Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
สุธีร์@อ่านเอาเพลิน
•
ติดตาม
12 ต.ค. 2022 เวลา 13:41 • นิยาย เรื่องสั้น
ท่องไปในโลกนิยาย"Death in Delft" (27)
ผู้แต่ง เกรแฮม แบรค
มันช่างแตกต่างกันเสียเหลือเกินระหว่างคนอย่าง'เลฟท์ทิงฮ์'กับคนอย่าง'แรนค์'
'เลฟทิงฮ์' เป็นคนสนุกสนานเฮฮา ชอบซุบซิบนินทา แต่'แรนค์' กลับตรงกันข้าม เขาดูเป็นคนจืดชืดแต่มีความคิดลุ่มลึก เก็บอารมณ์ได้ จะพูดจาแต่ละประโยคต้องคิดมาอย่างดีถึงจะพูดสมกับมีอาชีพทนายความ บางประโยคเขาพูดทิ้งช่วงยาวเสียจน'เมอร์คิวเรียส'ลืมคำพูดตอนแรกไปแล้ว
'แรนค์'ได้รับการยอมรับจากผู้คนว่ามีความอดทนในการสู้คดี เขาเป็นคนที่ชอบลงในรายละเอียด 'เมอร์คิวเรียส'เห็นตู้เอกสารของ'แรนค์' มีแฟ้มคดีต่างๆถูกจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยทีเดียว
ตลอดเวลาที่'เมอร์คิวเรียส'คุยไปรับประทานอาหารไปเขารู้สึกว่าเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าน่าอึดอัดเสียจนเขานึกไม่ออกว่าจะผ่านเวลาช่วงนี้ไปได้อย่างไร
เมื่อทั้งสองรับประทานอาหารเสร็จ 'เมอร์คิวเรียส'สังเกตเห็น'แรนค์'ดูมีอารมณ์ดีดูเป็นกันเองมากขึ้น 'แรงค์'ได้คุยอวดผลงานการว่าความชนะคดีต่างๆให้'เมอร์คิวเรียส'ฟัง 'เมอร์คิวเรียส'ฉวยจังหวะนี้ลองถามคำถามโง่ๆดูว่าเขารู้รายละเอียดของบรรพบุรุษของตระกูล'แวน เสตเตน'หรือเปล่า ปรากฏว่าโชคเข้าข้าง'เมอร์คิวเรียส' 'แรนค์' หยิบแฟ้มจากตู้เอกสารมาสองแฟ้ม และต่อไปนี้คือข้อมูลที่'แรนค์'เล่าให้'เมอร์คิวเรียส'ฟัง
"แวน เสตเตน เป็นลูกชายของ'บาลธาซาร์ แวน เสตเตน' ส่วนพ่อของ'บาลธาซาร์' มีชื่อว่า 'วิลเฮลมัส' ความมั่งคั่งของตระกูลนี้มีมากเท่าใดนั้นผมไม่อาจเปิดเผยได้ บอกได้เพียงว่าธุรกิจตระกูลนี้ยิ่งใหญ่จากการค้าขายทางทะเลกับอเมริกา และขยายไปที่อีสอินดีส์ในเวลาต่อมา
'บาลธาซาร์'มีความฉลาดในธุรกิจชนิดหาตัวจับยาก เขาสามารถขยายธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว แทนที่เขาจะซื้อเรือใหม่ทั้งลำเองเขากลับใช้วิธีร่วมถือหุ้นตามสัดส่วน เมื่อหุ้นส่วนคนใดเกิดร้อนเงินขึ้นมาเขาก็จะเสนอซื้อหุ้นจากหุ้นส่วนในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
มรดกของ'บาลธาซาร์'ตกทอดมาถึงแวน เสตเตนด้วยมูลค่ามหาศาล ยิ่งกว่านั้นการแต่งงานของ'แวน เสตเตน'กับภรรยาก็เป็นรูปแบบหนึ่งของสัญญาแต่งงาน โดยมีการระบุจำนวนทรัพย์สินส่วนตัวของคุณนายแวน เสตเตนไว้อย่างชัดเจน"
เมอร์คิวเรียสถามแรนค์ว่า
"ผมเข้าใจถูกใช่ไหมว่าคุณนายเสตเตนเป็นลูกเพียงคนเดียวของพ่อแม่เธอ?"
"ถ้าจะกล่าวให้ถูก ต้องบอกว่าคุณนายเสตเตน เป็นลูกเพียงคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ถึงจะถูก เพราะพี่ชายและน้องสาวของเธอต่างเสียชีวิตหมดก่อนเธอแต่งงาน ลองคิดดูว่ามีเธอเพียงคนเดียวที่ได้รับมรดกของครอบครัวเธอ และมรดกนี้ถือเป็นสินส่วนตัวของเธอ"
เมอร์คิวเรียสพูดเสริมว่า
"การที่คุณนายเสตเตนเคยมีประสบการณ์เลวร้ายมาก่อนและต้องมาเจอกับเหตุการณ์ที่แอนนาซึ่งเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของเธอหายตัวไปจึงยิ่งสร้างความเจ็บปวดทางใจให้เธออย่างมาก"
"แต่ผมสงสัยว่าถ้าพวกเขามีลูกสักสิบคนแล้วลูกหายตัวไปเพียงคนเดียว พวกเขาจะทุกข์น้อยลงหรือเปล่า" แรนค์พูดประชดประชัน
เมอร์คิสเรียสคิดไม่ถึงว่าแรนค์จะคิดไปถึงขนาดนี้ จึงตอบแต่เพียงว่า
"มันก็อาจเป็นได้"
ทั้งสองหยุดพูดชั่วครู่แล้วเปลี่ยนไปหยิบแก้วไวน์มาดื่มแก้กระหายแทน
เมอร์คิวเรียสประเมินแรงค์ผิดไป ดูเหมือนเขายังไม่เบื่อที่จะคุยกับเมอร์คิวเรียสเลยแถมยังมีทีท่าว่าจะคุยต่อไปได้ทั้งคืน
เมอร์คิวเรียสชวนแรนค์คุยต่อ
"ผมกะว่าจะไปดูจุดที่พบศพเกอร์ทรูย์ดอีกครั้งพรุ่งนี้เช้า คุณเฟอร์เมร์เคยพาผมไปตรวจดูครั้งแรกเมื่อวานตอนเย็นแต่ตอนนั้นมันมืดเกินไป"
"ตรงแถวอาคารกังหันลมสองหลังสินะ"
"ผมรู้สึกว่ามันดูแปลกที่สร้างอาคารกังหันลมไว้ใกล้กันมาก"
แรนค์หยุดคิดพักหนึ่งก่อนที่จะพูด
"อันที่จริงมีอยู่หลังหนึ่งถูกสร้างมาก่อนอีกหลังหนึ่งหลายปีแล้ว จนตอนหลังถึงมีการสร้างอาคารกังหันลมเพิ่มรอบแนวกำแพงเมือง สักวันหนึ่งมันคงจะผุพังจนทะลายลงมาแน่นอน" แรนค์พูดจบก็เอาลิ้นมาเลียริมฝีปากราวกับว่าเขากำลังคาดหวังว่าจะได้รับเงินชดเชยจากการพังของอาคารกังหันลม
"คุณเฟอร์เมร์ได้มีส่วนช่วยเหลือผมอย่างมากเลยครับ"
"ผมรู้สึกดีใจที่ได้ยินอย่างนี้ ผมรู้จักเขามานานแล้วครับ"
"โอ้! เยี่ยมเลย"
เมอร์คิวเรียสอุทานพร้อมรอยยิ้ม แต่ดูเหมือนว่าแรนค์ไม่ได้แค่รู้จักเฟอร์เมร์เท่านั้น แต่มันมีอะไรมากกว่านั้น เขาพูดขึ้นมาว่า
"ผมมีส่วนช่วยให้เฟอร์เมร์ได้แต่งงานกับคนรักของเขา"
"จริงๆหรือครับ? ช่วยอธิบายให้ผมเข้าใจอีกหน่อยได้ไหมครับ?"
แรนค์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าจะเล่ารายละเอียดต่อหรือจะจบเพียงเท่านี้ดี ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเล่าต่อ
"ผมเริ่มเป็นทนายในปี 1652 พอเดือนเมษายน 1653 ผมพร้อมกันกับเลียวนาร์ท บราเมอร์และกับตันบาร์โธโลเมียส เมลลิงได้ไปพบกับมาเรีย ธินส์ ว่าที่แม่ยายของเฟอร์เมร์ ครอบครัวของเธอต่างปฏิบัติตัวเคร่งครัดในคาทอลิก เธอต่อต้านการแต่งงานระหว่างลูกสาวกับเฟอร์เมร์เพราะเขานับถือโปรเตสแตนต์
บราเมอร์ที่มากับผมเขาเป็นจิตรกรและมีชื่อเสียงพอควร อีกอย่าง..เขาเป็นคาทอลิก หน้าที่ผมในวันนั้นคือเอาหนังสือยินยอมให้ลูกสาวแต่งงานกับเฟอร์เมร์เพื่อให้มาเรีย ธินส์ ลงนาม เธออ่านมันอย่างละเอียดแต่แล้วเธอเกิดเปลี่ยนใจไม่ยอมลงนาม ลูกสาวเธอจึงได้ร้องไห้อ้อนวอนแม่ของเธออย่างสุดกำลัง
บราเมอร์กล่าวกับคุณนายธินส์ว่า
"เฟอร์เมร์ได้ฝากผมบอกคุณนายว่าเขายินยอมเปลี่ยนมานับถือคาทอลิกถ้าหากคุณนายยอมให้เขาแต่งงานกับลูกสาว"
มาเรีย ธินส์ เงียบไปพักใหญ่ก่อนจะพูดว่า
"ฉันไม่อยากทำให้ลูกสาวฉันต้องเศร้าใจไปมากกว่านี้ ดังนั้นเมื่อใดที่เฟอร์เมร์ได้เปลี่ยนมานับถือคาทอลิกแล้วฉันถึงจะยอมลงนามให้ทั้งสองแต่งงานกัน"
"นับตั้งแต่ทั้งสองแต่งงานกันจนมีลูกหลายคน ผมก็ยังเห็นทั้งสองรักกันเอาใจ่ใส่ซึ่งกันและกัน แม้ว่าผลจากการที่เฟอร์เมร์นับถือคาทอลิกจะทำให้เขาต้องมีอุปสรรคในการใช้ชีวิตก็ตาม"
"คุณแรนค์ครับ แต่ผมก็รู้มาว่าเฟอร์เมร์ได้เข้าร่วมงานกับท่านนายกเทศมนตรีนี่ครับ"
"ก็ไม่เชิงหรอกครับ เป็นเพราะท่านนายกเทศมนตรีได้แต่งตั้งอีกคณะหนึ่งแยกมาต่างหากซึ่งสมาชิกต่างไม่ได้เป็นโปรเตสแตนต์"
"หมายความว่าคุณแวน รุจเวน ก็เป็นคาทอลิกด้วยหรือครับ?"
"แย่กว่านั้นอีกครับ รุจเวนเขานับถือลัทธิเรมอนสแตรนท์ครับ"
เมอร์คิวเรียสฟังน้ำเสียงของแรนค์บ่งบอกถึงความไม่พอใจในตัวแวน รุจเวน จึงคิดว่าควรเปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่า
ปัจจุบันยังมีกลุ่มนับถือเรมอนสแตรนท์หลงเหลืออยู่ ซึ่งในอดีตกลุ่มนี้มีการเติบโตอย่างมาก ผู้นำลัทธินี้มีชื่อว่าอาร์มิเนียส ลัทธินี้แยกตัวมาจากโปรเตสแตนต์ โดยที่โปรเตสแตนต์เชื่อว่าพระเจ้าได้กำหนดชะตากรรมของมนุษย์แต่ละคนไว้แล้วว่าใครจะได้ขึ้นสวรรค์ ใครจะต้องลงนรก มนุษย์ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมได้
แต่ลัทธิเรมอนสแตรนท์เชื่อว่าพระเจ้าปกป้องมนุษย์ทุกคน จะไม่มีการกำหนดชะตากรรมไว้ล่วงหน้า แม้มนุษย์คนใดที่ทำสิ่งไม่ดีเขาก็ยังได้รับการคุ้มครองจากพระเจ้า แต่เขาก็อาจพลาดจากสิ่งดีงามไป และด้วยความใจดีของพระเจ้า พระองค์ได้ให้ความคุ้มครองมนุษย์โดยทั่วกันแม้แต่ผู้ที่ไม่สมควรได้รับการไถ่บาปก็ยังได้รับการคุ้มครองจากพระองค์ แรนค์บอกว่าเขายังไม่เข้าใจลัทธินี้เท่าใด แต่แวน รุจเวน เขาเข้าใจดี ตัวแรนค์เองเห็นว่ามันเป็นความเชื่อที่ชักนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ไม่ดีและจะเกิดความวุ่นวายได้
เมอร์คิวเรียสไม่อยากคุยกับแรนค์ในเรื่องความเชื่อทางศาสนาจึงได้พยายามเปลี่ยนเรื่องคุย
"ไม่ทราบว่าคุณเลียวนาร์ท บราเมอยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่าครับ?"
"เขายังมีชีวิตอยู่ เขาอาศัยแถวคอร์นมาร์ท ถ้าคุณหันหน้าเข้าหาอาคารอาร์มาเมนทาเรียมจากทางทิศใต้ บ้านเขาจะอยู่บนถนนทางขวามือทางที่จะไปตลาด"
"คุณบราเมอร์อยู่ในคณะที่ปรึกษาด้วยหรือเปล่าครับ?"
"เขาอาจได้เป็นถ้าไม่ติดตรงอายุ ตอนนี้เขามีอายุถึงเจ็ดสิบปีแล้ว แต่ก็ยังมีสมองที่ดี สามารถวิเคราะห์เรื่องราวต่างๆได้ลึกซึ้ง"
"ผมคงมีโอกาสได้คุยกับคุณบราเมอร์ก่อนที่จะกลับไลเดน"
เมอร์คิวเรียสได้กล่าวขอบคุณแรนค์สำหรับอาหารเย็นและข้อมูลต่างๆ
ก่อนนอนเมอร์คิวเรียสได้ครุ่นคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆที่ได้คุยกับแรนค์ และคิดถึงแม่ของเด็กสาวสามคนกำลังจมอยู่กับความทุกข์และต่างรอคอยความช่วยเหลือจากเขา จากนั้นเขาได้สวดมนต์ภาษาลาตินชื่อ 'สตาแบท มาเตอร์' เพื่อสรรเสริญพระแม่มารีก่อนที่จะดับเทียนแล้วนอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย
- - - - - - - - - - - - - - -
โปรดติดตามอ่านในครั้งต่อไป
ท่านสามารถให้กำลังใจเพจ
ด้วยการกดติดตามครับ
ขอขอบคุณทุกท่าน
สุธีร์@อ่านเอาเพลิน
Map of Indian Ocean, Australia, and Netherlands East Indies Source: Naval History and Heritage Command
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
เรื่องเล่า ไขคดีปริศนาเมืองเดลฟท์( Death in Delft) ผลงานเกรแฮม แบรก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย