seven Arts Productions เลยขายหุ้นต่อให้แก่บริษัท Kinney National ในราคา 64 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทำให้คุณ Jack Warner ไม่พอใจเป็นอย่างมาก จนลาออกจากบริษัทไป
ซึ่งนับเป็นจุดสิ้นสุดของความเกี่ยวข้องกันระหว่างพี่น้อง Warner กับบริษัท Warner Bros. ตั้งแต่นั้นมา
1
อย่างไรก็ตาม บริษัทก็ได้ต่อยอดธุรกิจอีกมากมาย
โดยผลงานที่โดดเด่นคือ การรับผิดชอบส่วนงานการ์ตูนจักรวาล DC ที่ Kinney National ถือครองลิขสิทธิ์อยู่ นำโดยซูเปอร์ฮีโร เช่น ซูเปอร์แมน, แบทแมน, วันเดอร์ วูแมน
1
นอกจากนั้น ในปี 1990 บริษัทได้ควบรวมกิจการกับ Time Inc. กลายเป็นบริษัทใหม่ คือ Time Warner
ทำให้มีเงินทุนไปซื้อกิจการอื่น ๆ เช่น Turner Pictures เจ้าของรายการข่าว CNN และช่อง Cartoon Network
รวมไปถึง การซื้อลิขสิทธิ์หนังสือนิยายชื่อดังอย่าง Harry Potter มาสร้างเป็นภาพยนตร์ทั้งหมด 8 ภาค ซึ่งได้รับความนิยมสูง และประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
ทั้งยังเป็นผู้ผลิตภาพยนตร์ชื่อดังอีกหลายเรื่อง เช่น The Lord of the Rings, The Hobbit, Fantastic Beasts, The Matrix, Ocean’s Eleven, Godzilla
รวมทั้งซีรีส์ เช่น Game of Thrones, Friends เป็นต้น
เรามาลองดู อันดับภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดของเครือ Warner Bros.
อันดับ 1 Harry Potter and the Deathly Hallows: Part II ออกฉายปี 2011 รายได้ 48,000 ล้านบาท
อันดับ 2 Aquaman ออกฉายปี 2018 รายได้ 41,500 ล้านบาท
อันดับ 3 The Dark Knight Rises ออกฉายปี 2012 รายได้ 39,500 ล้านบาท
อันดับ 4 Joker ออกฉายปี 2019 รายได้ 39,000 ล้านบาท
อันดับ 5 The Hobbit: An Unexpected Journey ออกฉายปี 2012 รายได้ 37,000 ล้านบาท
แล้วปัจจุบันใครเป็นเจ้าของ Warner Bros. ?
ในปี 2000 บริษัทอินเทอร์เน็ตยักษ์ใหญ่ AOL เข้าซื้อกิจการของ Time Warner ด้วยดีลมูลค่ากว่า 6.6 ล้านล้านบาท แต่ไม่นานก็เกิดวิกฤติฟองสบู่ดอตคอมขึ้น จนบริษัทประสบภาวะขาดทุนอย่างหนักถึง 3.6 ล้านล้านบาท
จนมาในปี 2018 บริษัท AT&T ได้เข้าซื้อกิจการ Time Warner ด้วยเงินมูลค่า 3.1 ล้านล้านบาท และเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น WarnerMedia
และล่าสุดเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2021 ทาง AT&T ได้ประกาศนำ WarnerMedia ควบรวมกิจการกับ Discovery, Inc. หนึ่งในสื่อชั้นนำ กลายเป็นบริษัทใหม่ชื่อว่า Warner Bros. Discovery
โดยปัจจุบัน Warner Bros. Discovery จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ มีมูลค่าบริษัทอยู่ที่ประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท
จากเรื่องราวนี้ คงให้ข้อคิดเรื่องการทำธุรกิจ ท่ามกลางอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาได้เป็นอย่างดี
1
แม้วงการภาพยนตร์ จะเป็นอุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสความนิยมของผู้บริโภคอยู่ตลอดเวลา แต่ Warner Bros. ก็สามารถปรับตัว สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ชมภาพยนตร์ได้อยู่เสมอ
ไม่ว่าจะเป็น การนำสุนัขมาเป็นตัวเอก, การฉายภาพยนตร์เสียงเป็นเจ้าแรก, การขยายไปสู่การ์ตูนแอนิเมชัน หรือการซื้อลิขสิทธิ์นิยายชื่อดังมาสร้างเป็นภาพยนตร์ ซึ่งทั้งหมดนี้เอง ที่ช่วยสร้างความแตกต่างให้กับ Warner Bros.
และทั้งหมดนี้ก็คือเรื่องราวของ Warner Bros. ค่ายหนังยักษ์ใหญ่ ที่สร้างตำนานความทรงจำ ให้กับทั้งผู้ใหญ่และเด็กมากมาย ในช่วงเวลากว่า 100 ปีที่ผ่านมา..
หนังสือ BRANDING THE NATION หนังสือที่เล่าถึงการสร้างแบรนด์ของแต่ละประเทศที่ทำให้ แต่ละประเทศเป็นแบบทุกวันนี้
เช่น ทำไมเยอรมนีเป็นประเทศแห่งรถยนต์ ทำไมฝรั่งเศสเป็นประเทศแห่งแบรนด์หรู สั่งซื้อเลยที่
โฆษณา