8 พ.ย. 2022 เวลา 06:48 • ศิลปะ & ออกแบบ
Can we be Monalisa?
เราจะเป็น Monalisa บ้างได้ไหมนะ
ไม่ใช่อาร์ตสุด ๆ แต่หมายถึงเป็นคนที่เจ๋งสุด ๆ
แบบภาพวาดที่โด่งดังสุด ๆ ในโลกภาพนี้
เบ็นว่าได้นะ ... ได้อย่างไร ไปดูกัน
ที่เขียนเรื่องนี้ ไม่ได้อยู่ ๆ ก็เกิดปิ๊งแว้บอะไรขึ้นมาเองหรอกค่ะ พอดีเมื่อวานนี้ได้ฟังย้อนหลังรายการ Journey of Art ทางช่อง YouTube: Round Finger ของคุณเอ๋ EP แรกคุยกับ อ.ภากร มังกรพันธุ์ เรื่อง “ทำไมโมนาลิซ่าถึงเป็นภาพวาดที่โด่งดังที่สุดในโลก” แล้วคิดว่าเออ Factor ที่อาจารย์ภากรและคุณเอ๋คุยกันนี่ ถ้าเรามี มันก็ทำให้เรา หรืองานของเรา หรือสินค้าของเรา เจ๋งและเป็นที่ต้องการของตลาดได้เหมือนกันเนาะ เลยอยากเขียนแชร์เรื่องนี้ค่ะ 😊
ดังนั้น #BenNote ฉบับนี้จะไม่ได้บันทึกเรื่องราวแบบละเอียดยิบจาก Podcast ตามสไตล์เบ็นโน้ตเหมือนที่เคยนะคะ แต่จะชวนคุยเรื่อง Factor ต่าง ๆ ที่ทั้ง 2 ท่านแชร์ค่ะ ใครไม่อยากคุยอยากไปดูคุณเอ๋คุยกับ อ.ภากร ซึ่งสนุกมากตามไปได้ที่นี่เลยค่า
ส่วนใครอยากลองคิดไปด้วยกันก็ตามเบ็นมานะคะ ออกตัวแรงก่อนว่าไม่ได้เชี่ยวชาญทั้งศิลปะและประวัติ Davinci / Monalisa นะคะ ที่ชวนคิดนี่ชวนจากเท่าที่ได้ฟัง + กับความรู้เท่าหางอึ่งแคระของเบ็นนะคะ ถ้ามีอะไรผิดพลาดอย่างไรขออภัยไว้ตรงนี้เลยค่ะ
ก่อนอื่นมาเล่าก่อนว่าอ.ภากรกับคุณเอ๋คุยว่าอะไรบ้างนะที่เป็นปัจจัยให้ Monalisa ดังเปรี้ยงยืนหนึ่งเบอร์นี้ มันมี 5 ปัจจัยค่ะ
1. Special Works from Special Person
2. Rarity
3. Meaningfulness
4. Mystery
5. Surprise
มาเริ่มกันไปทีละข้อเลยนะคะ
1.
Special Works from Special Person
ใครเคยอ่านประวัติ Davinci ต้องเห็นด้วยแหละว่า Special จริง คนอะไรสนใจได้ทุกเรื่อง เก่งหลายเรื่องที่มันไม่น่าจะรวมอยู่ในตัวคน ๆ เดียวกันได้ เป็นศิลปิน เป็นวิศวกร เป็นสถาปนิก เป็นนักวิทยาศาสตร์ นักธรรมชาติวิทยา นักกายวิภาค นักคณิตศาสตร์ นักดาราศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ... และอื่น ๆ อีกมากมาย ... คือตอนเขียนจดหมายสมัครงานกับเจ้าเมือง Davinci เขียนว่า “เขาเป็นอะไรก็ได้ที่อยากให้เป็น” อ่ะ!!! เป็น Resume ที่เจ๋งโคตร ๆ เลยเนาะ (อยากเขียนแบบนี้ได้บ้าง 555)
อ.ภากรให้คำนิยามว่า Davinci เป็น Inventor Thinker คือเป็นนักคิดสิ่งประดิษฐ์ ... แบบว่าคิดและ Sketch ไว้เป็นร้อยเป็นพันเรื่อง แต่ส่วนใหญ่ยังไม่ได้มี Prototype ออกมา คือยังไม่ออกมาเป็นสิ่งประดิษฐ์
หลายเรื่องก็นำสมัยจากสมัยของ Davinci เองไปมาก อย่างเรื่องการบินของมนุษย์ Davinci เห็นนกแล้วคิดว่ามันน่าจะมี “เครื่องที่ทำให้มนุษย์บินได้” ได้เหมือนกัน แล้วก็ Sketch ไว้ อีก 400 ปีต่อมามนุษย์ถึงจะเริ่มประดิษฐ์เครื่องบินกันจริง ๆ ... ล้ำเนาะ
หลายเรื่อง Davinci ค้นพบก่อนการค้นพบและใช้งานจริง ๆ ในเรื่องนั้นจะเกิดขึ้นในแวดวงนั้น เช่น Davinci สนใจกายวิภาคของมนุษย์มากเลยชอบผ่าศพคนเพื่อศึกษาการทำงานของกล้ามเนื้อ เส้นเลือด เส้นเอ็น ... (มันเป็นความสนใจส่วนตัว!!! ทำไมสนใจอะไรแบบนี้ ... อืม ... ก็ Davinci อ่ะเนาะ) คือถึงขั้นลอกจากผิวหน้าลงไปทีละชั้น แล้ววาดภาพเก็บไว้ทีละชั้นจนถึงกระโหลก ว่ากันว่าศึกษากล้ามเนื้อที่มีผลกับรอยยิ้มจนสามารถวาดออกมาเป็น Monalisa ที่สุด Special อ่ะค่ะ
อ.ภากรเล่าว่ามีกรณีนึงที่มีคนตายแล้ว Davinci สงสัยว่ามีอะไรในเส้นเลือดที่ไม่เหมือนคนปกติหรือเปล่า ก็ผ่าแล้วเทียบกับของเด็กดู ปรากฏว่าเจอสิ่งที่เรียกกันในภายหลังว่า “ลิ่มเลือด” ... เรื่องนี้ปรากฏในบันทึกของ Davinci ก่อนเอกสารทางการแพทย์นานมากเลย
เบ็นว่า Character ที่สำคัญมากของ Davinci คือช่างสังเกตและสนใจใฝ่รู้ในทุกเรื่อง เมื่อสนใจแล้วจะมุ่งมั่น เรียกว่าหมกมุ่นเลยดีกว่า หมกมุ่นศึกษา เรียนรู้ จด บันทึก คิดต่อยอดไปด้วยจินตนาการที่สูงมาก ทำให้ Davinci เป็นคนพิเศษที่มีความรู้หลากหลาย และเชื่อมโยงเอาความรู้ต่าง ๆ มาใช้ในงานแต่ละด้านที่ Davinci ทำให้มัน so cool ขึ้นด้วย ...
การหมกมุ่นบ้าผ่าศพ การสังเกตผู้คนในโรงอาบน้ำชายทุกวันเสาร์ การสังเกตผลของแสงที่ตกกระทบสิ่งต่าง ๆ หรือตกกระทบกับกระจกตาของเรา และอื่น ๆ อีกมากมายที่ Davinci เฝ้าสังเกต สงสัย ตั้งคำถาม หาคำตอบ ทำให้การวาดภาพมนุษย์ของ Davinci เหนือชั้นกว่าคนอื่นมาก
และความสามารถในการวาดภาพก็ทำให้งานด้านอื่น ๆ ของ Davinci ล้ำมากขึ้นไปอีก ยิ่งทำงานและเรียนรู้หลายด้านมากเท่าไหร่ความสามารถและอัจฉริยภาพของ Davinci ก็หาใครเทียบได้ยาก หรือ หาตัวจับยากมากขึ้นเท่านั้น
อ่านแล้วคิดถึงอะไรเหมือนกันไหมคะ ใช่ค่ะ ... ถ้าเป็นสมัยใหม่ก็คือคำพูดของศาสดาของพวกเรานั่นแหละ พี่ Jobs กล่าวไว้ว่าให้เราสะสม Dots แล้ว Dots จะเชื่อมโยงต่อกันเป็นภาพในอนาคต เราสะสม Dots ย้อนหลังไม่ได้ ... ไม่มีใครรู้ว่า Dots ไหนจะได้ใช้เมื่อไหร่ เรามีหน้าที่สะสมให้ได้มากที่สุด เพื่อให้เราพร้อมที่สุดสำหรับโอกาสที่อาจจะวิ่งเข้ามาในอนาคต
#ชวนคิด1#
Can we be Monalisa?
และนี่ก็เป็นเรื่องแรกที่อยากชวนคิดค่ะ เราจะเป็น Monalisa ได้ไหม ข้อแรกคงต้องถามตัวเองว่าเรามีความ “พิเศษ” อย่างไร เราเป็นผลงานของ “การสะสม” ที่มากกว่าคนอื่นแค่ไหน แตกต่างจากคนอื่นอย่างไร อย่าลืมบวกทักษะ (การชำแหละศพ) กับจินตนาการ (การวาดสิ่งที่น่าจะมีในอนาคต) เข้าด้วยกันนะคะ นั่นน่าจะเป็นเทคนิคสำคัญที่จะทำให้เรา “พิเศ๊ษพิเศษ” แบบใส่ไข่ 3 ฟอง ทะเลรวมมิตรอ่าวไทยจีนใต้แปซิฟิคอินเดียตังเกี๋ยอันดามันกันไปเลยค่ะ
#หาส่วนผสมพิเศษของเราให้เจอนะคะ
2.
Rarity
อ.ภากรเล่าว่างานของ Davinci ทุกชิ้นดังและราคาสูงเพราะมันหายาก ทั้งโลกนี้มีงานของ Davinci แค่ 20 กว่าชิ้น (หมายถึง Painting นะคะ) อ.เปรียบให้ฟังว่าก็เหมือน “ไม้ด่าง” ตอนนี้นั่นแหละ ราคาพุ่งลิบลิ่วทั้ง ๆ ที่มันก็ต้นไม้สกุลเดียวกัน แต่ด่างกะไม่ด่างราคาหนีกันไกลหลายหลัก เพราะ “ความด่าง” มันหายากนั่นเอง
ยิ่งงานของ Davinci ใช้เทคนิคเฉพาะที่เรียกว่า Sfumato ที่ทำให้ภาพสมจริง มีมิติ มีชีวิต งดงาม ไม่เหมือนศิลปินในช่วงเดียวกัน ทำให้งานมี “ความด่างพิเศษ” หนักเข้าไปอีก มันเลยดังม๊าก และมูลค่าสูงมว๊ากกกกกก
ที่สำคัญรูปนี้ (Monalisa) เป็นรูปเดียวที่ Davinci หอบหิ้วไปฝรั่งเศสด้วยในช่วงบั้นปลายของชีวิต ... เนี่ย Rare ใน Rare เข้าไปอีก
Are you rare? … ไม่ใช่ดิบนะ (อันนั้นน่าจะง่าย 555) แต่ความ “หายากและเป็นที่ต้องการ” นี่สิยาก เราเป็นแบบนั้นไหม
#ชวนคิด2#
Can we be Monalisa?
เรามีความ Rare Item ไหม … คือ “เรา” ก็คงมีคนเดียวในโลกแหละ พลูด่างทุกต้นก็มีต้นเดียวในโลกเนาะ แต่พลูด่างที่จะราคาสูง เป็นที่ต้องการมันต้องมีความ Unique มันต้องด่างชมพู มันต้องฉลุด่าง เรามีลายฉลุไหม เรามีสีพิเศษหรือเปล่า
Unique Selling Point หรือ Specialty ของเราคืออะไร
#รังสรรค์_Sfumato_ของเราให้ได้นะคะ
3.
Meaningfulness
ภาพ Monalisa ต้องมีความหมายพิเศษอะไรกับ Davinci มันจึงเป็นเพียงภาพเดียวที่ Davinci นำติดตัวไปด้วยทุกที่ ซึ่งก็มีการตีความกันไปหลายทฤษฎี บ้างพยายามหาว่าเป็นภาพของใคร ผู้หญิงคนไหนกันนะ บ้างก็ว่านี่เป็นรูปตัว Davinci เองนี่แหละในภาคผู้หญิง (Davinci เป็นเกย์ ซึ่งเปิดเผยไม่ได้ในสมัยนั้น นี่อาจเป็นภาพที่ Davinci อยากเป็น) เอ๊ะหรือจะเป็นหนึ่งในผู้ช่วยของ Davinci ในภาคผู้หญิง (ผู้ช่วยคนนี้ก็คือคนรักของ Davinci นั่นเอง)
สรุปว่ามันมีความหมายต่อ Davinci แล้วมันก็เลยมีความหมายต่อ FC ของ Davinci ด้วย
#ชวนคิด3#
Can we be Monalisa?
ความหมายของการมีอยู่ของเราคืออะไร มันมีความหมายต่อเราแล้วมันมีต่อนายจ้าง หรือลูกค้าของเราไหม ถ้าไม่มีใคร Care เราอาจจะต้องหาความหมายใหม่เพื่อให้ Purpose ของเราเป็น Shared Purpose กับคนที่จะมาเป็นแฟนของเรานะคะ
อันนี้มันคือเรื่อง Makoto Marketing หรือการตลาดด้วยหัวใจนั่นเองค่ะ (หาอ่านได้นะคะ ของอาจารย์เกด กฤตินี พงษ์ธนเลิศค่ะ) เขาว่าทุกธุรกิจควรเริ่มต้นจากหัวใจ จาก Purpose ที่ต้องการแก้ปัญหาใด ๆ ของลูกค้า
Monalisa ดีต่อใจ มีความหมายในเชิงสัญลักษณ์ของความรักความผูกพันบางอย่างที่ Davinci มีต่อภาพนี้ แล้วเราล่ะดีต่ออะไร (ของลูกค้า)
#หาความหมายของเราต่อลูกค้าให้เจอนะคะ
4.
Mystery
อันนี้เริ่มตั้งแต่เรื่องที่ต่อเนื่องมาจากข้อที่แล้วเลย Monalisa ลึกลับตั้งแต่ว่าเธอเป็นใคร ทำไมต้องวาดคนนี้ แล้วคนยังสงสัยเรื่องอื่น ๆ อีกมากมายเช่น
- Monalisa ยิ้มให้ใคร
- Monalisa อยู่ในอารมณ์ไหนเศร้าหรือ in a good mood
- Landscape ด้านหลังคือที่ไหน Davinci ต้องการสื่อความหมายอะไรไหม
- หรือเธอเป็นคนท้อง (มีคนไปตีความจากเสื้อผ้าว่าเป็นแบบของคนท้อง)
- ทำไมนางไม่มีคิ้ววววว (นางเคยมีนะเขาว่า ... มีบันทึกของ Giorgio Vasari บรรยายว่า Davinci เขียนคิ้ว Monalisa ได้สวยมาก เหมือนขนคิ้วงอกออกมาจากภาพจริง ๆ เลย สันนิษฐานกันว่าตอนซ่อมภาพ ช่างลืมเก็บคิ้วไว้ เผลอลบไป นางเลยไม่มีคิ้วในปัจจุบัน ... โถววววว)
- Davinci วาดยังงัยให้ Monalisa ยิ้มและไม่ยิ้มได้ในภาพเดียว เพียงแต่เราเปลี่ยน Focus (ลองดูนะคะถ้าเรามองที่ตา Monalisa จะยิ้ม แต่ถ้าเรามองที่ปากเธอจะไม่ยิ้มค่ะ ... เพิ่งค้นพบตอนที่ฟังนี่แหละ เห้ยยยยย เจ๋งมากอ่ะ เทพพพพพ)
ซึ่ง Davinci ก็ไม่ได้เขียนอธิบายภาพไว้ (ส่วนใหญ่ศิลปินก็จะไม่เขียนแหละ) เพื่อให้เกิดการตีความไปได้หลากหลาย ความลึกลับมันมาพร้อมความคลุมเครือ ๆ แบบนี้แหละ อ.ภากรใช้คำว่า Subtlety ... อิ Subtlety นี่แหละคือความสนุกสนานของการเสพงานศิลป์ (คุณเอ๋บอกว่าให้นึกถึงภาพ Abstract หรือเพลงบรรเลงที่ไม่มีเนื้อ มันเปิดให้เราใช้จินตนาการไปได้กว้างไกลมาก ๆ และคุณเอ๋ก็มีความเห็นเดียวกันว่า “มันสนุกตรงนี้แหละ” ... คนหัวเหลี่ยมนิด ๆ แบบเราจะแอบคิดว่า ... #หรา 555)
ที่ลึกลับไปกว่านั้นคือนางมีความโดนขโมยออกจากพิพิธภัณฑ์ไปจ้ะ แล้วมีคนมาให้ข่าวว่าเป็นคนขโมยไปและฉันทำไว้อีก 6 Copy นะ ... เอ้า!!! ทีนี้ก็เลยเกิดเมฆหมอกลึกลับขึ้นในพิพิธภัณฑ์เลยว่าอีที่ได้คืนมานี่มันของจริงไหมวะ ปัจจุบันน่าจะยังพิสูจน์กันไม่แล้วเรยยยย
ส่วนหนึ่งของการพิสูจน์คือการใช้ computer scan ซึ่งทำให้เห็น layer ข้างใต้ของภาพปัจจุบันเข้าไปอีกว่ามีสัญลักษณ์ มีตัวเลข เอ๊ะมันหมายความว่างัยนะ (ถ้าเป็นบ้านเราก็คงส่องหวยมันมันพะย่ะค่ะ 555)
ยิ่งมีประเด็นให้ถกถาม ถกเถียงมากเท่าไหร่ Monalisa ก็ยิ่งดังมากขึ้น ๆ ... เอ๊ะหรือนี่จะเป็นแผน PR ที่ Davinci วางไว้กันนะ (555 ไม่ใช่ละ คงไม่ใช่ Davinci ... แต่อาจเป็นมือมืดในวงการศิลปะก็ได้เนาะ)
ความลึกลับน่าค้นหาของ Monalisa ทำให้มีคนแต่งเพลง Monalisa เลยนะ ซึ่งก็ตีความหมายได้หลายทางเหมือนตัวนางด้วย เป็นเพลงของ Nat King Cole ค่ะ เบ็นแปะ link ให้ท้ายโน้ตนี้นะคะ
#ชวนคิด4#
Can we be Monalisa?
เรามี Item ลับให้ลูกค้าได้รับอะไรที่ Beyond Expectation ไหม เบ็นทำงานในสาย Event บอกเลยว่าคติที่ยึดถือมาตลอดชีวิตคือแค่ Meet Expectation หรือ Create Satisfaction มันไม่พอ เพราะนั่นคือ for granted … ลูกค้าควรได้อยู่แล้ว ใคร ๆ ก็ทำกัน สิ่งที่เราต้อง Achieve ให้ให้คือความ Wow ในใจลูกค้า ... เราต้องไปให้ beyond expectation ให้ได้
พี่แก่น (Idol คนนึงในชีวิตเบ็น และเป็นหนึ่งใน Renaissance Man (มนุษย์หลากทักษะ) ที่มีอยู่จริงในชีวิตเบ็น) พี่แก่นเคยสอนให้เราทุกคน good to great ค่ะ นั่นคือแค่ดีไม่พอต้องดีเยี่ยม และเราดีกว่าเดิมได้ในทุก ๆ วัน
Davinci ดีกว่าเดิมได้ด้วยการตั้งคำถาม ไม่มีคำถามอะไรที่เล็กเกินไป
- ทำไมท้องฟ้าถึงเป็นสีฟ้า
- ทำไมปลาถึงว่ายน้ำเร็วกว่านกที่บินบนฟ้า
- ปอดหมูขยายด้านกว้างอย่างเดียวหรือขยายทุกด้าน
#หาคำถามของตัวเองให้เจอทุกวันนะคะ
5.
Surprise
สรุปนางเป็นใคร? หรือจะเป็นตัว Davinci เองจริง ๆ เรื่องนี้คงเถียงกันต่อได้ไม่สิ้นสุด Davinci เองก็ไม่อยู่ตอบเราแล้ว ... ความสนุกอยู่ตรงนี้ คือไม่มีใครผิดไม่มีใครถูกแล้วแต่จินตนาการจะพาไปกันเลยท่านผู้ชม เบ็นว่าถ้า Davinci มองมาจากบนฟ้า ก็คงสนุกมากเหมือนกันที่เห็นงานของตัวเองแตกหน่อต่อยอดออกไปกว้างไกลขนาดนี้ 😊
ไม่ว่า Monalisa จะเป็นใคร ใช่ Davinci เองหรือไม่ สิ่งหนึ่งที่คุณเอ๋เปิดประเด็นไว้ได้น่าสนใจคือศิลปินทุกคนมักมีตัวเองอยู่ในงาน คือไม่ต้องมีลายเซ็นต์ก็รู้สึกได้ว่านี่งานคนนี้ ความเป็น Davinci ในงานนี่แหละที่มีอะไรให้เราค้นพบและ Surprise ได้ตลอดเวลาไม่รู้จบจริง ๆ
#ชวนคิด5#
Can we be Monalisa?
มีตัวตนของเราในงานของเราไหม ...
เบ็นเพิ่งดู Series เรื่อง Code Black จบไปค่ะ Angus นักศึกษาแพทย์ฝึกหัดพยายามทำตัวเลียนแบบ ดำเนินรอยตาม DR. Campbell อาจารย์ศัลย์มือทองของโรงพยาบาล จนล้ำเส้น DR. Guthrie อาจารย์หมออีกท่าน พอถูกเตือนก็ตอบว่า Campbell สอนมาแบบนี้ เค้าจะเป็นแบบอาจารย์เค้า ... Guthrie จึงเตือนว่าคุณไม่มีทางเป็น Another Campbell ได้ในชีวิตนี้ มีแต่เป็นหมอที่ในแบบของคุณเอง คุณต้องค้นหา “แบบของตัวเอง” ให้เจอ นั่นแหละคุณจึงจะประสบความสำเร็จ
กลับมาที่ Can we be Monalisa? แน่นอนว่าเราคงไม่ได้สวยลึกลับน่าค้นหาเหมือนโมนาลิซ่า เพราะโมนาลิซ่ามีแค่หนึ่งเดียว เราคงเก่งไม่ได้กระผีกของ Davinci เพราะ Davinci ก็มีเพียงหนึ่งเดียว แต่เราเป็น The best version of me และใส่ตัวตนที่ดีที่สุดนั้นเข้าไปในงานของเราได้นะคะ
ถ้าเรารักงานเหมือนที่เรารักตัวเอง เราจะไม่มีวันทำให้ตัวเองไม่เจ๋งหรอก จริงไหมคะ
#หาตัวตนให้เจอนะคะ
ขอจบด้วยเพลงของ Nat King Cold ที่ อ.ภากรพูดถึงค่ะ เพราะมาก ๆ และพอตีความหมายในเนื้อเพลงอีกแบบ ... ถ้า Monalisa เป็นสาวที่หลงรักอยู่ หรือฝันที่เราตามหาอยู่ ... ก็จะกินใจไปอีกมิตินะคะ ...
Are you warm, are you real, Monalisa?
Or just a cold and lonely, lovely work of art?
แม้แต่เพลงที่ได้แรงบันดาลใจมาจากภาพ ยังมี Character ของ Monalisa เลย ... เฉียบ
เบ็นเชื่อว่าทุกคนเป็น Monalisa ได้ ... Let’s get it real กันนะคะ
#BenNote #bp_ben
#benji_is_learning #benji_is_drawing
#Monalisa #Davinci
#MonalizaStyle #RoundFinger #Inspiration
โฆษณา