5 พ.ย. 2022 เวลา 12:03
ฎีกาที่ 5632/2562
คดีนี้จำเลยที่ 1 ให้การรับว่าจำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินโจทก์ แต่กล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ว่าจำเลยที่ 1 ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 1 จึงมีภาระการพิสูจน์ จำเลยที่ 1 อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่าจำเลยที่ 1 ชำระหนี้เงินกู้ตามฟ้องให้โจทก์ครบถ้วนแล้วด้วยวิธีโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของนางสาว ว. บุตรโจทก์
แต่ได้ความตามทางนำสืบของจำเลยที่ 1 ว่าจำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินโจทก์และนางสาว ว. หลายครั้ง กรณีจึงไม่แน่ว่าเป็นการชำระหนี้ในคดีนี้หรือไม่ เมื่อพิจารณาตามสัญญากู้ยืมเงินก็ไม่มีข้อความหรือข้อตกลงเกี่ยวกับการชำระหนี้โดยให้โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของนางสาว ว. แต่อย่างใด แต่ข้อเท็จจริงกลับปรากฏว่าโจทก์เจ้าหนี้กลับไม่ยอมรับว่าเป็นการชำระหนี้แก่โจทก์
หนี้ยังไม่ระงับ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรคหนึ่ง ดังที่จำเลยที่ 1 ฎีกา อีกทั้งมาตรา 315 บัญญัติว่า “ อันการชำระหนี้นั้นต้องทำให้แก่ตัวเจ้าหนี้หรือแก่บุคคลผู้มีอำนาจรับชำระหนี้แทนเจ้าหนี้ การชำระหนี้ทำให้แก่บุคคลผู้ไม่มีอำนาจรับชำระหนี้นั้น ถ้าเจ้าหนี้ให้สัตยาบันก็นับว่าสมบูรณ์”
การที่จำเลยที่ 1 ชำระหนี้โดยโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของนางสาว ว. ก็ไม่ปรากฏว่านางสาว ว. บุตรโจทก์เป็นบุคคลผู้มีอำนาจรับชำระหนี้แทนโจทก์ หรือโจทก์ได้ให้สัตยาบันแก่การชำระหนี้นั้น นอกจากนี้ หากจำเลยที่ 1 ชำระหนี้ให้แก่โจทก์แล้วตามที่จำเลยที่ 1 กล่าวอ้าง
แต่จำเลยที่ 1 ก็ไม่มีพยานหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้วหรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นมาแสดง ดังนั้น พยานหลักฐานที่จำเลยที่ 1 นำสืบมาจึงยังฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามฟ้องให้แก่โจทก์แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาให้จำเลยที่ 1 รับผิดชำระหนี้ตามฟ้องแก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา