24 ก.ย. 2022 เวลา 02:29 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
รีวิว : Moloch - อย่าขุดมันขึ้นมา
Filmment Rating : 6.6
#เนื้อเรื่องย่อ
เบทริค แม่หม้ายสาวลูกติดที่ใช้ชีวิตอันเรียบง่ายอยู่กับพ่อแม่ เธอได้พบกับ โยนาส หัวหน้าทีมนักสำรวจ ที่บังเอิญขุดเจอศพของหญิงสาวปริศนามากมายใกล้บ้านเธอ โดยที่ไม่รู้เลยว่าพวกเขากำลังปลุกวิญญาณร้ายในตำนานให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ยิ่งขุดลงไปลึกมากเท่าไร เรื่องราวอันน่าสะพรึงกลัวก็ยิ่งปรากฏชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น
#ความเห็น
หนึ่งในมนต์เสน่ห์ของภาพยนตร์ก็คือ การเชื่อมโลกทั้งใบเข้าหากันได้ด้วยเวลาเพียง 1 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้นครับ การตีตั๋วรับชมภาพยนตร์เรื่อง Moloch จึงเปรียบเสมือนการจองตั๋วเครื่องบิน พุ่งตรงสู่การสำรวจวัฒนธรรม ความเชื่อ และตำนานปรัมปราของประเทศเนเธอร์แลนด์ พร้อมด้วยบรรยากาศอันเย็นยะเยือก และความขนหัวลุกในท่าทีที่เราไม่คุ้นเคยครับ
หากว่ากันตามตรงแล้ว ภาพยนตร์เรื่อง Moloch - อย่าขุดมันขึ้นมา เป็นภาพยนตร์สยองขวัญที่มาพร้อมกับวัตถุดิบพิมพ์นิยมครับ แต่สิ่งที่ทำให้ Moloch มีความเป็นอัตลักษณ์ก็คือ การผสมผสานกันระหว่างภูมิทัศน์ของป่าอันน่าพรั่นพรึงของประเทศเนเธอร์แลนด์ กับตำนานความสยองขวัญแบบพื้นบ้านเฉพาะถิ่น ซึ่งเป็นสิ่งที่น้อยคนนักที่จะเคยรับรู้หรือเข้าถึงเรื่องเล่าเหล่านั้นครับ
ทั้ง 2 อย่างข้างต้นเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ภาพยนตร์สามารถเล่าเรื่องของตัวเองได้อย่างแข็งแรง และมอบรสชาติที่แตกต่างจากภาพยนตร์สยองขวัญทั่วไป แม้ว่าส่วนผสมหลักๆ จะยังเป็นสิ่งที่ผู้ชมคาดเดาได้ก็ตามครับ
แม้ว่าภาพยนตร์จะมาพร้อมกับจังหวะการเล่าเรื่องที่ไม่เร่งรีบ แต่ด้วยกลิ่นอายของความไม่น่าไว้วางใจ และปมปริศนาต่างๆ ของเรื่องราว ก็สามารถตรึงผู้ชมให้โฟกัสกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้อยู่ตลอด นอกจากนี้แต่ละตัวละครก็มีทิศทางและเรื่องราวที่น่าสนใจเป็นของตัวเอง นำโดย เบทริค แม่หม้ายสาวที่เคยพบกับโศกนาฏกรรมอันน่าสยดสยองในวัยเด็ก เธอใช้ชีวิตอยู่กับแม่ผู้ป่วยเป็นโรคลึกลับที่ไม่มีทางรักษา และพ่อที่ไม่สามารถสลัดภาพความโหดร้ายจากอดีตออกไปจากใจได้
ขณะที่ โยนาส นักสำรวจผู้ขุดค้นความลับอันดำมืดของศพนิรนาม อันมีเบาะแสบ่งชี้ถึงความเกี่ยวข้องกับครอบครัวของเบทริค ก่อนที่ทุกอย่างจะถูกขมวดเข้าหากันด้วยความสัมพันธ์ที่ก่อตัวขึ้นของทั้งคู่ และการหาความจริงของอดีตอันโหดร้ายของตระกูล ซึ่งเกี่ยวข้องกับความเชื่อโบราณที่ฝังรากลึกลงในวัฒนธรรมของเนเธอร์แลนด์
แต่ถึงกระนั้นภาพยนตร์ก็ยังมีบาดแผลให้เห็น โดยเฉพาะกับการโยนกลุ่มตัวละครหลักของเรื่องเข้าสู่สถานการณ์โดยขาดต้นสายปลายเหตุ ไม่ว่าจะเป็น การที่ทีมนักสำรวจของโยนาสเข้ามาขุดเพื่อตามหาศพปริศนาเป็นจำนวนมาก ก็ไม่ได้มีการระบุอย่างแน่ชัดว่าพวกเขาต้องการตามหาศพเหล่านั้นไปเพื่ออะไร หรือการที่เบทริคตัดสินใจเดินทางกลับบ้าน ก็ไม่ได้มีสาเหตุระบุอย่างแน่ชัด รวมถึงการที่เธอไม่เคยตั้งคำถามกับโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นในวัยเด็ก หรือออกตามหาความจริงของครอบครัวของตัวเองเลย แม้เวลาจะผ่านมานานกว่า 30 ปีแล้วก็ตามครับ
ทุกอย่างของภาพยนตร์จึงคล้ายกับการมุ่งหน้าเข้าสู่สถานการณ์ทั้งหมดอย่างจงใจ เพื่อนำไปสู่จุดไคลแม็กซ์ของเรื่องเท่านั้นครับ
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ผมชอบมากที่สุดของภาพยนตร์คงหนีไม่พ้น วิธีการที่ภาพยนตร์เลือกสร้างความสยองขวัญให้กับเรื่องราวครับ โดยภาพยนตร์รู้ขีดจำกัดของตัวเองเป็นอย่างดี และไม่ได้เน้นสร้างความสยองแบบโครมครามใหญ่โตตามแบบฉบับภาพยนตร์สยองขวัญยุคใหม่
หากแต่เลือกใช้บรรยากาศอันไม่น่าไว้วางใจ ค่อยๆ สร้างความน่าหวาดหวั่นอย่างซึมลึก ก่อนที่จะแผลงฤทธิ์ออกมาได้อย่างถูกที่ถูกเวลา โดยเฉพาะในช่วงไคลแม็กซ์ของภาพยนตร์ ที่แม้จะไม่ได้มีเทคนิคพิเศษทางการถ่ายทำอันหวือหวา แต่มันกลับทำให้ผู้ชมขนลุกเกรียวและเสียวสันหลังได้อย่างน่าชื่นชมครับ
โดยรวมแล้วภาพยนตร์เรื่อง Moloch - อย่าขุดมันขึ้นมา เป็นภาพยนตร์สยองขวัญที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้วยบรรยากาศอันเย็นยะเยือก การเล่าเรื่องแบบ Slow Burn ที่ผสมรวมกับตำนานปรำปราอันน่าขนลุกขนพอง พิธีกรรมอันน่าสยดสยอง และประเด็นทางสังคมที่ถูกสอดแทรกลงไปได้อย่างลงตัว ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้ Moloch - อย่าขุดมันขึ้นมา เป็นภาพยนตร์ที่ตรึงผู้ชมไว้กับเรื่องราวและสร้างความสะพรึงได้ แม้จะเดินเรื่องด้วยจังหวะที่เนิบช้าและแทบไม่ได้สร้าง Jump Scare ให้กับผู้ชมเลยก็ตามครับ
#ประเด็นตกผลึก
ประเด็นตกผลึกจากภาพยนตร์เรื่อง Moloch - อย่าขุดมันขึ้นมา ที่ผมจะชวนผู้อ่านทุกท่านมาคุยกันในวันนี้ก็คือ
ความเจ็บปวดทางวัฒนธรรมที่ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น
ปฏิเสธไม่ได้นะครับว่าทั้งเรื่องเล่า ตำนาน นิทานพื้นบ้าน หรือกระทั่งความเชื่อที่มีมาแต่โบราณนั้น เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์ในทุกสังคมครับ ซึ่งทุกเรื่องเล่าเหล่านั้นก็ล้วนผูกติดอยู่กับวัฒนธรรมท้องถิ่น และส่งผลต่อการใช้ชีวิตของมนุษย์ในสังคมนั้นๆ อยู่เสมอ ไม่ว่าจะในแง่ของขนบธรรมประเพณีที่งดงาม หรือเรื่องราวอาถรรพ์อันน่ากลัวก็ตาม และเมื่อขึ้นชื่อว่าตำนานแล้ว เรื่องราวเหล่านั้นย่อมถูกเล่าขานให้คงอยู่กับมนุษย์ไปในทุกยุคทุกสมัย
ภาพยนตร์เรื่อง Moloch เลือกหยิบเอาตำนานพื้นบ้านของเนเธอร์แลนด์ซึ่งมีอายุยาวนานหลายร้อยปีมาเป็นแกนกลางของความสยองครับ ซึ่งตำนานดังกล่าวนั้นได้สะท้อนถึงโครงสร้างอำนาจและวัฒนธรรมของสังคมในยุคโบราณ โดยเป็นยุคสมัยที่เพศชายนั้นมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนสังคม และยังอาจรวมถึงอำนาจในการเขียนประวัติศาสตร์อีกด้วย เรื่องเล่าที่ภาพยนตร์หยิบมาใช้จึงเป็นดั่งการระเบิดความอัดอั้นเคียดแค้นของหญิงสาวที่ถูกสังคมกดขี่ จนต้องหันมาพึ่งอำนาจมืดของปีศาจผู้ชั่วร้ายในการล้างแค้นครับ
ภาพยนตร์เลือกใช้ตำนานความสยองขวัญของเรื่อง เป็นภาพสะท้อนของการส่งต่อวัฒนธรรมอันแสนเจ็บปวดสู่สังคมยุคปัจจุบันได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะนัยสำคัญในการวางโครงสร้างแบบวงกลมให้กับเรื่องราวครับ
ในฉากเปิดเรื่องของภาพยนตร์นั้น ผู้ชมได้พบกับโศกนาฏกรรมอันโหดร้ายในวัยเด็กของเบทริค ซึ่งเธอหลบอยู่ในห้องใต้ถุนของบ้านอย่างหวาดกลัว ขณะที่คุณย่าของเธอถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม จนกระทั่งเมื่อเวลาครบรอบ 30 ปี เหตุการณ์สยองขวัญก็วนกลับมาสู่ครอบครัวของเธออีกครั้ง และเบทริคก็เลือกที่จะพา ฮันนา ลูกสาวคนเดียวของเธอไปหลบในห้องใต้ถุนของบ้านเช่นกัน ราวกับมันเป็นสิ่งที่ถูกส่งต่อกันแบบรุ่นสู่รุ่นครับ
ในมุมหนึ่งภาพยนตร์อาจกำลังบอกเล่าประเด็นของวัฒนธรรมและความเชื่ออันบิดเบี้ยว ที่ยังคงถูกส่งต่อมาถึงยุคปัจจุบันในรูปแบบของพิธีกรรมอันชวนสยองของเรื่องราวครับ โดยเฉพาะกับตอนจบของภาพยนตร์ ซึ่งสามารถสะท้อนถึงความเจ็บปวดของเพศหญิง ที่ต้องก้มหน้ารับชะตากรรมที่เกิดขึ้นในสังคมอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ขณะที่สังคมในยุคปัจจุบันนั้นถูกขับเคลื่อนด้วยสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมของมนุษย์ บางวัฒนธรรมและความเชื่อกลับยังฝังรากลึกในสังคม โดยไม่ได้รับการแตะต้องหรือเปลี่ยนแปลง เพียงเพราะว่ามันเติบโตและดำรงอยู่มาอย่างยาวนาน ทั้งที่บางความเชื่อและวัฒนธรรมนั้นมีอยู่เพียงเพื่อลดทอนคุณค่าของความเป็นมนุษย์ และสร้างความไม่เท่าเทียมให้เกิดขึ้นในสังคมเท่านั้น ความเชื่อเหล่านั้นอาจจะดำรงอยู่ได้ เพียงเพราะมีผู้ที่ได้รับประโยชน์และจงใจส่งต่อมันจากรุ่นสู่รุ่นก็เป็นได้ ฝากไว้ให้คิดกันนะครับ
#Moloch #อย่าขุดมันขึ้นมา #Filmment
โฆษณา