16 พ.ย. 2022 เวลา 00:36 • ความคิดเห็น
เรื่องของยึดถือ อารมณ์ที่พาจิตเราไปยึดถือ อารมณ์สั่งให้จิต เหมือนเราได้ยิน เสียง สมมุติว่า อยู่ดี ..มีใครสักคน เช่น เพื่อนเราหรือเจ้านายเรา มายืนตรงหน้าว่าเอาๆ ในขณะที่เราทำงานเพลิน..เพลิน ..เมื่อมีเสียงมากระทบหูปุ๊บ …ก็มีอารมณ์เกิดขึ้น ..เสียงใครมาว่าเรา ..อารมณ์หงุดหงิดไม่ชอบใจเกิดขึ้น ..ก็หันหน้าหรือเงยไปมอง ..อารมณ์ที่เกิดขึ้นมา ทำให้กาย ตาเรานิ่งเฉย ไม่ได้ ต้องหันไปมอง เก็บภาพ ..เก็บเสียงเข้ามา ..เข้ามาสู่จิต บันทึกลงไปสู่ธาตุทั้งสี่ เป็นสัญญาเกิดขึ้น ..
หากเรามีอารมณ์โกรธโมโห ใช้กายวาจาใจ ออกไปตามอารมณ์ ตาเราหูเรา ก็บันทึกการกระทำของเราเองเก็บเข้ามาอีก สิ่งนั่นเรียกว่า กรรม ที่เราสะสม คล้องเวรกรรมกัน เรื่องของวิญญาณหกนั้น เป็นตัวเก็บบันทึก ..ทั้งดีชั่วของเราไปตลอดชีวิต สิ่งที่เก็บบันทึก เป็นลักษณะเหมือนสีดำ สีม่วง สีที่มีการจองเวร อาฆาตพยาบาท ..ต้องมีการชดใช้กัน .. เป็นเจ้ากรรมนายเวรกัน
แล้วก็ยังมีเรื่องราวที่เราบันทึกเก็บไว้อยู่กับธาตุทั้งสี่..ทุกชาติที่เกิดมาสะสมมา..ที่จะค่อยไหลออกปรุงแต่งชีวิต ลิขิตไปตามกรรม.. เกิดมาจะแก้ไข นิสัยกรรม หนีกรรม..ในสิ่งเหล่านี้ หรือไม่แก้ไขก็อยู่ที่บุญกุศลบารมีที่เคยทำมาอีกเหมือนกัน ไม่เคยมีนิสัย..สร้างบุญกุศลมา เกิดมามีกายเป็นมนุษย์ ก็ย่อมไม่ใส่ใจ ไม่สนใจสร้างบุญกุศลบารมี ก็มีแต่อารมณ์โลภโกรธหลง..นำพาจิตเท่านั้นเอง ยินดีพอใจในสิ่งที่อารมณ์ส่งให้ ..ยินดีกับมายาของโลก ..ไปวันๆ กินกับนอน..
นั่นก็เป็นเพราะจิตของเราไม่ระมัดระวัง ไม่ยับยั้งอารมณ์ ..ทำตามอารมณ์ที่เกิดขึ้น ..การบันทึกภาพเสียงอะไร ..มันก็เป็นแต่สีดำสีม่วง ที่เราไม่สามารถเห็นได้ หรือจิตเราเห็นได้ เพราะมันอยู่ในตัวตนของเรา อยู่ในกายเรา ที่ประกอบขึ้นมาด้วยธาตุทั้งสี่
คราวนี้ เมื่อเรานำกายมาประพฤติปฏิบัติธรรม เดินยืนนั่งนอน จิตนิ่ง ..ภาวนาพุทโธขึ้น เราทำไป..เป็นกิริยาที่เรากระทำเพื่อหนีกรรม ..ทำใจทำจิตให้นิ่ง ..เราก็จะคอยๆรู้จัก..อารมณ์ที่มันไหลมาจากธาตุทั้งสี่ อารมณ์ที่เราใช้ ..กิริยาท่าทางกายวาจาใจ จะค่อย่ไหลออกมา .
เราก็ปล่อยอารมณ์นั่นออกไป ลอยออกไป อย่าไปยึด อย่าไปสนใจอารมณ์นึกคิดนั่น ..ให้จิตเราอยู่กับคำภาวนาพุทโธ ใช้กิริยาเดินดีที่สุด เพื่อปลดปล่อย อารมณ์กรรมออกไป ..นั่นก็จะเป็นเรื่องราวของการเรียนรู้จัก ลดละอารมณ์ ที่สะสมอยู่ในเรือนกาย กายเบาจิตเบา
เมื่อเรารู้จักเรื่องราวของ คำว่าเจ้ากรรมนายเวร ที่คล้องกรรมกันมา เราก็บอกกล่าว ทำบุญทำทาน พูดไปเลย เรื่องอื่นเรายังพูดได้ ..เวลาเราสวดมนต์เสร็จ หรือ ทำบุญกรวดน้ำ เพื่อเก็บบันทึกกิริยาดี กายวาจาดีๆ ให้แก่จิตของเรา ..แล้วก็ยังกระจายไปสู่ ..เรื่องราวการอโหสิกรรม ..แก้ไขกรรมของตัวเราเอง จิตของเราเองจะได้ แก้ไขให้สว่างไสวขึ้นมา สิ่งที่ไม่ดีที่เราเก็บมา..จากการใช้กายวาจาใจ คล้องเวรกรรมด้วยอารมณ์ เนื่องด้วยวิญญาณทั้งหก จะได้หลุดลอกออกไป..
เราก็บอกไป ทำกายนิ่ง จิตนิ่ง บอกตัวเอง จิตข้าพเจ้าอาศัยอยู่ในเรือนกายของคุณบิดามารดา แล้วพูดให้หูเราได้ยินเบาพอ ..กรรมใดที่ข้าพเจ้าได้ผิดพลาดพลั้งไปด้วยกายวาจาใจ ทั้งอดีต และปัจจุบัน ข้าพเจ้าของขมา โปรดรับคำขมาของข้าพเจ้าด้วย ขออย่าได้คล้องเวรกรรมกันต่อไปอีกเลย จิตดวงใดที่พ้นจากเวรกรรมไปแล้ว ก็ขอให้ไปสู่สถานที่มีความสุขความเจริญ จิตดวงใดที่รับกรรมอยู่ ก็ขอให้หบุดพ้นจากเวรกรรม แล้วขอให้จงไปสู่สุคติภพที่มีความสุขความเจริญเทอญ
เรื่องของกรรม ..เรื่องเจ้ากรรมนายเวร..เมื่อเราฝึกหัดปฏิบัติธรรม เราก็จะค่อยๆได้รู้จัก ..ถ้าไม่มีการประพฤติปฏิบัติธรรมขึ้นมา จิตเราก็ไม่สามารถเข้าไปเรียนรู้จัก ได้ก็เหมือนคนทั่วไป ที่ไม่รู้จักอารมณ์ โลภโกรธหลง นำพาไปสร้าวแต่กรรม สร้างทุกข์ให้แก่จิตไม่มีหยุดพัก ตั้งแต่ลืมตาหลับตา
โฆษณา