หลังจากนั้นก็เข้าสู่ยุคกลาง (Middle Age) ซึ่งรู้จักกันในอีกชื่อว่า Dark Age คือเป็นยุคที่ไม่ต้องหืออือค่ะ ศาสนจักรเป็นใหญ่ เป็นศูนย์กลางของจักรวาล ทุกอย่างต้องเป็นไปตามคำสอนของพระเจ้า (ตามที่ศาสนจักรจะอ้างล่ะนะคะ)
ชื่อเล่นว่า Dark Age หรือยุคมืดไม่ได้มาเล่น ๆ ค่ะ มันเป็นคำเปรียบเทียบของความมืดมนแห่งปัญญา แห่งศิลปวิทยาการ คือไม่ใช่ว่าคิดไม่ได้นะคะ แต่ต้องคิดไปในทิศทางเดียวกันเท่านั้น ใครคิดต่างก็กลายเป็นพ่อมดแม่มดหมอผีกันไป (ไม่ใช่ Harry Potter อ่ะเนาะ แน่นอนว่าจะไม่ได้เกิดบน Box Office แน่ ๆ ค่ะ 555 แค่เอาตัวให้รอดไม่ถูกเผาให้ได้ก่อนนน)
ซึ่งอิ Dark Age นี่กินเวลายาวน๊านนนนน…นานมากกกก นานถึง 900 ปีเลยทีเดียว (ขุ่นพระ!!) คือตั้งแต่ศตวรรษที่ 5 – 14 นับตั้งแต่การล่มสลายของอาณาจักรโรมัน (the Fall of the Roman Empire) กว่าจะเงยหน้าฟ้าใสกันในยุค Renaissance จำเนียรกาลก็ผ่านไปเกือบพันปีแน่ะค่ะ
มาร์โคโปโลเป็นนักเดินทางคนแรกที่เดินทางไปถึง central Asia >> จีน แล้วเดินทางกลับมาได้ แต่แค่เดินทางคงไม่ดังและไม่มีอิทธิพลกับโลกมากเท่านี้ ถ้ามาร์โคโปโลไม่ได้เขียนหนังสือเล่ามันเอาไว้ด้วยนะคะ หนังสือ The Travel of Marco Polo มีอิทธิพลทำให้ไอเดียการ travel แพร่กระจายออกไปอย่างกว้างขวางมาก เพราะพี่เค้าเขียนบรรยายถึงสิ่งประหลาดมหัศจรรย์ทั้งหลายที่ได้พบ สิ่งที่ไม่มีในบ้านเมืองของตัวเอง
บางเมืองคนตายไป 50-60% ของจำนวนประชากร ยิ่งทางยุโรปมีประเพณี “ฝัง” ไม่ได้เผาศพ โรคเลยยิ่งระบาดง่ายและรุนแรงได้มาก เฉพาะ Italy คนตายไป 1 ใน 3 ทำให้เกิดการล่มสลายและการเกิดใหม่ของเมือง เช่น The Fall of Siena VS The Rise of Florence
กลุ่มที่เริ่มเรืองอำนาจขึ้นมาและมีความสำคัญในยุคนี้คือตะกูล Medici ซึ่งเริ่มสร้างตัวจากการเป็นพ่อค้าวานิช แล้วตั้งธนาคารของตนเองซึ่งประสบความสำเร็จมากสามารถขยายไปทั่วยุโรปในยุคต่อมา เงินมาพร้อมอำนาจตระกูล Medici ขึ้นเป็นเจ้าเมืองในที่สุด
รวยแล้วต้อง celebrate ค่ะ ยุคนี้ยังไงไม่รู้ล่ะนะคะ ยุคนั้น “They used the artists to celebrate themselves” ใช้ศิลปินเพื่อสร้างบารมีให้ตัวเองค่ะ คือรวยเท่ากันจะโชว์เหนือยังไงคะ บ้านนี่สร้างให้ใหญ่เท่ากันตามกันทันได้ แต่ความสวยของบ้านมันเท่ากันไม่ได้ค่ะ บ้านไหนมีศิลปะมากกว่าบ้านนั้นมีบารมี 555
ยุคนี้คนที่มีอำนาจ มีเงิน และกลายเป็นคนที่สั่งสร้างงานศิลปะคือ “พ่อค้า” ... คนรวยนิยมให้ศิลปินสร้างสรรค์ภาพเหมือนของตัวเองขึ้นมา บ้างก็ให้วาดไปอยู่ในภาพของพระแม่มารีและพระบุตร (คือให้วาดตัวเองเป็น saint ว่างั้น) เช่นของ Medici ก็มีภาพ Virgin and Child with St. Anne and members of the Medici family as saints โดย Giovanni Maria Butteri (1540-1606)
Virgin and Child with St. Anne and members of the Medici family as saints by Giovanni Maria Butteri (1540-1606)
Patron หรือผู้อุปถัมภ์คนสำคัญที่อุปถัมภ์ศิลปินไว้จำนวนมากมายหลายสิบชีวิตได้แก่ Lorenzo Medici หรือที่เรียกกันว่า Lorenzo the Magnificent ค่ะ ในซุ้มของพี่ Lorenzo มีศิลปินเจ๋ง ๆ เพียบ อย่างเช่น Michelangelo ที่พี่เค้ารับอุปถัมภ์ตั้งแต่อายุ 14 หรือแม้แต่ Botticelli หนึ่งในอาจารย์ของ Michelangelo ก็ได้รับการอุปถัมภ์จาก Lorenzo
นอกจากรับอุปถัมภ์ศิลปินแล้ว Lorenzo ยังก่อตั้ง The Accademia Platonica di Firenze หรือ Platonic Academy of Florence เพื่อเป็นที่ศึกษาค้นคว้าเอกสารโบราณต่าง ๆ ของกรีกและโรมันด้วย
⭕
7.
Great Idea: Humanist
แนวคิดมนุษย์นิยม
ขอแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับ “The First Renaissance Man” ค่ะ คุณพี่ Leon Battista Alberti (1404 – 1472) พี่ Alberti เริ่มจากการเป็นนักมนุษย์นิยม คือแกเชื่อมั่นว่ามนุษย์เราทำได้ทุกอย่างถ้าอยากทำ
“A Man can do all things if they will” Leon Battista Alberti
เช่น งาน Façade ของ The Santa Maria Novella church in Florence (Alberti ออกแบบ Façade มาครอบโบสถ์ Byzantine เดิม แล้วงดงามเลื่องลือมาก กลายเป็น World Heritage ในปัจจุบัน)
Façade of The Santa Maria Novella church in Florence by Alberti
หรือจะงานเขียนซึ่งมีมากมายหลากหลายแนวตามความสนใจของพี่เค้า ที่สำคัญพี่ Alberti เขียนตำราปรัชญาสถาปัตย์ที่ยิ่งใหญ่มากเอาไว้ ชื่อ De re aedificatoria หรือ Ten Books on Architecture (1452) ซึ่งมีการแปลในหลายภาษาเลยนะคะ บางฉบับใช้ชื่อว่า On the art of building in ten books (ชื่อนี้เก๋กว่าเนอะ 😊) ซึ่งตำรานี้มีอิทธิพลมากกับ modern and contemporary architecture ในสมัยนั้นและสมัยต่อ ๆ มาค่ะ
มหัศจรรย์แมนจริง ๆ เลย
ก่อนยุคนี้มนุษย์ยังไม่เชื่อมั่นในความเป็นมนุษย์มากนัก (ก็แหงแหละ โดนกดไม่ให้คิดต่างมาตั้งหลายร้อยปีเนาะ) แต่พอเข้า Renaissance … A Man can do all things ของพี่ Alberti นี่กลายเป็นปรัชญาแห่งยุคสมัยนะคะ มนุษย์กลับมาเชื่อมั่นในตัวมนุษย์มากขึ้น เริ่มมีคนกล้าขัดแย้งกับความเชื่อทางศาสนา และกล้าพูดมันออกมา พอพูดได้ 1 คน ... คนที่ 2-3-4-5 ก็ผุด ๆ ๆ ๆ ๆ ตาม ๆ กันมา ความคิดก็เบ่งบานเป็นดอกเห็ดกันไปเลย
หรือรูปปั้น Virgin Mary and Christ (Virgin and Child) by Claus Sluter (1385-1393) ที่ท่าทางและการจัดวางองค์ประกอบเปลี่ยนไปเป็นธรรมชาติมากขึ้น จากที่แต่ก่อนพระบุตรจะอยู่ด้านหน้าเสมอ ยุคนี้ศิลปินเริ่มวางองค์ประกอบให้ไปอยู่ข้าง ๆ พระแม่มารีได้ มีการสบตากัน เห็นความสัมพันธ์แม่ลูก แสดงสีหน้าอารมณ์มากขึ้น เน้นความเป็นมนุษย์ ไม่มี halo ... พระเยซูก็ไม่ต่างจากเด็กธรรมดา
Virgin Mary and Christ (Virgin and Child) by Claus Sluter (1385-1393)
หรือสีหน้าท่าทางอารมณ์ของพระแม่มารีและพระเยซูในภาพ Van Eyck’ s Madonna in a Church (1410 – 1425) ที่สมจริง มีนางเม้าท์มอย 2 นางในภาพ สีหน้าก็เม้าท์มอยหอยกาบขั้นสุด
“It had long since come to my attention that people of accomplishment rarely sat back and let things happen to them. They went out and happened to things.” Leonardo Da Vinci
🟠 Johannes Gutenberg (1440) สร้างแท่นพิมพ์สำเร็จ ทำให้การเผยแพร่องค์ความรู้เป็นไปได้รวดเร็วและกว้างขวางอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และคนที่ใช้การพิมพ์ แล้วก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางศาสนาครั้งยิ่งใหญ่ก็ได้แก่พี่คนถัดไปค่ะ
The Battle of the Battle Frescos: Leonardo vs Michelangelo in Florence’s Palazzo Vecchio ค่ะมาวาดผนังแข่งกันค่ะ อย่าคิดถึงผนังจิ๊บ ๆ กุ๋มกิ๋มนะคะ มันคือผนังที่ใหญ่ม๊ากกกกกกกเพราะเป็นผนัง Town Hall เมือง Florence ข่า ... ตามเคย เมืองก็คัดสรรว่าใครจะได้มาวาดผนังศาลากลางเนาะ (เรียกศาลากลางแล้วคิดถึงงานกาชาดมากกว่างานศิลป์แฮะ 555)