11 พ.ย. 2022 เวลา 04:32 • ประวัติศาสตร์
• ความรักของเนห์รูกับเอ็ดวิน่า
นายกรัฐมนตรีอินเดียกับภริยาของอุปราชแห่งอินเดีย
ท่ามกลางความวุ่นวายทางการเมืองที่เกิดขึ้นเมื่ออินเดียแยกตัวเป็นเอกราชจากอังกฤษ และท่ามกลางความแตกแยกทางเชื้อชาติและศาสนาในดินแดนแห่งความหลากหลายนี้ มีความรักที่ผิดฝาผิดตัวก่อเกิดขึ้นระหว่างนายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดียกับภริยาของอุปราชคนสุดท้ายของอินเดีย
เนห์รูกับเอ็ดวิน่า เลดี้เมาท์แบตแทน (ภาพ: BBC)
• เอ็ดวิน่ากับสามี: ลูอีส เมาท์แบตแทน
เอ็ดวิน่า ซินเธีย แอนเน็ตต์ แอชลีย์ (Edwina Cynthia Annette Ashley) เป็นสาวสังคมระดับแนวหน้าของอังกฤษ เอ็ดวิน่าได้รับคำชื่นชมว่าเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดของอังกฤษ เธอเป็นบุตรสาวของนักการเมืองคนสำคัญของอังกฤษ แต่ที่ทำให้เธอไม่ธรรมดาคือตาของเธอเป็นมหาเศรษฐีเยอรมันเชื้อสายยิวที่ทรงอิทธิพลคนหนึ่งของยุโรป อีกทั้งยังเป็นเพื่อนสนิทกับกษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่ 7 ซึ่งพระองค์เป็นพ่อทูนหัวของเอ็ดวิน่าด้วย
สามีของเอ็ดวิน่าคือลูอีส ฟรานซิส อัลเบิร์ต วิกเตอร์ เมาท์แบตแทน (Louis Francis Albert Victor Nicholas Mountbatten) ซึ่งมีเชื้อสายเจ้าเยอรมัน ตอนกำเนิดมีศักดิ์เป็นเจ้าชายลูอีสแห่งแบทเเทนเบอร์ก (Prince Louis of Battenberg) และในขณะเดียวกันก็เป็นญาติใกล้ชิดกับราชวงศ์อังกฤษเพราะแม่ของลูอีส คือเจ้าหญิงวิกตอเรีย (Princess Victoria of Hesse and by Rhine) เป็นหลานยายของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย
ลูอีส หรือที่ครอบครัวเรียกกันว่า ดิกกี้ ยังมีศักดิ์เป็นน้าหรือน้องแม่ของเจ้าชายฟิลิป พระสวามีของสมเด็จพระราชินีนาถอีลิซาเบธที่ 2 เพราะแม่ของเจ้าชายฟิลิปคือเจ้าหญิงอลิซ (Alice, Princess Andrew of Greece and Denmark) นั้นเป็นพี่สาวของดิกกี้
แต่ราชตระกูลแบทเเทนเบอร์กสายที่พำนักอยู่ในอังกฤษสละพระยศเยอรมันและเปลี่ยนนามสกุลเป็นเมาท์แบตแทนตามพระญาติคือกษัตริย์จอร์จที่ 5 ที่เปลี่ยนชื่อราชวงศ์เป็นราชวงศ์วินเซอร์เนื่องจากกระแสต่อต้านเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ดังนั้นดิกกี้หรือเจ้าชายลูอีสแห่งแบทเเทนเบอร์กจึงกลายเป็นลูอีส เมาท์แบตแทน
ดิกกี้มีศักดิ์แต่ไม่ค่อยจะมีทรัพย์ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา เพราะตาของเอ็ดวิน่าทิ้งสมบัติส่วนใหญ่ให้หลานสาวคนนี้ ทั้งเงินจำนวนเงินสองล้านปอนด์หรือเทียบเท่ากับประมาณ 94.4 ล้านปอนด์ในปัจจุบัน พร้อมกับบ้านทาวน์เฮาส์ที่หรูหราใหญ่โตราวกับพระราชวังในลอนดอนและคฤหาสน์ที่อื่นอีก ในขณะที่ดิกกี้เป็นนายทหารเรือที่มีรายได้เพียง 610 ปอนด์ต่อปีหรือเทียบเท่า 28,791 ปอนด์ในปัจจุบัน
ดิกกี้กับเอ็ดวิน่าแต่งงานกันในปี 1922 หลังจากรู้จักกันได้ 5 เดือน เจ้าบ่าวเจ้าสาวอายุไล่เลี่ยกันราว 22 - 21 ปี ซึ่งถือว่าเป็น “งานสมรสแห่งปี” ของอังกฤษที่คนทั่วประเทศให้ความสนใจ และมีราชวงศ์อังกฤษมาร่วมเป็นสักขีพยานในงานแต่งครั้งนี้อย่างพร้อมเพรียง
โดยภายนอกเอ็ดวิน่ากับดิกกี้ดูเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมาก แต่โดยเนื้อแท้ทั้งคู่ไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย
สามีภรรยาเมาท์แบทแทนไปฮันนีมูนตามราชสำนักต่าง ๆ ทั่วยุโรปและไปฮันนีมูนที่อเมริกาด้วย ชีวิตคู่ของทั้งสองใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟู่ฟ่า ทั้งเดินทางท่องเที่ยว สังสรรค์เข้าสังคมด้วยการเข้าร่วมงานเลี้ยงและเล่นกีฬา ล่องเรือเที่ยว และมีบ้านที่หรูหราพรั่งพร้อมไปด้วยคนรับใช้
ทายาทของสามีภรรยาคู่นี้คนแรกคือแพทริเซีย แน็ชบูล (Patricia Knatchbull) ส่วนคนที่สองคือเลดี้พาเมล่า ฮิกส์ (Lady Pamela Hicks) ซึ่งสนิทชิดเชื้อกับราชวงศ์อังกฤษมาก ตอนที่แพทริเซียแต่งงานเจ้าหญิงอีลิซาเบธและเจ้าหญิงมาร์กาเร็ตมาทำหน้าที่เป็นเพื่อนเจ้าสาวให้ ส่วนเลดี้พาเมล่าเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้กับเจ้าหญิงอีลิซาเบธตอนที่อภิเษกกับเจ้าชายฟิลิป และต่อมาก็ทำหน้าที่เป็นนางสนองพระโอษฐ์เมื่อเจ้าหญิงอีลิซาเบธกลายเป็นราชินี
ภาพแต่งงานของดิกกี้กับเอ็ดวิน่า ปี 1922 (ภาพ: V&A Images, Tatler)
• เอ็ดวิน่าผู้มากรัก
เอ็ดวิน่าเป็นหญิงกระหายรัก ประกอบกับอาชีพของดิกกี้ที่เป็นทหารเรือจึงเดินทางอยู่ตลอดเวลา และไปรบในสงครามด้วย ส่วนเอ็ดวิน่าก็เที่ยวช็อปปิ้งตามร้านหรูอย่างชาแนล เล่นไพ่ เต้นรำจนถึงตีสาม ดังนั้นเอ็ดวิน่าจึงมีชู้รักแก้เหงามากมายเป็นที่รู้กันทั่ว การมีพฤติกรรมเช่นนี้ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการถูกเลี้ยงมาแบบตามใจและมั่งคั่งกว่าสามีจึงไม่มีอะไรที่ต้องเกรงใจ แต่บ้างก็ว่าเป็นเพราะดิกกี้ไม่ประสีประสาเรื่องบนเตียง เอ็ดวิน่าจึงไป “เติม” จากคนอื่นแถม และมีเรื่องซุบซิบว่าดิกกี้มีแนวโน้มที่จะชอบผู้ชายมากกว่า
ในตอนแรกดิกกี้ไม่รู้เรื่องที่ภรรยาหาผู้ชายมาเติมเต็มในทุกย่างก้าวที่เดิน จนกระทั่งเดวิด เจ้าชายแห่งเวลส์ผู้เป็นญาติเรียกดิกกี้ไปคุยด้วยเพื่อเบิกเนตรให้ ว่าเอ็ดวิน่าขึ้นเตียงกับผู้ชายนับหลายโหล ซึ่งพากันเดินทางท่องเที่ยวไปด้วยกัน
เอ็ดวิน่าสร้างข่าวอื้อฉาวเรื่องชู้สาวตลอดเวลา ไม่เว้นกับชายมีครอบครัวแล้ว ซึ่งโด่งดังไม่เฉพาะฝั่งอังกฤษแต่ยังข้ามฝั่งไปถึงอเมริกา เพราะเธอไปมีความสัมพันธ์กับชายชาวอเมริกันด้วย ซึ่งทำให้สังคมอเมริกันซุบซิบว่าเอ็ดวิน่าเป็นสาเหตุทำให้ครอบครัวหนึ่งต้องบ้านแตก เท่านั้นยังไม่พอ เอ็ดวิน่ายังนอนกับผู้ชายสองคนที่เป็นพี่น้องกันด้วย และมีข่าวซุบซิบในสังคมว่าเธอนอนกับชายผิวดำด้วย
แต่การหย่าไม่ใช่ทางออกที่ดีสำหรับดิกกี้ เพราะเขามีสายสัมพันธ์กับราชวงศ์อังกฤษที่ในเวลานั้นจะไม่ต้อนรับบุคคลผู้ผ่านการหย่าร้างเข้ามาในแวดวง อีกทั้งรายได้ของเขานั้นน้อยนิด ถ้าหย่ากับเอ็ดวิน่าเขาต้องประสบปัญหาทางการเงิน
2
จนกระทั่งในปี 1931 สามีภรรยาคู่นี้จึงมาตกลงกัน ว่าจะยังคงอยู่ด้วยกันแต่แยกเตียง และในบางครั้งก็จะแยกกันอยู่ แต่ทั้งคู่จะยังคงเป็นเพื่อนที่รักและส่งเสริมซึ่งกันและกันอยู่
เอ็ดวิน่ามีความสัมพันธ์นอกสมรสกับคนอื่นที่มิใช่สามีตลอดชีวิตการแต่งงาน และไม่คิดที่จะปกปิดดิกกี้หรือแอบมีความสัมพันธ์แบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ แต่อย่างใด ดิกกี้รู้เรื่องที่เอ็ดวิน่ามีชู้รัก และยอมรับคนเหล่านั้น มิหนำซ้ำยังพัฒนาความสัมพันธ์กับชู้รักบางคนของภรรยาตัวเองจนกลายเป็นเพื่อนและให้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวด้วย ถึงขั้นที่ไปฉลองครบรอบวันแต่งงานของตัวเองกับชู้รักของภรรยาด้วยการไปชมภาพยนตร์
1
ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาคู่นี้จึงเป็นความสัมพันธ์แบบเปิด ที่ดิกกี้อธิบายว่า “เอ็ดวิน่าและผมใช้ชีวิตตลอดการแต่งงานของเราไปกับการขึ้นบนเตียงของคนอื่น” ดังนั้นต่างฝ่ายต่างก็มีชู้รักของแต่ละคนที่สลับสับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ แต่ในแง่จำนวนแล้วฝ่ายดิกกี้ไม่ได้เสี้ยวของเอ็ดวิน่า
เลดี้พาเมล่าเขียนหนังสืออัตชีวประวัติที่อธิบายว่าเอ็ดวิน่าแม่ของตัวเองนั้นเป็น “คนกินผู้ชาย” และชู้รักจำนวนมากของแม่ก็รับช่วงกันเป็น “คุณลุง” ตลอดวัยเด็กของเธอ เป็นทอด ๆ เธอห่างเหินกับเอ็ดวิน่าผู้เป็นแม่ เพราะเอ็ดวิน่าเลือกเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วโลกกับคู่รักมากกว่าที่จะทำหน้าที่เป็นแม่ของลูก
เมื่อดิกกี้ได้รับแต่งตั้งให้มีบรรดาศักดิ์เป็นเอิร์ลเมาท์แบตแทนแห่งพม่า เอ็ดวิน่าก็ได้เป็นเลดี้เมาท์แบตแทนแห่งพม่าตามไปด้วย
เอิร์ลและเลดี้เมาท์แบตแทนแห่งพม่า อุปราชแห่งอินเดีย (ภาพ: The Telegraph)
• เอ็ดวิน่ากับเนห์รู
ชายที่เอ็ดวิน่ามีความสัมพันธ์ด้วยที่เป็นบุคคลที่โด่งดังมากที่สุดและอื้อฉาวมากที่สุดคือ ยวาหาร์ลาล เนห์รู นายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดีย
เอ็ดวิน่ากับดิกกี้เจอกับเนห์รูตั้งแต่ปี 1946 ที่สิงคโปร์แต่จุดเริ่มต้นความรักต้องห้ามนี้เมื่อดิกกี้ผู้เป็นสามีได้รับแต่งตั้งจากกษัตริย์จอร์จที่ 6 ให้เป็นอุปราชแห่งอินเดียตามคำแนะนำของนายกรัฐมนตรีคลีเมนต์ แอทลี (Clement Attlee) เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ปี 1947 ซึ่งเป็นช่วงเดือนท้าย ๆ ที่บริติชอินเดียหรือบริติชราชจะยังเป็นอาณานิคมของอังกฤษ โดยทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยในการเปลี่ยนผ่านบริติชราชให้เป็นเอกราชก่อนวันที่ 30 มิถุนายน ปี 1948
เอ็ดวิน่าพบกับเนห์รูอีกครั้งเมื่อปี 1947 ที่นิวเดลี ความสัมพันธ์ระหว่างเอ็ดวิน่ากับเนห์รูจึงเริ่มจริงจังในช่วงเวลานี้ และเป็นความรักในวัยที่เอ็ดวิน่าอายุล่วงไปเป็นสี่สิบกว่าปีแล้ว ฝ่ายเนห์รูเป็นพ่อม่ายเมียตายและไม่ได้แต่งงานใหม่ อายุปาไป 68 ปี แก่กว่าเอ็ดวิน่านับสิบปี
หลังอินเดียได้รับเอกราช เอ็ดวิน่ากับนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศอินเดียใกล้ชิดกันมากขึ้นและใช้เวลาด้วยกันมากขึ้น ทั้งแสดงพฤติกรรมโรแมนติกต่อกันและแสดงความชื่นชมซึ่งกันและกันอย่างเป็นที่ประจักษ์ จึงทำให้เกิดการคาดเดากันไปต่าง ๆ นานา แต่ไม่มีใครรู้ว่ารักโรแมนติกนี้พัฒนาไปจนมีความสัมพันธ์ทางเพศหรือไม่
เลดี้พาเมล่ายอมรับว่าแม่ของเธอมีความสัมพันธ์แบบโรแมนติกกับเนห์รูจริง แต่ระบุว่าเป็นความสัมพันธ์ทางใจไม่ใช่ความสัมพันธ์ทางกาย และเป็นไปได้ยากที่ทั้งคู่จะมีเวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสอง เพราะต่างรายล้อมไปด้วยผู้คนตลอดเวลา ทั้งเจอกันตามงานสังคม หรือทั้งพบปะกันในสถานที่อื่นเพราะเต็มไปด้วยตำรวจ เจ้าหน้าที่ คนรับใช้
ส่วนปฏิกิริยาของดิกกี้ต่อความสัมพันธ์นี้คือทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไป และดีสำหรับดิกกี้ ที่ภรรยาของเขาเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นหลังรักกับเนห์รู ไม่ใช่สาวสังคมที่ปาร์ตี้หนักเต้นรำจนดึกดื่นอีกต่อไป แต่หันมาอุทิศตนเพื่องานการกุศลมากขึ้น
เราสามคน ดิกกี้ เนห์รู และเอ็ดวิน่า (ภาพ: National Portrait Gallery)
ดิกกี้เคารพและชื่นชมเนห์รู มิหนำซ้ำยังบอกว่าเป็นความสัมพันธ์แบบเราสามคนที่เป็นสุข และความสัมพันธ์ระหว่างภรรยาของเขากับเนห์รูก่อให้เกิดประโยชน์ในทางการดำเนินนโยบายของอังกฤษต่ออินเดีย เพราะเขาได้นายกรัฐมนตรีอินเดียมาเป็นพันธมิตรถึงในบ้านของตัวเอง และความสนิทสนมของเอ็ดวิน่ากับเนห์รูจะช่วยให้เขาล้วงลึกและรับรู้ข้อมูลของอินเดียมากขึ้น
เมื่อต้องแยกจากกันหลังจากหน้าที่ของสามียุติลง เอ็ดวิน่าต้องการมอบแหวนมรกตให้กับเนห์รู แต่รู้ว่าเขาคงไม่สามารถรับไว้ได้ จึงมอบแหวนให้แก่ลูกสาวของเนรูห์แทน และบอกไว้ว่าถ้าเกิดเนห์รูประสบปัญหาทางการเงิน ให้ลูกสาวนำแหวนไปขายและนำเงินไปให้พ่อ
ในวันที่จัดงานเลี้ยงอำลาครอบครัวเมาท์แบตแทน เนห์รูพูดกับเอ็ดวิน่าว่า “ไม่ว่าเธอจะเดินทางไปไหน เธอได้นำความปลอบประโลมใจ เธอได้นำความหวังและกำลังใจมาด้วย”
หลังจากกัน ทั้งคู่ติดต่อกันทางจดหมาย เอ็ดวิน่าไม่เคยปกปิดจดหมายที่เธอเขียนถึงและได้รับจากเนห์รู ทั้งสองคนติดต่อกันทางจดหมายเป็นเวลานานถึง 12-13 ปีเลยทีเดียว ต่างฝ่ายต่างเทียวมาเยี่ยมกันตลอด เนห์รูมาเยี่ยมเอ็ดวิน่าที่อังกฤษ เอ็ดวิน่าไปเยี่ยมเนห์รูที่อินเดียทุกปี ซึ่งเป็นหลักฐานที่สามารถระบุได้ว่าอย่างน้อยที่สุดสองคนนี้มีความสัมพันธ์ทางใจต่อกัน
เอ็ดวิน่าสิ้นชีพไปก่อนในวัย 58 ปีที่เกาะบอร์เนียวเมื่อปี 1960 ระหว่างการเดินทางไปตะวันออกไกลเพื่อการกุศล โดยพบว่าเธอนอนเสียชีวิตบนเตียง ข้างเตียงของเธอเต็มไปด้วยจดหมายของเนห์รูที่เธอเก็บไว้ ร่างของเธอถูกนำกลับไปฝังที่อังกฤษ เนห์รูไว้อาลัยให้แก่เอ็ดวิน่าด้วยการส่งเรือรบไปวางพวกหรีดดอกไม้ลงน้ำเพื่อแสดงการไว้อาลัยให้แก่เอ็ดวิน่า
เนห์รูเสียชีวิตในอีก 4 ปีต่อมา แม้ว่าเขาจะไม่ได้แต่งงานใหม่เลยหลังจากที่ภรรยาเสียชีวิต แต่เขาก็มีความสัมพันธ์กับหญิงอื่นหลายคนอยู่ บางรายอยู่ด้วยกันแต่ไม่ได้แต่งงาน
ส่วนดิกกี้เสียชีวิตจากการถูกลอบสังหารด้วยการวางระเบิดโดยกลุ่มก่อการร้าย IRA ซึ่งไม่ได้สร้างความโศกเศร้าเฉพาะกับครอบครัว แต่ยังส่งผลต่อเจ้าชายฟิลิป ผู้เป็นหลานชายที่ดิกกี้มีบทบาทปลุกปั้นและผลักดันจนได้อภิเษกกับว่าที่ราชินีอังกฤษ และส่งผลต่อเจ้าชายชาร์ลส์ที่ดิกกี้มีบทบาทใกล้ชิดเป็นทั้งปู่น้อยและที่ปรึกษา
เอ็ดวิน่ากับเนห์รู (ภาพ: BBC)
อ้างอิง:

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา