4 พ.ย. 2022 เวลา 23:53 • นิยาย เรื่องสั้น

ตอน หนึ่งภาพพันอักษร

เรื่องเล่าไขคดีปริศนาในเมืองเดลฟท์
ตอนที่ 31 หนึ่งภาพพันอักษร
ผู้แต่ง:เกรแฮม แบรค
ผู้เล่า:สุธีร์@อ่านเอาเพลิน
ในที่สุดเมอร์คิวเรียสก็มาถึงบ้านแยน ภรรยาของแยนมีชื่อว่าแอนนา
แยนเป็นชายชราหูตึงสายตาไม่ค่อยดีมีปัญหาไขข้อเสื่อมตามวัยทำให้เดินเหินไม่สะดวก ส่วนภรรยาแยนแม้มีรูปร่างไม่อ้วนไม่ผอมเกินไป แต่สุขภาพกลับดูจะแย่ยิ่งกว่าแยนเพราะเธอมีปัญหาด้านระบบทางเดินหายใจใบหน้าออกแดง เธอไอตลอดเวลาจนถึงกับต้องถือผ้าเช็ดไว้ปิดปากเวลาไอ เธอนั่งบนเก้าอี้ตัวใหญ่มีหมอนหนุนรอบๆตัว การเคลื่อนไหวแต่ละครั้งของเธอดูช่างลำบากเสียเหลือเกิน
หลังจากเมอร์คิวเรียสแนะนำตัวเองเสร็จ แยนถือโอกาสให้เขาสวดมนต์ให้ศีลให้พรแก่ภรรยาของเขา เพราะเธอไม่ได้ไปโบสถ์หลายเดือนแล้ว
"นานๆถึงจะมีบาทหลวงแวะมาเยี่ยมสักครั้งหนึ่ง"
'ใช่ค่ะ นานๆครั้ง" แอนนาพูดเสริม
"ต้องเป็นเวลาที่โบสถ์มีการจัดงานใหญ่ๆ" แยนพูด
"ใช่ค่ะ ต้องเป็นงานใหญ่ๆ" แอนนาพูดประโยคเดียวกันกับแยน
ดูเหมือนนี่กลายเป็นเรื่องปกติไปเลยที่ทุกครั้งที่แยนพูดอะไร แอนนาก็จะพูดซ้ำกับแยนเพื่อยืนยันว่าทั้งสองคิดเหมือนกัน และถ้าแอนนาเดาคำพูดของแยนได้ทั้งคู่ก็จะพูดเกือบพร้อมกัน
"้ทุกครั้งที่เราคิดถึงเรื่องที่อยู่ดีๆก็มีศพเด็กผู้หญิงมาฝังบนที่ดินของเรา เราก็อดที่จะกลัวไม่ได้ครับ"
"ใช่ ฝังบนที่ดินของเรา" แอนนาเสริม
"เสียดายที่ดินตรงนั้นกลายเป็นดินอาถรรพ์ไปซะแล้ว"ทั้งสองพูดพร้อมกัน
"ทางการจะจัดพิธีฝังศพเกอร์ทรูย์ดในวันเสาร์นี้ครับ"
สองตายายได้ฟังแล้วดูคลายความกังวลลง
"เสียดายไม่มีดอกไม้" แอนนาพูดขึ้นลอยๆ
"ภรรยาผมหมายถึงช่วงนี้เราไม่สามารถไปหาดอกไม้มาวางตรงหลุมศพ"
"ถ้าทำให้ดินตรงนั้นมีต้นไม้ปกคลุมก็จะดี" แอนนาพูดเสริม
เมอร์คิวเรียสพยักหน้าแสดงความเห็นด้วย และพูดขึ้นว่า
"ใช่ครับ อาจเป็นช่อดอกไม้หรือพวงหรีดดอกไม้ก็จะดูดี"
"ช่อดอกไม้หรือไม่ก็อะไรที่ดูเขียวๆ" แอนนาเสริม
"ผมเชื่อว่าครอบครัวของผู้ตายจะสบายใจขึ้นถ้าบริเวณที่พบศพได้รับการตกแต่งด้วยดอกไม้ ผมอยากเข้าเมืองถ้าหากเจ้าฮาร์เมนยอมพาผมไปด้วย เขาเป็นคนดีและอดทนที่มาช่วยเหลือพวกเราสองคนตายาย" แยนกล่าว
"เป็นเรื่องดีที่คุณมีเพื่อนบ้านที่ดี"
"ใช่ค่ะ" แอนนาพูดพร้อมพยักหน้าและตามด้วยการไอ
จากที่ฟังมาจนถึงตอนนี้ เมอร์คิวเรียสมีความเห็นว่าคำพูดของสองตายายดูสอดคล้องกับที่ฮาร์เมนเล่าไว้ทุกประการ
เมื่อเมอร์คิวเรียสมองผ่านช่องหน้าต่างเล็กๆ เขาเห็นกังหันลมอันเก่า จึงสอบถามแยนว่า
"ตอนนี้กังหันอันเก่ายังถูกใช้งานหรือเปล่าครับ?"
"กังหันมันยังหมุนได้อยู่และผมก็ยังเห็นเรือล่องไปแถวๆกังหัน แต่ผมไม่รู้จักคนที่เอาผลผลิตไปโม่ที่นั่น แถวนี้ยังมีกังหันลมอันใหม่ที่ดีกว่าอยู่ไม่ห่างเท่าไหร่ซึ่งผมก็ใช้บริการอยู่ แต่ก็อย่างว่าล่ะครับเราเปลี่ยนกังหันกันบ่อยๆไม่ได้ หากเราไปใช้บริการที่อื่นต่อไปเจ้าของกังหันอาจไม่ยอมให้เราใช้บริการเขาอีกก็ได้"
เมอร์คิวเรียสฟังแล้วรู้สึกว่าธุรกิจกังหันลมนี่เป็นธุรกิจที่ค่อนข้างผูกขาดทีเดียว
เมอร์คิวเรียสกล่าวขอบคุณสองตายายและไม่ลืมที่จะสวดให้พรแก่แอนนาก่อนจากไป
เมื่อแคลส์เห็นเมอร์คิวเรียสกลับมาถึงศาลากลางเขาดีใจมากรีบเข้ามาหาเมอร์คิวเรียสทันที
"ดีใจที่ท่านอาจารย์กลับมา ผมมีข่าวดี ภาพวาดของหนูแอนนาเสร็จแล้วครับ เชิญท่านอาจารย์มาดูเร็วครับ"
เมอร์คิวเรียสเพ่งพิจารณาภาพวาดที่วาดขึ้นมาใหม่จากภาพวาดของเดิมที่มีขนาดเล็ก เมื่อมองจากภาพวาดจะเห็นว่าแอนนาเป็นเด็กขี้โรค ผอมบาง ใบหน้าซีดเซียว นัยตาสีฟ้า เส้นผมที่โผล่ออกมาจากหมวกลายลูกไม้แลดูเป็นเส้นบางๆ ตรงคอมีปกเสื้อลายลูกไม้กว้างจนปิดไหล่เกือบหมดแต่ก็ยังเห็นผ้ากำมะหยี่ตรงต้นแขน ถ้าหากแอนนาถูกทำร้ายร่างกายก็ยากที่เธอจะมีชีวิตอยู่ได้นานพอที่จะค้นหาเธอจนพบ
ในภาพวาดนี้ไม่ปรากฏร่องรอยถึงความแข็งแรงของเจ้าของภาพเลยแตกต่างจากรูปเกอทรูย์ดที่เฟอร์เมร์วาดมันมีร่องรอยแสดงถึงความแข็งแรงของเธอ เขาเริ่มคิดได้ว่าถ้าหากเขามีภาพของแมกดาเลนาแล้วล่ะก็มันจะช่วยให้การค้นหาเธอง่ายขึ้น แต่เท่าที่รู้มาเธอไม่เคยให้ใครวาดรูปเธอเลย
"แคลส์ คุณวาดรูปได้หรือเปล่าครับ?"
"ผมน่ะหรือ? โอ!ผมวาดภาพไม่เป็นหรอกครับอาจารย์ จิตรกรเก่งๆในเดลฟท์มีตั้งเยอะนะครับ อีกอย่างอาจารย์ก็ต้องเจอเฟอร์เมร์ตอนเย็นอยู่แล้วนี่ครับ บางทีเขาจะยอมวาดภาพอาจารย์ให้"
"แคลส์คุณเข้าใจผิดแล้วครับ ผมต้องการให้วาดภาพแมกดาเลนาต่างหาก"
"ถ้าอย่างนี้ก็เป็นเรื่องยากแล้วครับ"
เมอร์คิวเรียสตัดสินใจอย่างรวดเร็วว่าเรื่องวาดภาพแมกดาเลนาไม่อาจชักช้าแล้ว เขารีบออกจากศาลากลางมุ่งหน้าไปบ้านเฟอร์เมร์เพื่อขอความช่วยเหลือ
เขาเดินไปตามถนนอูเดอแลงเกนดิคซึ่งเป็นที่ตั้งบ้านของเฟิร์เมร์ เมื่อแม่บ้านเปิดประตู เธอมีสีหน้าแปลกใจมาก
"ขออภัยด้วยค่ะ ฉันคิดว่านายผู้ชายไม่ได้คาดว่าท่านจะมาหาในเวลานี้"
"ผมต้องขออภัยด้วยครับที่มาในเวลานี้ พอดีผมมีเรื่องด่วนที่ต้องคุยกับท่านเฟอร์เมร์เลยต้องมาก่อนเวลา"
แม่บ้านเชิญให้เมอร์คิวเรียสเข้ามานั่งในห้องโถง
เมื่อเขาเข้ามาข้างในก็เห็นกระจกบานใหญ่อยู่ใกล้ประตู เข้าใจว่าคงจะออกแบบไว้สำหรับให้ส่องกระจกดูความเรียบร้อยก่อนออกจากบ้าน เมื่อเขามองไปที่กระจกก็เห็นเงาสะท้อนเป็นผู้หญิงชุดสีดำอยู่อีกห้องหนึ่ง พอเขาหันหน้ากลับไปดูเธอก็เดินหลบไปด้านหลังประตู
"ท่านคะ นายผู้ชายบอกให้ฉันพาท่านไปที่ห้องวาดรูปขั้นบนค่ะ"
ห้องวาดรูปอยู่ติดหน้าต่างหน้าอาคาร แสงสว่างจึงส่องทั่วถึง อุปกรณ์เครื่องใช้วาดภาพถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ บนโต๊ะมีอุปกรณ์ที่ใช้จัดฉากเช่นชามเคลือบใบใหญ่ ผลไม้เคลือบเงา มีดดาบประดับ หมวกปีกกว้างเสียบขนนก เครื่องประดับเสื้อผ้า เครื่องเล่นดนตรีและถาดแก้วน้ำ
เขาเห็นเฟอร์เมร์กำลังวาดภาพโดยมีเด็กหญิงเป็นนางแบบให้ เธอนั่งบนเก้าอี้ สวมเสื้อผ้าสีขาวงาช้างตัดกับผ้าคลุมไหล่ บนศีรษะประดับด้วยมงกุฎดอกไม้เฟอร์เมร์ดูตั้งใจวาดอย่างมาก การตวัดพู่กันลงบนผืนผ้าแต่ละครั้งเต็มเปี่ยมด้วยความมั่นใจ
The art of painting วาดโดย โยฮันเนส เฟอร์เมร์ ภาพจาก wikipedia
"รอเดี๋ยวนะ" เฟอร์เมร์พูดกับนางแบบน้อย
"สวัสดีครับท่านอาจารย์ ผมกำลังวาดรูปลูกสาวอยู่ เธอชื่อเบียทริกซ์ ผมวาดใกล้เสร็จแล้วครับ"
"ลูก มือหนูวางที่ตักนิ่งๆหน่อย พ่อกำลังวาดมือหนูอยู่ เดี๋ยวไม่สวยไม่รู้นะ ถ้าพ่อวาดมือเสร็จเรียบร้อยแล้ว หนูจะได้ไปเล่นต่อยังไง"
เมื่อเฟอร์เมร์วาดรูปเสร็จเขาเดินไปหาเบียทริกซ์ก้มไปจูบหน้าผากเธอ
"วันนี้ลูกทำหน้าที่ได้ดีมาก ก่อนไปเล่นลูกช่วยบอกพี่แทนเน็คให้เอาเครื่องดื่มมาให้พ่อกับแขกด้วยนะ"
เบียทริกซ์ยิ้มและผงกศีรษะรับทราบ จากนั้น เธอหันมามองที่เมอร์คิวเรียสแล้วรีบวิ่งลงไปข้างล่าง ไม่นานนักแม่บ้านก็มาพร้อมกับเหยือกเบียร์เอลและถ้วยใบใหญ่สองใบ
เฟอร์เมร์เชิญเมอร์คิวเรียสนั่งบนเก้าอี้ตัวที่เบียทริกซ์นั่ง ส่วนตัวเขานั่งบนเก้าอี้วาดรูป
"ผมต้องขอโทษที่ผมมาเร็วกว่าที่เรานัดหมายกัน แม่บ้านคงคิดว่าผมมาเร็วเกินไปสำหรับมื้อเย็น"
เฟอร์เมร์หัวเราะไปดื่มเบียร์ไปจนสำลัก
"ผมนึกถึงภาพเธอตอนเธอเปิดประตูแล้วเจออาจารย์ได้เลยว่าใบหน้าเธอตอนนั้นจะเป็นอย่างไร ตลอดชีวิตเธอคอยรับแต่คำสั่ง ผมรู้ว่าเธอผิดหวังในตัวผมมากที่ไม่ยอมสั่งเธอ"
เมอร์คิวเรียสอดหัวเราะในมุกตลกของเฟอร์เมร์ไม่ได้
"นี่โยฮันเนส บอกตามตรงผมไม่ได้มาทานมื้อเย็นก่อนเวลาหรอกนะ จริงๆแล้วผมตั้งใจมาขอความช่วยเหลือจากคุณ"
"ได้แน่นอนครับอาจารย์ ว่าแต่อาจารย์อยากให้ผมช่วยอะไรล่ะครับ?"
"ตอนนี้ผมมีรูปวาดใบหน้าของเกอร์ทรูย์ดและก็มีสำเนารูปขนาดเล็กของแอนนา"
"อาจารย์เอารูปของแอนนาติดมาด้วยหรือเปล่าครับ? ผมอยากขอดู"
เมอร์คิวเรียสหยิบรูปแอนนาออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วส่งให้เฟอร์เมร์ดู
ฟอร์เมร์เพ่งพิจารณารูปแอนนาอย่างละเอียดได้สักครู่หนึ่ง.
้"สวรรค์ทรงโปรด ขนาดว่าเดลฟท์มีจิตรกรเก่งๆมากมาย แต่ท่านนายกเทศมนตรีได้ภาพวาดที่มีคุณภาพได้แค่นี้!"
"ภาพวาดไม่เหมือนแอนนาหรือครับ?"
"มันอาจวาดเหมือนแอนนาก็ได้ แต่พอดีผมไม่เคยเจอเธอ ยังไงภาพนี้ก็ยังไม่ดีพอ แต่อาจเป็นเพราะภาพวาดต้นฉบับเองก็ไม่ดีพอเหมือนกัน ถ้าอย่างนี้ผมคงตำหนิจิตรกรคนนี้ไม่ได้ แต่ก็เสียดายเงินแทนคุณแวน เสตเตน ที่ได้ภาพวาดที่ดีไม่คุัมค่าเงิน ถ้าผมจำไม่ผิดคุณเลียวนาทน่าจะรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับรูปวาดของแอนนา"
"หมายถึงคุณบราเมอร์ใช่ไหมครับ?"
"ใช่ครับ คุณแวน เสตเตนเคยให้เขาวาดภาพให้"
"ไม่ยักจะรู้ว่าคุณบราเมอร์ก็เป็นจิตรกรที่ชอบวาดภาพชิ้นเล็กๆ ผมเคยได้ยินคุณบราเมอร์บ่นว่าคุณแวน เสตเตนชอบมากกวนใจแกตอนที่แกกำลังวาดภาพบนฝาผนังตอนใกล้ๆเสร็จ"
"อาจารย์เคยเห็นภาพวาดบนฝาผนังฝีมือคุณบราเมอร์ไหมครับ? มันวิเศษมากเลย คุณบราเมอร์เคยไปเรียนเทคนิควาดรูปที่อิตาลี"
"โยฮันเนสไม่สนใจทำอย่างคุณบราเมอร์บ้างหรือ?
"อาจารย์หมายถึงไปอิตาลีน่ะหรือ?"
 
"ถ้ามีโอกาสครับ แต่ตอนนี้ผมนังต้องรับผิดชอบลูกๆอยู่ รอให้ลูกๆเลี้ยงตัวเองได้ ผมกับแคธารีนาจะไปอิตาลีด้วยกัน"
"ดีมากเลยครับ"
"อาจารย์เรามาดื่มชนแก้วกันเถอะ แล้วไปหาคุณเลียวนาทด้วยกันเผื่อแกมีอะไรจะบอกเราเพิ่มเติม"
"แต่โยฮันเนสยังไม่ได้ฟังคำขอร้องของผมเลยนะ"
"เอ้า! ผมนึกว่าเป็นเรื่องที่เรากำลังจะไปทำเสียอีก"
"ไม่ใช่หรอกครับ แต่เรื่องไปขอความเห็นคุณบราเมอร์ก็ถือเป็นเรื่องดี แต่ที่ผมจะขอร้องคือผมอยากให้โยฮันเนสวาดใบหน้าของแมกดาเลนาครับ แม้ว่าดูจะเป็นการขอร้องที่มากเกินไปที่จะวาดใบหน้าคนที่ไม่ได้มาปรากฏตัวต่อหน้า แต่ผมก็มองไม่เห็นใครนอกจากโยฮันเนส"
"อาจารย์อย่ากังวลไปเลยครับ ผมยินดีที่จะช่วย แต่ก็ขึ้นอยู่กับแม่ของแมกดาเลนาจะบอกรายละเอียดใบหน้าของลูกสาวเธอได้ละเอียดแค่ไหน เพื่อนบ้านของเธอก็น่าจะมีส่วนช่วยได้อีกด้านหนึ่งครับ"
"ความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้าน ผมว่าคงจะลำบากเพราะครอบครัวของเธอไม่ได้รับการยอมรับจากเพื่อนบ้านเท่าใด"
"ผมยังมั่นใจ ตราบใดที่พวกเขาเป็นชาวเดลฟท์ ผมมั่นใจว่าผมสามารถหว่านล้อมให้เขาช่วยได้ครับ"
ระหว่างทั้งสองเดินไปตามถนนคอร์นมาร์คท เฟอร์เมียร์จะชวนเมอร์คิวเรียสดูรูปร่างอาคารบ้านเรือนพร้อมทั้งบอกเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจให้ฟังเพลินๆ จนเมื่อเดินมาถึงบ้านเลขที่ 48 เฟอร์เมร์จึงเคาะประตูเรียกเจ้าของบ้าน
บราเมอร์เชิญทั้งสองมายังห้องรับแขก เขาเป็นคนรูปร่างอ้วนเตี้ยอายุราวๆเจ็ดสิบ ศีรษะค่อนข้างล้าน แต่มีผมสีน้ำตาลด้านข้างที่ดกยาวจนปิดใบหู
 
เมอร์คิวเรียสหยิบภาพวาดแอนนาส่งให้บราเมอร์ เขาหยิบมันไปดูตรงหน้าต่างเพื่อมองให้ชัดๆ เมื่อดูเสร็จเขาก็ส่งคืนให้เมอร์คิวเรียสด้วยสีหน้าสงสัย
"รูปวาดนี้ไม่มีมิติความลึก ไม่เห็นความรู้สึก ไม่รู้ว่าแสงมาจากด้านไหน คุณแวน เสตเตนมาจ้างผมให้วาดรูปลูกสาวเขาตอนหน้าร้อนปี 1669 ตอนนั้นแอนนาอายุ6ขวบ พอดีตอนนั้นผมยุ่งงานอื่นอยู่ กว่าจะลงมือวาดได้ก็ราวๆเดือนสิงหาคมหรือกันยายน แต่รูปที่ผมวาดเป็นรูปขนาดมาตรฐานทั่วไป เข้าใจว่าคุณแวน เสตเตนคงไปจ้างจิตรกรคนอื่นที่ชอบวาดรูปขนาดเล็กวาดจากรูปนี้อีกทีหนึ่ง"
บราเมอร์สูดหายใจลึกๆก่อนจะพูดต่อ
"ผมกำลังคิดดูว่ารูปที่วาดซ้ำนี้มันขาดอะไรบางอย่างไป"
"แล้วมันพอสำหรับเอาไปใช้ในการค้นหาแอนนาหรือเปล่าครับ?" เมอร์คิวเรียสถาม
"มันก็ใช้ได้อยู่นะ แต่ในรูปนี้นัยน์ตาของเธอดูไม่มีชีวิตชีวา จริงๆแล้วเธอเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย ตอนที่ผมวาดรูปเธอ ผมไม่มีปัญหากับเธอในการให้เธอนั่งบนเก้าอี้นานๆ แม้ว่าดูเธอเป็นคนขี้โรคแต่เธอก็พูดคุยกับผมอย่างมีอารมณ์ดี"
"คุณบราเมอร์พอจะนึกคำพูดของแอนนาได้บ้างไหมครับ?เผื่อจะมีเบาะแสอะไรบ้าง"
บราเมอร์พยายามนึก
"ก็มีเช่น หนูอยากไปอีสท์อินดีส์ หนูต้องการไปอยู่อัมสเตอร์ดัม"
เมอร์คิวเรียสบอกบราเมอร์ว่าเขาอยากรู้ว่าคนร้ายพูดอะไรกับแอนนาจนเธอยอมไปกับเขาได้
ตอนนี้บราเมอร์นึกอะไรไม่ออกแล้วเขาได้แต่ส่ายหน้า
เฟอร์เมร์มองเมอร์คิสเรียส เห็นเขาไม่ถามอะไรบราเมอร์เพิ่มเติมจึงถือโอกาสพูดขึ้นว่า
 
"ท่านเลียวนาร์ท ช่วยลองทุ่มเทประสบการณ์ทั้งชีวิตของท่าน ดูรูปอีกที่ได้ไหมว่ามีอะไรผิดปกติ มีอะไรที่รูปนี้ไม่ได้บอก?"
บราเมอร์รับรูปวาดจากเมอคิวเรียสมาดูอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้เขาดูมันนานกว่าครั้งแรก และแล้วนัยน์ตาเขาก็เปล่งประกาย
"ใช่แล้ว! ความกลัว" เขาพูดเสียงดัง
"ความกลัวหรือ?" เมอร์คิวเรียสพูดตาม
"แอนนาไม่ได้มีสีหน้าว่าเธอกลัวผมแต่อย่างใด ตรงกันข้ามดูเธอผ่อนคลายเวลาอยู่กับผม แต่แปลกมากเวลาผู้ปกครองมาอยู่กับเธอ เธอกับแสดงความกลัวออกมา อาจเป็นเพราะเธอกลัวว่าจะทำอะไรผิดจนทำให้พ่อแม่ไม่พอใจ"
เมอร์คิวเรียสกำลังจมอยู่ในความคิด
'เขาเองก็ทำให้พ่อแม่ผิดหวังในตัวเขา พ่อแม่หวังให้เขาเป็นทหารเหมือนกับ'ลอเรนเทียส'พี่ชาย พี่ซึ่งตอนเด็กๆเขาดูเก่งกว่าเด็กอื่นๆ แต่เขากลับไม่สามารถหลบพ้นวิถีกระสุนปืนใหญ่ของอังกฤษในสงครามโลเวสท็อฟท์ปี1665ได้'
"ทำไมแอนนาถึงต้องกลัว?" เฟอร์เมร์ทวนคำถาม
เมอร์คิวเรียสไต่ตรองแล้วเห็นว่า ถ้าแอนนาจะมีความกังวลว่าจะทำให้พ่อแม่ผิดหวังก็อาจเป็นไปได้ แต่ถ้าต้องถึงขนาดกลัวพ่อแม่นี่ดูช่างประหลาดนัก
"บางทีความกลัวของแอนนาอาจเป็นเรื่องที่อ่อนไหวมากๆ แล้วมันคือเรื่องอะไรกันแน่?"
"มันเป็นไปได้ไหมว่าแอนนาถูกผู้ปกครองตี?" เฟอร์เมร์พูดด้วยความตกใจ
"เป็นไปได้ที่เธอกลัวถูกตี แต่..แต่ก็อาจแย่ยิ่งกว่านั้นอีก"
"หา! ยังมีอะไรแย่กว่าถูกตีอีก?
"ผมเคยได้ฟังเรื่องราวของคดีหนึ่งที่พ่อได้ทำเรื่องไม่ดีกับลูกสาวตัวเอง"
คราวนี้เฟอร์เมร์ตกใจยิ่งกว่าเดิม ตอนนี้เขาเต็มไปด้วยความรู้สึกหลายอย่าง ทั้งเศร้าใจ สงสาร โกรธ
"แต่ทำไมเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้นกับเด็กหญิงตัวเล็กๆอย่างแอนนา ผมคิดไม่ออกเลยว่าพ่อจะทำอย่างนี้กับลูกสาวตัวเองได้"
"โยฮันเนสอย่าเพิ่งคิดมากอย่างนั้น ผมไม่ได้บอกสักนิดเลยว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับแอนนา แต่เราก็ไม่ควรทิ้งประเด็นนี้"
"ถึงอย่างไรประเด็นนี้ก็มีน้ำหนักพอที่จะอธิบายได้ว่าทำไมแอนนาถึงต้องเครียดขนาดนี้" บราเมอร์พูดด้วยความมั่นใจ
"ถึงแม้เรื่องนี้เกิดขึ้นจริง แต่มันก็คงถูกเก็บเป็นความลับ" เฟอร์เมร์พูดเสริม
"ผมกลัวว่าแอนนาจะถูกกระทำไม่ดีมาเป็นเวลานานแล้ว ใครล่ะที่จะให้คำตอบได้?"
"มันอยู่ตรงที่แอนนาไม่ค่อยได้ออกจากบ้าน บางทีคนที่จะให้คำตอบได้อาจเป็นคนใช้ในบ้านหรือไม่ก็บาทหลวงที่โบสถ์" เฟอร์เมร์ออกความเห็น
บราเมอร์เอามือตบไหล่เมอร์คิวเรียส
"เรื่องนี้จะมีใครเหมาะสมเท่ากับนักบวชคุยกับนักบวชด้วยกัน ใช่ไหมครับ?"
- - - - - - - - - - -
จบตอนที่ 31
โปรดติดตามตอนต่อไป
ขอบคุณทุกท่าน
สุธีร์@อ่านเอาเพลิน
โฆษณา