17 ต.ค. 2022 เวลา 15:45 • ปรัชญา
แวะพักนักอ่าน
สวัสดีทุกท่านที่หลงเข้ามาอ่านเพื่อต้องการพัฒนาตนเองทุกท่านนะครับ สำหรับ EP นี้ผมต้องการจะสรุปหนังสือให้พวกเราได้ทำความเข้าใจเพื่อจะได้ประหยัดเวลาและเสริมเรื่องการนำไปใช้ในชีวิตจริงของพวกเราทุกท่าน จะได้ไม่ต้องเสียเวลาอ่านตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ ผมได้สรุปเนื้อหาดีๆ ไว้ให้แล้วครับ
วันนี้หนังสือที่อยากนำเสนอให้พวกเราคือหนังสือชื่อ กลยุทธ์ล้มยักษ์ (David and Goliath) โดยผู้เขียนมัลคอม แกลดเวล์ (Malcolm Gladwell) ซึ่งจัดได้ว่าเป็นทั้งนักวิจัย และนักปรัชญา ผู้นำทางความคิดยุคใหม่ชาวอเมริกันท่านนึงกันเลยทีเดียวครับ สิ่งที่คุณมัลคอม เขียนโดยส่วนใหญ่จะมาจากการวิจัย และได้ลงพื้นที่ไปมีโอกาสพูดคุยกับกลุ่มตัวอย่างก่อนออกมาเป็นหนังสือ ดังนั้นจึงพอจะบอกได้ว่าทุกอย่างที่แกเขียนจะเป็นประสบการณ์ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
ก่อนอื่นต้องบอกว่าที่มาของชื่อหนังสือกลยุทธ์ล้มยักษ์นี้ได้ที่มาตามชื่อของกษัตริย์เดวิด แห่งอิสราเอล ผู้ที่ตามประวัติศาสตร์ชาวอิสราเอล ได้บันทึกเอาไว้ว่าท่านได้ฆ่านักรบชื่อโกลิอัท ผู้ที่ได้เข้ามาท้าทายและหมิ่นประมาทพระเจ้าของชาวอิสราเอล ซ้ำยังตัวใหญ่กว่าถึงกษัตริย์เดวิดเกือบ 2 เท่า !! และตั้งแต่นั้นมา คำว่าดาวิด และโกลิอัท ก็เป็นคำเปรียบเปรยใครที่เข้าใจกันในเรื่องของการล้มยักษ์มาโดยตลอด
สำหรับใครที่คิดว่าหนังสือเล่มนี้จะพูดถึงเรื่องยุทธศาสตร์หรือกลยุทธ์ทางธุรกิจต้องขอบอกว่าไม่ใช่เลยครับ (ซึ่งผู้อ่านก็เผลอไปอ่านก็เพราะเหตุนี้นั่นแหละ แต่ก็เอาวะอ่านจนจบเล่ม) แต่กลับกลายเป็นเรื่องราวของความหลากหลายของชีวิตคนที่ต้องเจอกับสิ่งต่างๆ ที่คนเหล่านั้นนำมาใช้เพื่อการเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ที่อยู่ตรงหน้าได้มากกว่า เป็นอย่างไรนั้นลองอ่านกันดูครับ
เรื่องราวของคนที่เป็นโรคดิสเล็คเซีย ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้การอ่านมีปัญหาและไม่สามารถอ่านได้อย่างเข้าใจง่ายๆ เหมือนคนทั่วๆ ไป จึงทำให้การเรียนหนังสือยากกว่าปรกติ แต่เชื่อไหมครับว่ามันเป็นโรคของคนดารา มหาเศรษฐี นักกฎหมายชื่อดัง รวมถึงคนสายอาชีพที่เก่งและรวยมากๆ อีกหลายท่าน
คุณมัลคอม กล่าวในหนังสือว่า โรคเหล่านี้เป็นโรคที่ทำให้คุณต้องตั้งใจในการอ่านเรียนเขียนหนังสืออย่างจริงจังมากขึ้น !! แปลว่าคุณต้องโฟกัสมากขึ้นกว่าคนทั่วไปในการเรียนหนังสือนั่นเอง !! และนั่นเป็นพลังที่ทำให้คนเหล่านั้นที่เป็นโรคนี้ต้องฝ่าฟันไปให้ได้ และความมุ่งมั่นหรือความต้องการที่จะฝ่าฟันไปให้ได้นั้นเองที่กลายมาเป็นพลังเดียวกันในการเอาชนะอุปสรรคอื่นๆ ที่ตามมา
เรื่องราวของผู้ที่ต้องผ่านความโหดร้ายในชีวิตเช่นการหนีจากสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ก็เช่นเดียวกัน ได้หล่อหลอมบุคลิกที่ต้องเจอกับความยากในระดับชีวิตมาแล้ว ดังนั้นเอง การผ่านกับเรื่องยากๆ เช่นการเผชิญแรงกดดันทางธุรกิจ หรือสายอาชีพที่ต้องมีการแข่งขันนั้นเทียบกันได้แล้วเป็นเรื่องง่ายสำหรับคนเหล่านี้เลยทีเดียว พวกเขาที่ผ่านการหนีเอาชีวิตรอดจากสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ต้องเห็นเพื่อนบ้านถูกฆ่า หรือคนในครอบครัวถูกนำไปประหารนั้น ไม่มีอะไรในชีวิตยากสำหรับคนเหล่านี้อีกแล้ว
เมื่อเขารอดมาได้ ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขัน หรือการแบกรับความเสี่ยงทางธุรกิจ ดังนั้นคนเหล่านี้จึงพร้อมแบกรับความเสี่ยงทางธุรกิจโดยมองเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดามากๆ !!
เรื่องราวของผู้ที่ถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง และต้องโตมาให้ได้ด้วยตนเอง พร้อมกับความรับผิดชอบในการดูแลพี่น้องคนอื่นๆ ในครอบครัวไปด้วย ก็จะมองว่าอะไรก็ตามไม่ได้ยากเกินไปอีกแล้ว เพราะพวกเขาก้าวข้ามเกินแค่คำว่า ‘ทำให้ได้’ หรือ ‘ดูแลตัวเองได้ก็พอแล้ว’มาไกลมากแล้ว เขากำลังรับผิดชอบคนอื่นมาตั้งแต่เล็กๆ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่คนเหล่านี้จะต้องทำสำเร็จให้ได้แน่ๆ (Mission Complete) เสมอๆ มาตั้งแต่ไหนแต่ไรก็ตามที
สรุปสำหรับหนังสือเล่มนี้ก็คือ ใครก็ตามที่ผ่านอุปสรรคหรือความยากในชีวิต ที่หลายคนกลับบอกว่าเป็นจุดอ่อน หรือขาดโอกาส มีไม่เท่าคนอื่น คุณจะบอกกับตัวเองว่าซวยจริงๆ สิ่งนี้ไม่น่าเกิดกับฉันเลยแล้วล่ะก็ ลองคิดใหม่อีกครั้ง คุณสามารถเปลี่ยนเหตุการณ์เหล่านี้เป็นพลังและใช้มันแปรเปลี่ยนให้เกิดมุมมองทัศนคติใหม่ที่ว่า ‘หนักกว่านี้ฉันก็เคยเจอมาแล้ว’ และสามารถไปถึงเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ครับ
ขอให้ผู้อ่านทุกท่านมีกำลังใจ ทุกครั้งที่เราเจอสิ่งที่ยาก อย่าภาวนาให้มันไม่เกิดขึ้น แต่ขอให้เราผ่านมันไปให้ได้ และนำสิ่งเหล่านี้มาแปรเปลี่ยนเป็นคนที่เก่งขึ้นอีกให้ได้ (another better version of you)
วิกฤติ! จงเปลี่ยนมันให้เป็นโอกาส !
โฆษณา