8 พ.ย. 2022 เวลา 12:01 • ประวัติศาสตร์
#เชื่อไหมว่า Listerine เคยถูกใช้เป็นน้ำฆ่าเชื้อในห้องผ่าตัดมาก่อน
มนุษย์ใช้เครื่องมือมากมายที่ประดิษฐิ์ขึ้นมาเพื่อทำความสะอาดฟัน! ตั้งแต่แปรงสีฟันที่ทำจากไม้ ไปจนถึงไหมขัดฟันที่ทำจากขนม้า คนเราที่คำนึงถึงสุขภาพช่องปากเสมอมา แต่น้ำยาบ้วนปากล่ะ? เมื่อไหร่ที่เราเริ่มใช้และเริ่มให้ความหวังกับความสะอาดในช่องปากเพิ่มมากขึ้น? แล้วน้ำยาบ้วนปาก LISTERINE ล่ะมาจากใหน?
กำเนิดน้ำยาป้วนปาก
ตัวอย่างแรก ๆ ของมนุษย์ที่ใช้น้ำยาบ้วนปากนั้นมาจากกรุงโรมโบราณ ในปี ค.ศ. 1 ชาวโรมันเคยซื้อขวดปัสสาวะโปรตุเกสและใช้เป็นน้ำยาบ้วนปาก ในตอนนั้นการนำเข้าปัสสาวะบรรจุขวดได้รับความนิยมอย่างมาก ถึงขนาดที่จักรพรรดินีโรเก็บภาษีการค้า เชื่อกันว่าแอมโมเนียในปัสสาวะสามารถฆ่าเชื้อในปากและช่วยให้ฟันขาวขึ้นได้ และปัสสาวะก็ยังคงเป็นส่วนผสมของน้ำยาบ้วนปากที่ได้รับความนิยมจนถึงศตวรรษที่ 18
1
หลังจากนั้นส่วนผสมแปลก ๆ นอกเหนือจากปัสสาวะเพื่อสร้างเป็นน้ำยาบ้วนปากก็เริ่มขึ้น อาทิการนำเลือดของเต่ามาผสมเพื่อฆ่าเชื้อในปากและทำให้ฟันสะอาดขึ้น นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มส่วนผสมของผลเบอร์รี่ ใบสะระแหน่ และน้ำส้มสายชูหรือไวน์ก็ถูกนำมาใช้เป็นน้ำยาบ้วนปากด้วย ในศตวรรษที่ 12 นักบุญฮิลเดการ์ด ฟอน บิงเงิน สนับสนุนว่าการชะล้างด้วยน้ำเย็นบริสุทธิ์สามารถขจัดคราบพลัคและหินปูนได้ผู้คนจึงให้ความสนใจ
1
ในศตวรรษที่ 18 Anton van Leeuwenhoek เป็นที่รู้จักในฐานะ “บิดาแห่งจุลชีววิทยาสมัยใหม่” เนื่องจากเขาได้ค้นพบแบคทีเรียในช่องปากและเริ่มทำการด้ทดลองกับสารละลายต่าง ๆ เพื่อหาสารที่สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียนี้ได้ Leeuwenhoek ค้นพบว่าเขาสามารถตรึงและฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ด้วยการเติมแอมโมเนียและ / หรือแอลกอฮอล์ ซึ่งในช่วงเวลานี้เองที่แอลกอฮอล์กลายเป็นส่วนผสมที่นิยมใช้กันมากที่สุดในน้ำยาบ้วนปาก และยังคงใช้มาจนถึงทุกวันนี้
สารชนิดใหม่
ส่วนประวัติของ LISTERINE ต้องเล่าย้อนกลับไปกว่า 130 ปีก่อน ที่ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้น (ปี 1860) ด้วยผลงานของ ดร.โจเซฟ ลอว์เรนซ์ ศัลยแพทย์ชาวอังกฤษ ที่ทำการผ่าตัดในห้องปลอดเชื้อด้วยการใช้น้ำยาฆ่าเชื้อที่เขาสร้างขึ้น ซึ่งเป็นวิธีปฏิบัติใหม่ที่ไม่ธรรมดาในยุคนั้น
ดร.ลอว์เรนซ์ คิดวิธีนี้ได้จากการอ่านและวิจัยงานบุกเบิกที่ทำทิ้งไว้โดย Joseph Lister (ซึ่งภายหลังเขาตั้งชื่อแบรนด์ตามชื่อของนักวิจัยท่านนี้ด้วย) ดร.ลอว์เรนซ์ พบว่าสาร Lister กรดคาร์โบลิก สามารถฆ่าเชื้อโรคได้
ซึ่งผู้คนจำนวนมาก ณ เวลานั้นมักเสียชีวิตจากการติดเชื้อที่เกิดขึ้นระหว่างการผ่าตัดมากกว่าจากบาดเจ็บ (มีคำกล่าวในสมัยนั้นว่า “การผ่าตัดประสบความสำเร็จ แต่ผู้ป่วยกลับเสียชีวิต”) และทันทีที่ เขาได้ใช้ Lister อัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยก็ลดลงได้อย่างมีนัยสำคัญ เรื่องนี้จึงกลายเป็นวิธีปฏิบัติที่แพร่หลายมากขึ้นเรื่อย ๆ
เพื่อเพิ่มอัตรารอดชีวิต
ในปี 1869 หลังการประชุมงานการวิจัยของ ดร.โจเซฟ ลอว์เรนซ์ จบลง โรเบิร์ต วูด จอห์นสัน ที่ได้ฟังก็ได้รับแรงบันดาลใจจาก ดร.ลอว์เรนซ์ ไปปรับปรุงวิธีการฆ่าเชื้อในกระบวนผ่าตัดแบบใหม่และก่อตั้งบริษัทชื่อดังอย่าง จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสันขึ้น
ในปี 1879 ดร. ลอว์เรนซ์ ได้สร้างน้ำยาบ้วนปากที่ใช้สำหรับทำความสะอาดปากและฆ่าเชื้อแผลผ่าตัดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในห้องปฏิบัติการของเขาและเรียกผลงานชิ้นนี้ว่า LISTERINE
จากนั้นเขาก็ได้ร่วมมือกับเภสัชกร Jordan Wheat Lambert และร่วมกันก่อตั้งบริษัท Lambert Pharmaceutical co. เพื่อผลิตและจำหน่าย LISTERINE. ซึ่ง ณ เวลานั้นทันตแพทย์เริ่มสังเกตพลังของการทำความสะอาดด้วยน้ำยาบ้วนปากเพิ่มมากขึ้น จึงเกิดการวิจัยผลลัพธ์มากยิ่งขึ้น
เน้นเรื่องไหนดี
ในปี 1910 แม้ LISTERINE จะถูกใช้เป็นสารฆ่าเชื้อ แต่อัตราการเสียชีวิตจากการตัดแขนขากลับลดลงเหลือเพียง 3% เท่านั้น ผู้คนจึงสั่นกลัวเพราะคิดว่าจะมีอีกกี่คนที่ได้รับบาดเจ็บจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (สงครามที่อันตรายที่สุดตลอดกาล) และเสียชีวิตแม้จะใช้ Listerine ช่วย
เนื่องจากกรดคาร์โบลิกแข็งบนผิวหนัง ศัลยแพทย์จึงเริ่มใช้กรดโบราซิกแทน หลังจากนั้นการใช้ Listerine ก็เติบโตขึ้นในฐานะน้ำยาฆ่าเชื้อในช่องปากเพียงอย่างเดียว ในปี 1914 LISTERINE กลายเป็นผลิตภัณฑ์ตามใบสั่งแพทย์รายแรกในสหรัฐอเมริกา
ที่จัดจำหน่ายผ่านเคาน์เตอร์และจำหน่ายในฐานะน้ำฆ่าเชื้อโรคในช่องปากอย่างเป็นทางการ ปัจจุบัน LISTERINE ครองใจ ผู้คนกว่าพันล้านคนทั่วโลกและยังคงพัฒนาสูตรใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยมา
“เพราะกลิ่นปากไม่เคยเป็นเรื่องตลก”
Glass bottle with paper label. The screw top indicates that the bottle was manufactured post-1920s.
ติดตามเรื่องเล่าจากดาวนี้เพิ่มเติมได้ที่
หากชื่นชอบก็อย่าลืมกด Like กด Share เพื่อเป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคะ สามารถแชร์แนวคิด มุมมองดีๆได้ใน Comments นี้เลย
#เรื่องเล่าจากดาวนี้
โฆษณา