30 ต.ค. 2022 เวลา 02:19 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
รีวิว : Triangle of Sadness - มันยอร์ชมาก
Filmment Rating : 7.4
#เนื้อเรื่องย่อ
เรื่องราวของคู่รักนักเดินแบบอย่างคาร์ลและญาญ่า ได้เข้าร่วมทริปสุดหรูบนเรือยอร์ชมูลค่า 250 ล้านดอลลาร์ โดยพวกเขาไม่รู้เลยว่าการเดินทางครั้งนี้จะเต็มไปด้วยเหตุการณ์สุดวายป่วง และท้าทายต่อฐานะทางสังคมของพวกเขา
#ความเห็น
แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นภาพยนตร์รางวัลปาล์มทองจากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ แต่ภาพยนตร์เรื่อง Triangle of Sadness - มันยอร์ชมาก ก็ไม่ใช่ภาพยนตร์ที่รับชมได้ยากตามขนบของภาพยนตร์แนวรางวัลที่เราคุ้นเคยนะครับ กล่าวคือภาพยนตร์เลือกจะนำเสนอตัวเองออกมาให้รับชมได้ง่าย มีมุกตลกเสียดสีสอดแทรกอยู่เป็นระยะ และบอกเล่าเรื่องราวในชั้นบนสุดอย่าง การกระทำของตัวละครนั้นเกิดขึ้นที่ไหน อย่างไร และมีเหตุมาจากอะไรได้อย่างครบถ้วน แต่ด้วยรสชาติอันเฉพาะตัวของภาพยนตร์นั้นทำให้มันอาจจะไม่ได้ถูกปากกับทุกคนครับ
ความเจ็บแสบของ Triangle of Sadness ก็คือภาพยนตร์เลือกจะพาผู้ชมเดินทางเข้าสู่สังคมของชนชั้นสูง ผ่านตัวละครที่อยู่ในฐานะเดียวกับกลุ่มผู้ชมที่ใหญ่ที่สุดซึ่งก็คือชนชั้นกลางครับ ไม่ว่าจะเป็น คาร์ล นายแบบหน้าใหม่ของวงการที่ยังไม่ได้แจ้งเกิดอย่างเต็มตัวมากนัก หรือ ญาญ่า นางแบบสาวที่โด่งดังบนโลกออนไลน์และได้รับโอกาสขึ้นมารีวิวทริปสุดหรูโดยที่เธอไม่ต้องเสียเงินเลยแม้แต่แดงเดียว
ขณะที่ตัวละครอื่นๆ นั้นล้วนมีความร่ำรวยในแบบของตัวเองทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น กัปตันเรือขี้เมาที่ร่ำรวยอำนาจ และสามารถหันหัวเรือไปทางไหนก็ได้ที่เขาต้องการ หรือกลุ่มผู้โดยสารที่ร่ำรวยจากหลากหลายบริบทของสังคม บ้างรวยจากการค้าอาวุธสงคราม บ้างรวยจากการทำธุรกิจผูกขาด ซึ่งความแตกต่างหลากหลายของพวกเขาเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ Triangle of Sadness เต็มไปด้วยสีสันที่ผู้ชมไม่อาจวางตาได้ครับ
Triangle of Sadness แบ่งตัวเองออกเป็น 3 พาร์ทอย่างชัดเจนครับ ซึ่งแต่ละพาร์ทก็มีการเล่าเรื่องของตัวเองได้อย่างครบองก์โดยสมบูรณ์ โดยพาร์ทแรกของภาพยนตร์นั้นโฟกัสที่เรื่องราวระดับปัจเจกบุคคล ขณะที่พาร์ทที่สองคือการขับเคลื่อนครั้งสำคัญของเรื่องราว เมื่อตัวละครทุกคนก้าวเท้าขึ้นสู่เรือลำเดียวกัน และเริ่มโฟกัสประเด็นต่างๆ ในระดับที่กว้างขึ้นกว่าเดิม
ก่อนที่ในพาร์ทที่สามอันเป็นพาร์ทที่สนุกที่สุดของเรื่อง ภาพยนตร์ก็ฉีกตัวเองออกจากกรอบด้วยแนวความคิดอันแสนลึกล้ำ ด้วยการโยนเหล่าตัวละครทุกคนเข้าสู่สถานการณ์อันคับขัน ซึ่งความร่ำรวยของเขาไม่อาจแก้ปัญหาต่างๆ ได้อีกต่อไป นำมาซึ่งการสำรวจประเด็นเรื่องชนชั้นและความเท่าเทียมในหลากหลายมิติ ทั้งความเท่าเทียมในเชิงอำนาจและการปกครอง, ความเท่าเทียมทางเพศ, ความเหลื่อมล้ำด้านฐานะ และการตั้งคำถามสำคัญครับว่า มนุษย์นั้นมีความเท่าเทียมกันจริงหรือไม่
สิ่งที่เกิดขึ้นในพาร์ทสุดท้ายนั้นถูกวิวัฒนาการได้อย่างชาญฉลาดครับ เมื่อภาพยนตร์ไม่เพียงแค่เขย่าฐานะทางสังคมของทุกตัวละครเท่านั้น แต่เมื่อสภาพแวดล้อมที่พวกเขาคุ้นเคยเปลี่ยนไป เนื้อแท้ของความเป็นมนุษย์ก็แทรกตัวเองออกมาจากเสื้อผ้าแบรนด์เนมสุดหรูของพวกเขา ทุกตัวละครพร้อมทำทุกอย่างเพียงเพื่ออาหารสักมื้อ และที่ซุกหัวนอนเพื่อให้พ้นไปแต่ละคืน
นอกจากนี้ภาพยนตร์ยังเลือกที่โยนความสัมพันธ์อันแสนพิลึกพิลั่นให้กับตัวละคร พร้อมกับสำรวจสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์มากๆ ซึ่งสิ่งที่ภาพยนตร์มอบให้กับผู้ชมในองก์สุดท้ายของเรื่อง ก็สามารถสะท้อนด้านมืดของมนุษย์ออกมาได้อย่างตลกขบขัน และชวนให้สะเทือนใจไปในเวลาเดียวกันครับ
แต่ถึงกระนั้นผมคงต้องย้ำกับผู้อ่านอีกท่านนะครับว่า Triangle of Sadness ไม่ใช่ภาพยนตร์ที่เหมาะสำหรับทุกคนนะครับ เพราะภาพยนตร์ไม่ได้เล่าเรื่องตามขนบที่คุ้นเคย เหล่าตัวละครไม่ได้มีเป้าประสงค์ในการกระทำอะไรบางอย่างอย่างชัดเจน รวมถึงภาพยนตร์เดินหน้าด้วยจังหวะที่เนิบช้า
แม้ว่าจะมีมุกตลกคอยเสียดสีผู้ชมอยู่เป็นระยะ แต่มันก็ไม่ใช่มุกตลกที่ผู้ชมส่วนใหญ่จะเข้าถึงหรือหัวเราะไปกับมันได้มากนักครับ ดังนั้นหากทุกท่านกำลังมองหาภาพยนตร์สักเรื่องที่ทำการวิพากษ์สังคมอย่างถึงพริกถึงขิง พร้อมกับทิ้งประเด็นต่างๆ ให้ขบคิดหลังจากภาพยนตร์จบลงนั้น Triangle of Sadness คือคำตอบที่ยอดเยี่ยมครับ
#ประเด็นตกผลึก
ประเด็นตกผลึกในวันนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์นะครับ ขอแนะนำให้ทุกท่านตีตั๋วไปรับชม Triangle of Sadness แบบเต็มอรรถรสเสียก่อน แล้วค่อยกลับมาอ่านบทความนี้อีกครั้งครับ และประเด็นตกผลึกจากภาพยนตร์เรื่อง Triangle of Sadness ที่ผมจะชวนผู้อ่านทุกท่านมาคุยกันในวันนี้ก็คือ
ระบบชนชั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีวันหายไป หากแต่เปลี่ยนรูปร่างตามสภาพสังคมเท่านั้น
สิ่งที่โดดเด่นของ Triangle of Sadness ก็คือ การสำรวจเรื่องราวของชนชั้นและความเท่าเทียมในหลากหลายระดับครับ ในองก์แรกของภาพยนตร์นั้นมุ่งเน้นการสำรวจประเด็นดังกล่าวในระดับบุคคล ด้วยการบอกเล่าสถานการณ์อันแสนเรียบง่ายของคาร์ลและญาญ่า คู่รักที่ทะเลาะกันอย่างรุนแรงว่าใครควรจะเป็นคนจ่ายค่ามื้ออาหารค่ำ
โดยคาร์ลนั้นอยากให้เขาและญาญ่าเท่าเทียมกันในฐานะมนุษย์ และไม่ต้องการให้พวกเขาทำอะไรตามมายาคติภายใต้กรอบของเพศสภาพ ซึ่งในกรณีนี้ก็คือการที่ผู้ชายมักจะต้องจ่ายค่ามื้ออาหารแสนแพงให้กับคนรักเสมอ แต่ความเท่าเทียมที่คาร์ลมองหานั้นมันผูกติดอยู่กับความเป็นมนุษย์ ซึ่งเต็มไปด้วยความยืดหยุ่นและหลากหลาย อีกทั้งเมื่อหยิบเอาความเท่าเทียมมาครอบอยู่เหนือความสัมพันธ์แล้ว มันยิ่งไม่สามารถวัดค่าทุกอย่างให้สมมาตรได้อย่างแท้จริงครับ
ขณะที่ในองก์ที่สองนั้นเป็นการสำรวจถึงความเท่าเทียมในภาพที่ใหญ่ขึ้น ด้วยการพาทุกตัวละครเดินทางขึ้นสู่เรือยอร์ชสุดหรู ซึ่งเป็นสัญญะที่ถูกเลือกใช้แทนสภาพสังคมได้อย่างชาญฉลาดครับ เนื่องจากเรือยอร์ชลำนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ผู้โดยสารอันร่ำรวยบนดาดฟ้าเรือเท่านั้น หากแต่เรือลำนี้ยังเต็มไปด้วยลูกเรือที่อยู่ในห้องเครื่อง, พนักงานบริการที่อยู่ทั่วทุกแห่งบนเรือ, รวมถึงกัปตันเรือผู้มีอำนาจสูงสุดในการกำหนดทิศทางของเรือลำนี้ครับ
โมเมนต์ที่เจ็บแสบของภาพยนตร์ก็คือ กลุ่มผู้โดยสารผู้ร่ำรวยของเรื่องล้วนต้องการมาเสวยสุขโดยไม่ต้องมีห่วงใดๆ ทั้งสิ้น ขณะที่เหล่าชนชั้นกลางและชนชั้นล่างของเรือลำนี้ กลับถูกชนชั้นสูงบังคับให้มีความสุขเพียงเพื่อสนองคุณธรรมภายในใจของตัวเอง ด้วยการสั่งให้ลูกเรือทุกคนหยุดทำงานพร้อมกระโดดลงเล่นน้ำเพื่อผ่อนคลายจากวันที่เหนื่อยล้า โดยที่เหล่าชนชั้นสูงก็เลือกใช้วาทกรรมอันสวยหรู อันว่าด้วยการกอบโกยความสุขตรงหน้าให้มากที่สุด
แต่เหล่าชนชั้นสูงลืมข้อเท็จจริงไปครับว่า พวกเขาสามารถมีความสุขได้ในทุกวินาที เนื่องจากพวกเขาไม่มีภาระที่ผูกติดหลังเหมือนกับเหล่าชนชั้นกลางและชนชั้นล่าง ทันทีที่เหล่าลูกเรือกระโดดลงเล่นน้ำทะเล นั่นเท่ากับพวกเขาเพิ่มเวลาการทำงานของตัวเองให้ยาวนานขึ้น เพราะหลังจากนั้นพวกเขาต้องรีบกุลีกุจอขึ้นจากน้ำ เพื่อเตรียมมื้อค่ำสุดหรูให้กับเหล่าชนชั้นสูงได้เสวยสุขต่อไปครับ
และในองก์ที่สามของเรื่องนั้นเป็นการสำรวจถึงแก่นของความเท่าเทียมด้วยการตั้งคำถามเชิงปรัชญาครับว่า ความเท่าเทียมอันแสนบริสุทธิ์นั้นมันมีจริงหรือไม่ ภาพยนตร์เลือกโยนเหล่าตัวละครหลากหลายชนชั้นเข้าสู่สถานการณ์ที่เม็ดเงินไม่สามารถนับเป็นความรวยได้อีกต่อไป
เนื่องจากเรือของพวกเขาถูกโจรสลัดปล้น จนทุกคนต้องหนีเอาชีวิตรอดและลอยเข้าฝั่งที่เกาะลึกลับแห่งหนึ่ง ในเกาะแห่งนี้ไม่มีเรือยอร์ช ไม่มีเจ้านายกับลูกน้อง ไม่มีคนจนกับคนรวย ทุกชนชั้นที่เคยยึดถือจึงถูกละลายหายไปจนหมดสิ้น และนับเป็นการตั้งอารยธรรมใหม่ด้วยความเท่าเทียมอย่างแท้จริง
ภาพยนตร์หยิบเอาแนวความคิดจากองก์แรกมาใช้อีกครั้งครับ เพราะความเท่าเทียมนั้นผูกติดอยู่กับความเป็นมนุษย์ ซึ่งเต็มไปด้วยความหลากหลายและความเห็นแก่ตัว ระบบชนชั้นจึงเป็นสิ่งที่ไม่มีวันหายไปครับ แต่มันจะเปลี่ยนรูปร่างไปตามสภาพสังคมเท่านั้น
ในทันทีที่พวกเขาทุกคนมาถึงเกาะแห่งนี้ มนุษย์ก็เริ่มจัดระเบียบการปกครองตัวเองในทันทีครับ กัปตันถูกเปลี่ยนจากผู้ที่ขับเรือเก่งที่สุด เป็นคนที่สามารถหาอาหารและก่อกองไฟได้เชี่ยวชาญที่สุด ซึ่งทันทีที่มนุษย์ได้สัมผัสกับอำนาจแล้วก็ย่อมหวงแหนชนชั้นของตัวเอง และทำทุกอย่างเพื่อสืบทอดอำนาจให้อยู่กับกับตัวให้นานที่สุดนั่นเองครับ
มนุษย์ทุกคนไร้ความสมบูรณ์แบบฉันใด โลกในอุดมคติก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้จริงฉันนั้นครับ แน่นอนครับว่าความเท่าเทียมนั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนควรจะได้รับ และมันก็คุ้มค่าเหลือเกินในการต่อสู้เพื่อให้มันเกิดขึ้นครับ
แต่คำถามที่ภาพยนตร์หยิบยื่นให้กับผู้ชมหลังจากรับชมจบก็คือ หากมนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกันอย่างสมบูรณ์แล้ว ภาพของสังคมในวันนั้นมันจะสวยงามได้อย่างที่เราฝันเอาไว้หรือไม่ เพราะในท้ายที่สุดแล้วสังคมนั้นขับเคลื่อนด้วยมนุษย์ ที่พร้อมจะช่วงชิงทุกอย่างมาเป็นของตัวเองให้ได้มากที่สุดอยู่ดี ฝากไว้ให้คิดกันนะครับ
#TriangleOfSadness #มันยอร์ชมาก #Filmment
โฆษณา