2 พ.ย. 2022 เวลา 00:30 • ข่าวรอบโลก
ทำไมการตายของ "มาห์ซา อามินี" (Mahsa Amini) หญิงสาวชาวเคิร์ด วัย 22 ปี จึงจุดกระแสโกรธแค้นและเป็นสัญลักษณ์นำไปสู่การประท้วงในหลายประเทศ จนอาจกลายเป็นเหยื่อให้สหรัฐอเมริกาอีกครั้ง
ภาพจาก Reuters news
สำนักข่าว Al Arabiya รายงานเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2565 ว่า สหรัฐอเมริกาจะผลักดันให้องค์การสหประชาชาติเห็นความสำคัญเกี่ยวกับการประท้วงในอิหร่าน ระหว่างการประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติอย่างไม่เป็นทางการในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2565 ที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งอัลแบเนียเป็นเจ้าภาพ โดยการหารือจะเน้นไปที่การใช้ความรุนแรงที่ผิดกฎหมายกับผู้ประท้วง
มาห์ซา อามินี ถูกกล่าวหาว่าทำผิดกฎการสวมฮิญาบ เพราะมีเส้นผมโผล่ออกมาให้เห็นนอกผ้าคลุมศีรษะ และได้ถูก "กัชตีเอร์ชาด" (Gasht-e Ershard) หรือ "ตำรวจศีลธรรม" จับกุมในกรุงเตหะรานเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2565 เธอตกอยู่ในอาการโคม่าหลังจากล้มหมดสติที่ศูนย์ควบคุม แล้วก็เสียชีวิตที่โรงพยาบาลในอีก 3 วันต่อมา โดยทางครอบครัวของ มาห์ซา อามินี กล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่ใช้กระบองตีศีรษะ และจับศีรษะเธอโขกกับรถตำรวจ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้ อามินี เสียชีวิต
การเสียชีวิตของ อามินี ได้จุดกระแสโกรธแค้นและนำไปสู่การประท้วงของผู้หญิงอิหร่านที่พากันจุดไฟเผาผ้าคลุมศีรษะ เป็นสัญลักษณ์การขัดขืนข้อบังคับเรื่องการแต่งกายของสตรีที่เคร่งครัดของทางการ และพากันร้องตะโกนคำขวัญ "สตรี ชีวิต และเสรีภาพ" (Woman, Life, Freedom) และ "เผด็จการจงพินาศ" (Death to the dictator) เกิดการชุมนุมประท้วงของผู้คนจำนวนมากตามท้องถนนในกรุงเตหะราน และหลายเมืองในอิหร่าน ทำให้รัฐบาลออกมาใช้ความรุนแรงเพื่อควบคุมสถานการณ์ จนมีผู้ร่วมชุมนุมเสียชีวิตจำนวนมาก
ทำไมสถานการณ์ประท้วงได้ขยายวงกว้างไปในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ?
นับตั้งแต่การปฏิวัติอิสลามปี 1979 มีชาวอิหร่านจำนวนมากหลบหนีออกนอกประเทศ ไปอาศัยอยู่ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก โซเชียลมีเดียกลายเป็นช่องทางให้คนอิหร่านพลัดถิ่นได้รวมกลุ่มกัน คลิปวีดีโอที่เกี่ยวกับการประท้วงในการเสียชีวิตของ อามินี ถูกเผยแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว ผ่านแฮชแท็ก #HairForFreedom และ #mahsaAmini แม้ว่ารัฐบาลอิหร่านจะพยายามปิดกั้นการเข้าถึงโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ก็ตาม ถือได้ว่าการชุมนุมประท้วงครั้งนี้มีแกนนำคือ "แฮชแท็ก"
ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ชุมนุมประท้วงครั้งนี้ ได้หลั่งไหลสู่โซเชียลมีเดียทุกแพลตฟอร์มอย่างรวดเร็ว จนเกิดกิจกรรมแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกับผู้ประท้วงในอิหร่าน โดยผู้หญิงหลายคนตัดผมแสดงสัญลักษณ์การสนับสนุนสตรีในอิหร่าน และเกิดหัวข้อวิพากษ์ข้อบังคับการสวมฮิญาบ รวมทั้งกฎหมายอิสลาม ซึ่งผู้ประท้วงแสดงความไม่พอใจที่รัฐบาลก้าวก่ายชีวิตประจำวันของประชาชน ละเมิดสิทธิมนุษยชนในหลายเรื่อง โดยเฉพาะการควบคุมและริดรอนสิทธิความเป็นมนุษย์เพศหญิงในสังคมให้แตกต่างจากเพศชาย
และนี่อาจเป็นความรู้สึกอัดอั้นในใจของสังคมอิหร่านที่มีมายาวนาน แต่ไม่มีโอกาสระบายความรู้สึก ประกอบกับกลุ่มคนหนุ่มสาวที่เติบโตในโลกโซเชียล ทำให้เขาสามารถเห็นโลกภายนอกได้อย่างเสรี จึงมองเห็นว่ากฎเหล็กต่าง ๆ ในอิหร่าน ล้าหลังและล้าสมัย
สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า อิหร่านกล่าวหาสหรัฐอเมริกาว่าใช้การประท้วงการเสียชีวิตของหญิงอิหร่านที่ถูกตำรวจศีลธรรมทำร้ายจนเสียชีวิตหลังทำผิดกฎการสวมฮิญาบ เป็นเครื่องมือในการบ่อนทำลายประเทศอิหร่าน และนายนัสเซอร์ คานาอานี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของอิหร่านได้โพสต์ลงในบัญชีอินสตาแกรมส่วนตัวว่า ผู้นำสหรัฐอเมริกาและชาติในยุโรปบางประเทศ แสดงการสนับสนุนผู้ประท้วงในเหตุการณ์เสียชีวิตของ มาห์ซา อามินี
1
บีบีซี นิวส์ รายงานว่า ประธานาธิบดี โจ ไบเดน กล่าวว่า มีความเป็นห่วงอย่างยิ่งต่อรายงานเรื่องการใช้ความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นในการปราบปรามผู้ประท้วงอย่างสันติ ผู้นำสหรัฐอเมริกาชี้ว่า กลุ่มผู้ประท้วงต่างเรียกร้องความเป็นธรรมและหลักการแห่งความเสมอภาค ที่ปฏิบัติต่อชายหญิงอย่างเท่าเทียมกัน พร้อมชี้ว่า สหรัฐอเมริกาจะยืนหยัดเคียงข้างผู้หญิงอิหร่าน ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้คนทั้งโลกด้วยความกล้าหาญของพวกเธอ และสหรัฐอเมริกาจะดำเนินการคว่ำบาตรต่อตำรวจศีลธรรมและผู้ใช้ความรุนแรงต่อกลุ่มผู้ประท้วงอย่างสันติ
และนี่คือเหตุผลที่สหรัฐอเมริกา อาจใช้สถานการณ์การประท้วงในอิหร่าน อ้างความชอบธรรมด้านสิทธิมนุษยชน เพื่อเข้าสู่วงจรความขัดแย้งภายในประเทศอิหร่าน อีกครั้ง
อ้างอิง : https://www.nia.go.th/news/page/2702
โฆษณา