23 ธ.ค. 2022 เวลา 03:30 • นิยาย เรื่องสั้น
เส้นทางขาเดียว
⊱ เอกาไม่เข้าใจอะไรเลยทั้งนั้น
ร่างของแม่หมออาฟฟาอันตรธานไปในอากาศ มันเป็นไปได้อย่างไรกันนะ เอกาฉงนตื่นตกใจระคน แล้วอะไรนำพานางหายลับไปต่อหน้าต่อตา ครั้นเพิ่งตระหนักฉับพลัน หลังได้สติกลับมาจากการทำใจอย่างยากลำบากกับการจากลาครั้งนี้ เอการู้สึกลึกๆ ราวกับไม่หลงเหลือใครที่รู้จักมักคุ้นให้สบายอกสบายใจตอนเห็นหน้าค่าตาอีกแล้ว อีกประการเขายังเหลือมานิ อาจได้พบกันสักวันหนึ่ง แม้ไม่เข้าใจถึงสาเหตุของความรู้สึกนี้ประดังอยู่ในใจตลอด หากยังมีหวัง
เอกาไม่มีคำตอบสำหรับเวลานี้สักวินาทีเดียว
ทว่า ตอนนี้เด็กชายกำลังกวาดสายตามองหาหนทางที่จะทำให้ตนผ่านทวารพิทักษ์สีดำโปร่งใสขวางกั้นไปได้ด้วยวิธีไหน
ไร้ซึ่งแม่หมออาฟฟาให้คำชี้แนะการเปิดทวารซึ่งไม่ยินดีต้อนรับใครล่วงล้ำเข้าสู่ผืนป่าแห่งอิลานาอีกต่อไป
ต้องเคยเกิดอะไรไม่ดีกับอิลานาเป็นแน่ อิลานาไม่เคยเป็นปฏิปักษ์ เปรียบเสมือนอิลานาเป็นเจ้าบ้าน มนุษย์ดั่งแขกเหรื่อที่รักยิ่งของอิลานาเอง
เอกาหยุดชะงักทุกอย่างกะทันหันกำลังทำอยู่ขณะนี้
เขาหันหน้ามองไปรอบๆ ด้วยอารามร้อนรน ตามหาต้นเสียงว่ามีแหล่งที่มาจากตรงไหน เหมือนมันดังอยู่ในอากาศรอบตัว ไม่ใกล้และไม่ไกลนั่นเอง
ทักษะอันน่าทึ่งเฉพาะตัวของมานินี้ ไม่สาบสูญไปจากช่วงวัยของเด็กชาย
"มานิ"
เอการ้องเรียกชื่ออีกฝ่ายออกมาเสียงดัง
"นายอยู่ที่นี่งั้นเหรอ"
พอเขาตระหนักขึ้นได้ มานิไม่มีทางอยู่ที่นี่ได้หรอก เขาเศร้าสลด
เสียงเป่าปากกับใบฮาร์มยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำเมื่อครานั้น
มันค่อนข้างให้ความรู้สึกยามได้ยินเสียงนกอรุณร้องเจื้อยแจ้วออกจากรังหากิน ช่างไพเราะปานนั้นเลยทีเดียว
บริเวณใกล้เคียงไม่มีต้นฮาร์มสักต้นเดียวแน่นอน ใบฮาร์มจากไหนไม่รู้ได้ เพราะต้นฮาร์มมักเติบโตแถบๆ ริมตลิ่งแม่น้ำลำธาร ลอยคว้างแม้ไม่มีกระแสลมสักแอะหอบพวกมันมา กลุ่มใบฮาร์มหายไปในทวารพิทักษ์ เกิดเป็นวงกระเพื่อมน้ำหนึ่งระลอก ปรากฏคล้ายร่องเสียบกุญแจยักษ์
เสียงเป่าใบฮาร์มดังขึ้นหนึ่งครั้งอีกหน หนนี้มันดังออกมาจากทวารพิทักษ์ เส้นโค้งสีมรกตเคลื่อนที่ไปทางขวาหนึ่งรอบวงกลม
หนสองเส้นโค้งเคลื่อนไปซ้ายสองรอบวงกลม ทำนองสุดท้าย เส้นโค้งเคลื่อนไปขวาอีกหนึ่งรอบวงกลม ซึ่งในช่วงท้ายสุดวงกระเพื่อมเคลื่อนเข้าหาร่องเสียบกุญแจ แล้วทุกอย่างบนทวารพิทักษ์กลับมาเป็นปกติ
เอกาคุ้นชินกับทุกปริศนาจำต้องพึ่งหอกเล่มนี้แก้ปมตรงหน้าเสมอ
แท่งคริสตัลยอดหอกยกขึ้นสอดร่องกุญแจ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น กระทั่งเขาเริ่มหมุนด้ามหอกขวาแรกหนึ่งรอบ ซ้ายสองรอบต่อเนื่อง ตามด้วยหมุนด้ามไม้วนขวาอีกหนึ่งรอบวงกลมสุดท้าย
เด็กชายงุนงงอย่างหนัก คิดไม่ตกว่าเหตุใดถึงยังไม่มีปรากฏการณ์ทวารพิทักษ์เปิดเกิดขึ้นสักทีหนึ่ง เฝ้ารอมานานสองนานแล้ว ตัวเขาเองมั่นใจมากว่าไม่ได้ผิดพลาดตรงไหนด้วยซ้ำ คาดว่าเข้าใจถ่องแท้และแม่นยำดีแล้ว
ครั้นวงกระเพื่อมเคลื่อนเข้าหาร่องกุญแจเป็นสัญญาณย้ำเตือนบอกใบ้อีกรอบ แม้ยากเข้าใจในทีแรก
ลึกๆ ในก้นบึ้งของความรู้สึกร้องบอกให้เอกาเชื่อมั่นหากส่งแรงเพื่อดันหอกเข้าลึกกว่านี้
อย่างกับมันไปคลี่คลายกลไกทวารพิทักษ์ที่มองไม่เห็น วงกระเพื่อมสีเขียวกระจายตัวออกจากร่องกุญแจกระทั่งกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ สีดั่งเดิมของทวารพิทักษ์ไม่เหลืออีกต่อไป
คราวนี้ก็สามารถผ่านทวารพิทักษ์ไปได้เสียที
นกฟอล์กมรกตร่างโปร่งใสโดดเด่นท่ามกลางความมืดหม่นของมันบินถลา เสียงร้องค่อยๆ เบาลงทุกขณะมองเห็นมันเล็กลงและไม่ชัดเจน จนมันได้หายเข้าไปในแมกไม้ของชายป่าอนธการเบื้องหน้าแล้ว
เอกาพลันสายตาไปบนสะพานข้ามอย่างรวดเร็ว
"มานิ!"
เรือนร่างสีเขียวโปร่งใสของมานิหยุดชะงักตรงกลางสะพาน
เหมือนอีกฝ่ายจ้องมองมาทางเขา ทั้งที่เขาไม่ได้เป็นคนร้องเรียก หากเขาตะโกนเรียกจริง มานิจะได้ยินไหมนะ
เจ้าของเสียงตะโกนร้องเรียกตัวจริง กำลังไล่ตามหลังไม่ให้คลาดระยะกัน
เอกาเพิ่งเผยตน วิ่งก้าวเท้ายาวๆ ออกมาจากความว่างเปล่า
"นายจะพาฉันไปที่ไหนเนี่ย"
มานิหยักไหล่ แขนสองข้างกางออกเกือบเหยียดตรง ศอกหักงอเล็กน้อย ท่าทีอะไรสักอย่าง เขาไม่รู้ความหมายของมันสักนิด อีกฝ่ายต้องการสื่อถึงอะไรกันแน่
"ฉันอาจเข้าใจถูกต้องมาตลอดเออเองสินะ"
น้ำเสียงมานิแอบดูแคลนเขาทีเล่นทีจริง คงอดหัวเราะเยาะน้อยๆ เสียไม่ได้
"อาจรึ"
เอกาทวนคำ
"นายหมายถึงอะไร"
"ก็ประมาณว่า"
มานิเอ่ยอย่างมีนัยยะปรามาสเขาอย่างเห็นได้ชัด
"นายพร่ำเสมอว่าป่าทุกตารางนิ้วก็เปรียบเสมือนบ้านของนายเอง รู้จักมันดีทุกหนทุกแห่งอย่างกับทุกซอกทุกมุมของบ้านนายน่ะ เอกา"
"ก็ใช่"
เอกาพูดหนักแน่น
"แต่ฉันไม่มีทางรู้ได้เลยไง มานิ ว่านายต้องการจะพาฉันไปที่นั่นทำไม แล้วเราจะไปทำอะไรกันที่นั่นน่ะนะ"
"ฉันจะพานายไปที่นั่น"
อีกฝ่ายไม่ยอมปริปากเฉลยง่ายๆ
"เพื่อทำในสิ่งที่นายอาจประหลาดใจก็ได้ ถ้าฉันได้ทำให้นายเห็น เมื่อเราไปถึงที่นั่นกันแล้ว"
"นายทำให้ฉันปรารถนาลึกๆ อยู่นะ มานิ"
อารมณ์อันตื่นเต้นเร้าใจพลุ่งพล่านขับเคลื่อนรีบเร่งเขาทันทีทันใด
"ว่าเราจะไปทำบางอย่างที่น่าประหลาดใจกันที่นั่น"
มานิยกยิ้ม มันเป็นยิ้มอ่อนแรงเหลือเกินจากตรงนี้ที่เอกาเห็นอยู่
ความสุขที่มานิยังคงมีอยู่ได้ มันไม่เคยเลยที่จะยอมลดน้อยถอยลง ถึงสภาพร่างกายย่ำแย่ลง สามวันดีสี่วันไข้ก็ว่าได้ ด้วยโรคร้ายกัดกินไปขนาดไหนแล้วก็ตาม
ความสุขที่มองเห็น สัมผัสได้ เด่นชัด ทั้งมีอยู่จริงตรงหน้า ไม่เลือนหายไป เพราะมัวจมปลักอยู่กับความกลัดกลุ้มรุมเร้า ต่อคำถามมากมายในหัวว่าจะมีชีวิตอยู่ถึงวันพรุ่งนี้ไหม เอกาจะอยู่อย่างไรหากอีกหนึ่งความสุข ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของชีวิตถูกพรากไปตลอดกาล อย่างไม่ยุติธรรมสำหรับเขาล่ะ
การที่มานิมีชีวิตอยู่แต่ละวินาที มันคือโอกาสในการมอบพละกำลังเดินหน้าต่อไป ไม่ใช่ถอยหลัง ทุกยามหลับยากข่มตาลง ขลาดกลัวทุกพรุ่งนี้เช้า ถ้าแสงอรุณรุ่งลอดผ่านหน้าต่างห้องนอน แยงเปลือกตาปิดสนิทมาตลอดทั้งคืน
แล้วอยู่ๆ ไม่เหลือความรู้สึกนึกรำคาญ เพื่อปลุกให้ลืมตาตื่นนอน ขจัดอาการขี้คล้านหลุดพ้นจากที่นอน ต้อนรับสู่วันใหม่อีกวันหนึ่งพร่ามัวก่อนแจ่มชัด หลังปรับสายตากับความสว่างจ้า นึกถึงแรงบันดาลใจแรกในตลอดทั้งวันใช้ร่วมกับใครมากที่สุด
มานิฉุกคิดว่าควรตักตวงไม่ใช่ปล่อยให้หลุดมือผ่านไป ไขว่คว้าตอนที่สายเกินเอื้อมไม่ทันการ เอกาผู้ผดุงสุขทุกขณะปัจจุบัน ความสุขมีอยู่ได้เพราะหวังให้มันยังคงมีอยู่ กระนั้น ต่อให้ความสุขจากลาไปตามกาลเวลา มันก็กลายมาเป็นตัวแทนหยั่งรากลึกลงในหัวใจมิรู้ลืม
เท่าที่มานิตระหนักถึงได้รู้มาตลอด เอกามองเห็นเอกากว่าจะไปเจอความสุขที่อยู่ตรงนั้น เขาจำต้องฝ่าฟันความเจ็บปวดก่อตัวขึ้นข้างใน ไม่บอกเล่า เกรงว่าเส้นเชือกความสุขในมือมานิทิ้งตก อุปสรรคขวากหนามทิ่มแทงไปตลอดรอดถึงฝั่ง
"ฉันว่าเรารีบไปต่อกันเถอะ"
ร่างโปร่งแสงมรกตของเอกาขยับเท้าวิ่งขวาแรกตามหลังมานิมลายไปในอากาศ เหลือเพียงความว่างเปล่า ทิ้งความถวิลและโหยหาไว้ตรงนั้น
เจ้าหางก้อนข้ามผ่านทวารพิทักษ์นำไปก่อน มันหันดวงหน้าอันแหลมยาวสีขาวถูกย้อมด้วยสีเขียวทั่วทั้งตัวที่อีกฟาก แววตาสีเทาซีดหม่นหมองกว่าที่เคย  จับจ้องเขาอย่างมีนัยยะวิตกกังวลเกี่ยวกับบางอย่างยังมาไม่ถึง แลเศร้าสลดหดหู่ใจว่าก็ได้ ก่อนมันละสายตาคู่นั้นจากเขา หันกลับไปทอดมองเส้นทางข้างหน้า ที่จะเป็นอย่างไรต่อไปไม่รู้เลย ภัยอันตรายคาดไม่ถึง สารพัดรูปแบบเข้ามาขัดขวางการผจญภัยถึงจุดสิ้นสุดของจุดหมายปลายทางนี้ ที่ไม่รู้ว่าไปจบลงที่ไหน
ความทรงจำเขาเคยมีมาก่อน ไม่ต่างจากสิ่งของ หล่นหายไป เป็นที่จดจำไม่ได้ว่าเคยอยู่ตรงไหน เมื่อสิ่งที่หายไป ถึงได้กลับคืนมา มันอาจทำให้ค่อนข้างแตกต่างออกไป เหมือนกับความรู้สึกตรงนั้นกาลครั้งหนึ่ง ไม่ได้อยู่ที่เดิมของมันอีกแล้ว
เอกาก้าวเท้าแรกข้ามความบริสุทธิ์สดชื่นผ่านทวารพิทักษ์
เขาหยุด หันหลัง ย้อนมองกลับไป เด็กชายถึงกับผงะก้าวถอยเล็กน้อย หัวใจของเขาพลันหล่นวูบไปอยู่ตาตุ่ม
สภาพหมู่บ้านสายลมใต้บัดนี้ ตกอยู่ภายใต้ความมืดหม่น ไร้ชาวบ้านคนอื่นๆ ก็ว่าแย่มากพออยู่แล้ว ทว่า สิ่งที่เอกาเห็นอยู่ตรงหน้า มันเลวร้ายยิ่งกว่าเป็นไหนๆ บ้านหลายหลังคาเรือนบริเวณแถบๆ นี้ กลับกลายเป็นซากปรักหักพัง ล้มระเนระนาดราบเป็นหน้ากลองเป็นแถบๆ
ควันไหม้สีดำจำนวนมาก ลอยโขมงโฉงเฉงจากรอยแยกบนหน้าดิน พวยพุ่งขึ้นปกคลุมหนาแน่น ท้องฟ้าสีครามอึมครึม โปรยปรายเกล็ดหิมะลงมา ละลายทันทีเมื่อร่วงตกแตะพื้นเบื้องล่าง กิ่งก้านสาขาบนยอดต้นโกร๋น เถาไม้หนามเล็กบ้างใหญ่บ้างยึดครอง จนภาพจำมาตุภูมิดั้งเดิมของเขา เลือนหายจากทรงจำจนสิ้น ว่าเคยงดงามเพียงไรมาก่อน
เอกาแหลกสลาย ไม่ต่างจากหมู่บ้านสายลมใต้ย่อยยับ เขารู้สึกศิโรราบ ยากทำใจยอมรับมันได้ ว่าสิ่งที่อีธาราเผชิญชะตากรรมอยู่นี้ เป็นของจริงหรือไม่ใช่กันแน่
น้ำตาเอ่อล้นเบ้าตา ไหลอาบหน้าเป็นสายธาร โทสะพลุ่งพล่านอยู่ในใจ พาลโกรธอะไรก็ตาม เป็นตัวการนำพาความเสื่อมโทรมมาสู่อีธารา กับหมู่บ้านที่เขารักและหวงแหนยิ่งกว่าชีพตน
เขาปฏิญาณไม่คืนคำหนักแน่น ว่าจะทวงคืนความดีงามทุกสิ่งอย่างแก่อีธาราให้จงได้
ทวารพิทักษ์เคยมีสีเขียวกระจก มันกลับคืนสภาพเป็นสีดำอีกครั้ง ได้อย่างไรเขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเพราะเหตุใด
ยกกำปั้นขึ้นทุบบานประตูปรุโปร่ง มีสภาพเป็นของแข็ง พลังมหาศาลกระแทกร่างสะท้อนกลับมา ตัวกระเด็นลอยละลิ่วไปตกอยู่กลางสะพาน เจ็บจุกจนร้องไม่ออก
เด็กชายค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นยืน หอกค้ำยันเพื่อทรงตัวให้มั่นคง ก่อนยืนได้ด้วยสองเท้าแล้ว
มันไม่ให้เขาหันหลังเดินกลับอีกแล้ว
เบื้องหลังที่จะไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังอย่างไร้หวัง
เขาหวังว่าจะยังคงมีหวังอยู่ข้างหน้าก็เป็นได้
เจ้าหางก้อนข้างขาซ้ายเด็กชาย เงยหน้าขึ้นมอง มันหวาดหวั่น รับรู้ได้ถึงแรงปรารถนากุมจิตใจเอกาไว้อย่างแน่นเหนียว ช่างแรงกล้าเสียเหลือเกิน ความไม่มั่นใจอยู่เหนือบ่ากว่าแรง ซึ่งมีเพียงตัวเขาเองเท่านั้น แงะมันออกไปได้
"ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว"
เอการำพึง
สนุขจิ้งจอกขาวเอาเรือนขนตรงหน้าไล้ข้างขากางเกง
เป็นท่าทีแสดงออกกลายๆ ถึงสัญญาณเร่งเร้าบอกใบ้ ว่าอย่าเสียเวลาพิรี้พิไรกับที่นี่เนิ่นนานเกินไป ไม่เกิดประโยชน์อันมีค่า
"ก็ได้ๆ"
เขาตอบรับ
"เราไปกันต่อเถอะ"
เอกาหมุนตัวไปทางชายป่า ถนนกรวดสายหลักทอดลึกเข้าสู่เงามืดเกินหยั่ง ราวกับไม่มีสิ้นสุด เขาพรั่นพรึงทุกครั้งย่างกรายเข้าพงไพร ไม่ใช่บ้าน ความคุ้นเคยไม่เหลือเค้าเดิมแห่งวันวาน และไม่ปลอดภัยน่าเที่ยวท่องเหมือนอย่างเคย
แมลงปอมรกตโปร่งใสเฮสธา ปีกสี่แฉกขยับค่อยๆ ทีอยู่กับที่ ห่างออกสามสี่ก้าวโดยประมาณ
มันเคลื่อนที่สืบหน้า ตอนที่เอกายกเท้าแรกก้าวเดิน
แมลงปอเฮสธา เปรียบประหนึ่งแสงสว่างนำทางพวกเขาไป อย่างกับมันรู้แน่ชัดนัก ว่าเส้นทางของทั้งสองกำลังผจญภัยไปนั้น สิ้นสุดลงที่ตรงไหนนั่นเอง
อาจเป็นบ่อเกิดของความเสื่อมโทรมแผ่ขยายไปทั่วทุกแห่งหนในอีธาราด้วยเป็นแน่
เงามืดไพศาลอีกครา กลืนกินพวกเขา เงาดำของต้นไม้โดยรอบล้วนอัปลักษณ์ ชวนขนพองสยองเกล้าทุกครั้งที่แลตา
เอกาและเจ้าหางก้อนออกห่างจากชายป่าจนแทบลับสายตา
หรือลับสายตาไปแล้วก็ไม่น่าใช่ ราวกับมันหายไปจากตรงนั้นมากกว่า เงาเถาไม้หนามดั่งกำแพงยักษ์ ล้อมรอบปิดตายเขตป่าทั่วทุกสารทิศ
อาการหวาดวิตกถูกพรากฉับพลัน น้ำเสียงเริงร่าสดใสดึงดูดความสนใจ แม้ยังไม่เห็นเจ้าของเสียงพูด เป็นของมานิ ไม่รู้ว่าดังมาจากตรงไหน ทว่า ใกล้ๆ กันนี้
ร่างมานิโปร่งใสทะลุผ่านตัวเอกาไป เขาวาดมือไขว่คว้าตามสัญชาตญาณ กลับคว้ามาได้เพียงอากาศธาตุ
อีกฝ่ายเดินกึ่งกระโดดเซขวาทีไปซ้ายที หมุนตัวหันหลังมาพร้อมกับรอยยิ้มสดใสซุกซน นัยน์ตากวาดมองอยู่ข้างบนเหนือศีรษะขึ้นไปทั่วๆ เอกาเงยหน้ามองตาม เมื่อพื้นหลังสีครามตกแต่งด้วยเงาดำของใบไม้เกาะตายอยู่ตามกิ่งก้านสาขาบนยอดต้นประปราย ไม่มีอะไรน่ายลชมอย่างที่ควรจะเป็น เขาจับจ้องเข้าไปในดวงตาคู่นั้น เห็นแสงสีเหลืองสุกงอมสะท้อนอยู่ในกระจกตา สันนิษฐานว่าสิ่งที่มานิชื่นชมเปี่ยมสุขอันอิ่มเอม ความอบอุ่นของแสงอาทิตย์อ่อนๆ ไม่ก็เจิดจ้าห่อหุ้มหัวใจ
"ฉันน่ะ"
มานิลดระดับสายตาลงมา อย่างกับมองเข้ามาในดวงตาของเอกา เผลอคิดเข้าข้างตัวเองเออเองชั่วขณะหนึ่ง ว่าอีกฝ่ายมองเห็นเงาสะท้อนของเขาอยู่ในแววตา
"หลงรักทุกหน้าร้อนของอีธารามาตลอดเลยนะ"
ขณะเดียวกัน เด็กชายเข้าใจผิดถนัดอย่างห้ามไม่ได้ ร่างโปร่งใสของมานิพูดอยู่กับเขา
มานิไม่ได้มีตัวตนอยู่จริงที่นี่ และเอกาในเวลาแห่งนี้ก็ไม่ได้มีตัวตนอยู่จริงที่นั่นด้วยเฉกกัน
ร่างโปร่งใสของเด็กหนุ่มเอกาปรากฏออกมาจากตัวเด็กชาย
"อยากให้มันมีอยู่ทุกๆ วันเลย"
มานิเอื้อนเอ่ย
"ว่าไหม"
เอกาพยักหน้าเอื่อยๆ เห็นพ้องต้องกันส่งๆ ไปที เขาไม่ได้เล็งเห็นถึงความอัศจรรย์ใจใดๆ อย่างที่อีกฝ่ายเห็น สำหรับเขามันเป็นเพียงวันธรรมดาวันหนึ่งตลอดช่วงฤดูร้อนแค่นั้น
"แต่หน้าร้อนคงเหลืออีกประมาณ---"
เขาเว้นช่วงคาดคะเนสักพักเล็กๆ
"ห้าหกวัน ประมาณนี้น่ะนะ หน้าร้อนในรอบปีนี้ก็หมดลง แล้วหน้าฝนก็มาแทนที่"
"นั่นน่ะสิ"
อีกฝ่ายเสียงหงอย
"หน้าร้อน"
เอกาปลอบประโลม
"เดี๋ยวมันก็เวียนกลับมาอีกครั้ง มันไม่มีวันทิ้งหายให้นายต้องคอยเก้อหรอกหนา มานิ มันมาหานายตรงเวลาเสมอล่ะ"
"ก็จริงของนายแหละ"
มานิตระหนักถึงข้อเท็จจริิงตรงนี้
"เอกา"
ก่อนเอ่ยกับตัวเองเบาๆ ไม่ต้องการให้เสียงความในใจเล็ดลอดออกปากอย่างฝืนกล้ำกลืนไม่ได้ แว่วไปกระทบโสตประสาทของเอกาแม้แต่คำเดียว มานิพยายามกดเก็บความรู้สึกกวนใจนี้ให้อยู่ลึกลงไปยังก้นบึ้งเพียงไร ไม่มีทางเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะเอาชนะมันได้ ถ้ายังไม่ปลดปล่อยความกลัวนี้เป็นอิสระจนได้ มันมักตะกุยตะกายกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ยามมีสิ่งดีๆ พานพบ กลัวเหลือเกินว่าจะอยู่จำจดมันได้ไม่นานนัก
"เกรงว่ามันอาจมาหาฉันเก้อต่างหากหนึ่ง"
เอกาไม่รู้ว่าเอกาโปร่งใสได้ยินประโยครำพึงลำพังแผ่วกระซิบนั้นด้วยไหม หลังเขาได้ยินเช่นนั้น รู้สึกไม่ชอบใจทั้งหน่วงจิตหนักใจระคนกัน
"มันไม่มีวันเป็นแบบนั้นไปได้หรอก"
เขาสัมผัสได้ถึงการหลอกลวงตัวเอง ผ่านคำพูดที่ไม่มีความหนักแน่นแน่นอนในน้ำเสียงเอาเสียเลย ไม่สามารถทำให้กระทั่งเจ้าของคำพูดเองจรรโลงได้ง่ายนัก เพราะลึกๆ แล้ว เขาหวั่นกลัวมาตลอดมากว่าจเป็นเพียงลมปากเท่านั้น แล้วทำอะไรก็ตามเพื่อเปลี่ยนแปลงโชคชะตาชีวิตของอีกฝ่ายไม่ได้ด้วยซ้ำ
และหากมานิรับรู้ถึงมันด้วยไหมเวลานั้น คาดหวังหนทางการรักษา ไม่หายขาด อย่างน้อยๆ ยับยั้ง หรือช่วยบรรเทาภาวะลุกลามภายในของโรคร้ายเรื้อรังเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้าก็ยังดี ซึ่งอาจมีอยู่จริงทั้งเป็นไปได้ไหมนะ โอกาสในการต่อลมหายใจยืนยาวกว่าที่เป็นอยู่นี้
"ตราบใดที่นายยังมีฉันอยู่เคียงข้างไม่ห่างเช่นนั้นน่ะนะ มานิ"
"คือฉันน่ะ"
มานิรีบแก้ต่าง
"---ฉันไม่ได้ตั้งใจทำให้นายต้องรู้สึกไม่ดีแบบนั้นเลยนะ เอกา หนทางข้างหน้า---"
อีกฝ่ายชี้มือบุยใบ้ส่งๆ
"ที่เราสองคนกำลังจะไปถึง อีกไม่ไกลมากนักหรอกจากตรงนี้ --- คือฉันไม่น่าทำให้เสียบรรยากาศแห่งความสุข เราจะมีมันร่วมกันเลย"
"ไม่ใช่หรอก"
เอกาปฏิเสธ
"ไม่ใช่เลย มานิ เป็นเพราะฉันต่างหาก ฉันเป็นห่วงนายมากเกินไป จนบางครั้งบางที นายก็ใช้ชีวิตของตัวเองแบบติดๆ ขัดๆ ไม่ค่อยเต็มที่อย่างที่นายควรเลือกดำเนินด้วยตัวเอง"
เขาเสริม
"ฉันยอมรับตามตรง ว่ามีบ้างที่แอบคิดเล็กคิดน้อยกับตัวเองมาตลอดน่ะนะ"
เขาสาธยายเชิงบ่นพึมพำ งุ่นง่านในอารมณ์อัดแน่นเต็มอก
"พักหลังๆ มา ฉันไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไปเหมือนกัน ถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้ กลายเป็นคนละคน คนที่ฉันชักเริ่มไม่รู้จักตัวเองที่เป็นอยู่ตอนนี้ และเกลียดมัน ฉันยังอดคิดเออเองไม่ได้ว่านายเองอาจเกลียดฉันตอนนี้ด้วยเช่นกัน รวมถึงหงุดหงิดงุ่นง่าน ไม่ชอบไม่พอใจ อึดอัด รำคาญขี้หน้า โดยรวมๆ แล้วทำให้นายมีน้ำโหโกรธาฉันตอนนี้เอามากๆ สวนทางกับความต้องการฉันตอนนี้น้อยลง ---"
เขายักไหล่ เสียงอ่อนกำลังเต็มประดา พยายามไปมากเพียงไร สิ่งที่ได้ตอบแทนกลับมาคือความอ้างว้างอันทรมานหัวใจ
"--- หรืออะไรเทือกๆ นั้นน่ะ อารมณ์ในตัวฉันมันปั่นป่วนไปหมด โทษตัวเองมาเสมอว่าฉันตอนนี้เป็นคนพรากความสุขจากนายไป ไม่ก็เป็นความสุขให้นายได้น้อยลง"
มานิหมุนตัวแล้วถอยหลังเดิน พลางยกมือข้างขวาขึ้นตรงหน้า ทำนิ้วโป้งและชี้อยู่ห่างกันเล็กน้อย
"น้อยลง"
อีกฝ่ายเน้นย้ำคำคำนี้เป็นมุกตลกขบขัน รู้ความหมายสิ่งหยอกล้อเพียงคนเดียว
เอกาพยักหน้ายืนยันความรู้สึกนั้น
"ใช่"
เขาบอก
"น้อยลง"
ย่นหัวคิ้วงุนงง
"มันมีอะไรให้น่าขำตรงไหนกัน"
มานิขำพรืดเสียห้ามไม่ได้
"ยังตลกอยู่อีกนะ มานิ ฉันจริงจังกับความรู้สึกตรงนี้มากนะ กังวลตลอด หากมันทำให้นายเห็นความสำคัญในตัวฉันน้อยลงน่ะ"
อีกฝ่ายหุบยิ้ม เม้มริมฝีปากเน้นหายเข้าไปข้างในปาก แต่อมยิ้มไว้ภายใต้แก้มกลมมน
"เอกา"
มานิควบคุมน้ำเสียงตั้งใจพูดจากใจจริงของตน
"สำหรับฉันแล้ว นายน่ะ คือความสุขที่เพิ่มขึ้นทุกวันทุกวินาทีของฉันเลยนะ ไม่มีทางหรอก ที่นายจะเป็นคนที่พรากหรือทำให้มันน้อยลง อย่างที่นายกล่าวโทษตัวเองอย่างนั้น"
อีกฝ่ายเห็นท่าทีผ่อนคลาย ประหนึ่งยกภูเขาออกจากอกทีเดียวเชียว
"หวังว่า"
มานิเดา
"ฉันจะทำให้นายสบายใจได้แล้วนะ"
"ก็ไม่ทั้งหมดเป็นปลิดทิ้งหรอก"
เอกาอยากฝืนโกหก ความรู้สึกจากจิตใต้สำนึกทักท้วงเขา ต่อให้โกหกไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี สู้พูดความจริงออกมาจากใจทั้งหมด ไม่ต้องมีสิ่งปิดบังกัน ความค้างคาทรมานสำหรับผู้เก็บงำ และเสียดายในคราวที่สายไป ไม่เหลือโอกาสอีกสักเสี้ยววินาทีใช้มันเพื่อปอกเปลือก
เขาสังเกตทั้งฉงนจึงเอ่ยถาม
"นายดูไม่ ---"
"ดูทรุดโทรมสินะ"
มานิต่อประโยค
"อะไรทำนองนั้น"
เขาตอบกลับเลี่ยงๆ
"ฟังฉันนะ"
อีกฝ่ายคลี่ยิ้มมุมปากขวาเล็กน้อย
"เอกา --- ฉันเพิ่งรับรู้ถึงโรคร้ายติดต่อทางสายเลือดเมื่อไม่นานมานี้"
มานิพูด
"นายรู้อะไรไหม"
เอกาส่ายหน้า
"แต่ฉันอยากให้นายรู้เอาไว้นะ"
เขาไม่ได้สนใจทางข้างหน้าว่าเป็นอย่างไรตลอดเวลา เดินขนาบข้าง จับจ้องที่หน้าอีกฝ่ายเพียงอย่างเดียว เหลือบตามองทางเป็นระยะๆ ขาดความใส่ใจในรายละเอียด เฉกเช่นเดียวกับเด็กชายเอกาตามหลังพวกเขาต้อยๆ มุ่งประเด็นไปยังการปรับความเข้าใจของพวกเขาทั้งสองฝ่ายให้ตรงกันเป็นหลัก
"โรคร้ายมันจำกัดลมหายใจในชีวิตของฉันให้สั้นลงก็จริงอยู่นะ"
มานิพูดต่อ
"แต่ก็ใช่ว่ามันจะต้องทำให้ฉันจิตตกไปตลอดสักหน่อยนิ เพราะถ้าเป็นงั้น ฉันคงไม่มีกะจิตกะใจเป็นอันทำอะไรสักอย่างงั้นเหรอ เอกา ถ้ายิ่งเป็นอย่างนั้น ยิ่งสภาพจิตใจของฉันเอาแต่ห่อเหี่ยว มันยิ่งพาลไปกระทบสภาพร่างกายของฉันยิ่งแย่ลงไปกว่านี้มาก เผลอๆ เวลาชีวิตฉันอาจสั้นลงยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำนะ"
"เพราะเหตุนี้สินะ"
เอกาดูเข้าใจถ่องแท้แล้ว
"ใช่"
อีกฝ่ายยืนยัน
"เวลาชีวิตที่ถูกจำกัดให้น้อยลงของฉัน ก็ไม่ใช่ว่ามันต้องจำกัดความสุขเข้ามาในชีวิตฉันให้น้อยลงตามไปด้วยนิ ฉันก็อยากเก็บเกี่ยวความสุขในแต่ละวันไว้ให้มากที่สุดเท่าที่มากได้ ความสุขที่ยังมีนายเป็นส่วนสำคัญในช่วงเวลานั้นๆ หากฉันไม่ยอมมีความสุขเข้ามาไปตลอด ถึงเวลานั้น ฉันคงนอนจมไข้นึกเสียดายวันเวลาตอนยังพอมีเรี่ยวแรงทีหลัง ก็เปล่าประโยชน์ไปเสียแล้ว ฉันขอเลือกอยู่กับความสุขแทนที่จะตรอมใจดีกว่าเป็นไหนๆ น่ะนะ"
"ฉันเคยขอให้นายพักรักษาตัวไว้มากๆ"
"ด้วยการนอนอยู่บนที่นอนในห้องนอนฉันเฉยๆ งั้นเหรอ"
"มันคงดีกว่าการปล่อยให้นายออกมาตะล่อนๆ ข้างนอกอย่างนี้"
"นายคิด"
มานิแก้ไข
"แต่นี่มันตัวฉันนะ เอกา ฉันย่อมรู้ว่าอะไรดีที่สุดสำหรับฉันในสภาพนี้สิ"
"ฉันเลิกเป็นห่วงนายไม่ได้สักวินาทีเดียว"
เอกาพูดตามตรง
"ยิ่งฉันครุ่นคิดถึงเวลาชีวิตของนายที่น้อยลงทุกที ฉันกลัว --- ฉันกลัวมากเหลือเกิน มานิ ฉันยิ่งกลัวเพราะฉันไม่รู้ว่ามันจะน้อยลงขนาดไหน ฉันไม่อยากให้แม้แต่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ในอีธาราเป็นตัวการส่งผลให้ชีวิตนายยิ่งสั้นลงไปอีก"
"ฉันเข้าใจนายนะ เอกา"
อีกฝ่ายตั้งคำถามต่อ
"ฉันถามนายจริงๆ เถอะนะ นายคิดเออเองว่านายอาจเลือกถูกต้องไปเสียทั้งหมดสินะ และมันอาจช่วยต่อชีวิตของฉันให้ยืดยาวไปได้อีกสักหน่อย---มั้งนะ มันไม่ใช่ว่าจะไม่เป็นสิ่งที่ฉันต้องการมากที่สุดในชีวิตหรอกนะ
ฉันต้องการมันไม่น้อยไปกว่านายนักเลย เอกา แต่ฉันแค่ไม่รู้ว่ามันมีหนทางนั้นเป็นไปได้ไหม ฉันว่ามันไม่คุ้มค่าเสี่ยงจะรอคอยอย่างลมๆ แล้งๆ ไปวันๆ หนึ่ง ไม่รู้ว่าต้องทำอะไรในชีวิตที่เหลือต่อไป ไม่มีอะไรให้แน่นอนทั้งนั้น
นั่นยิ่งทำให้ฉันไม่มีความสุขเอามากๆ นายมีความสุขได้จริงๆ เหรอ ทุกครั้งที่นายมองมาที่ฉัน แล้วไม่เห็นความสุขอยู่บนใบหน้าของฉันหลงเหลืออยู่ จากสิ่งที่นายเข้าใจว่าตัวเองเลือกดีที่สุดแล้วนั่นน่ะ นายมีความสบายใจได้จริงๆ หรือไงกัน"
"คงไม่"
เอกาใจอ่อนลงมาก
"นายเป็นความสุขของฉัน ฉันก็เป็นความสุขของนาย"
มานิกล่าว
"เราสองคนต่างเป็นความสุขของกันและกัน อันนี้ฉันรู้อยู่แก่ใจดี เราต่างขาดกันไม่ได้ ฉันแค่ไม่อยากให้นายไปให้ความใส่ใจกับช่วงชีวิตสั้นๆ ของฉัน จนละเลยความสุขที่เรายังสามารถสร้างเรื่องราวอันน่าประทับใจร่วมกันได้อยู่ ซึ่งนี่คือสิ่งที่ฉันต้องการมากกว่าสิ่งอื่นใดสำหรับตอนนี้ แถมยังไม่ต้องมากังวลตัวเลือกว่ามันคุ้มค่าเสี่ยงไหม ไม่ต้องรอคอยว่าจะเก้อหรือไม่ เพราะมันทำได้เลยอย่างเวลานี้ไงล่ะ เอกา"
"อย่างที่ที่เรากำลังไปอยู่ตอนนี้สินะ"
"อีกไม่ไกลเท่าไรแล้วล่ะ"
อีกฝ่ายยื่นมือ
เอกาคว้ามือจับไว้แน่น
พวกเขาสองคนยกเท้าก้าวแรกวิ่งหายไปในความว่างเปล่าพร้อมเพรียงกัน
ปรากฏร่างโปร่งใสอีกครั้ง ห่างออกไปอีกสิบกว่าก้าวเบื้องหน้า
เอการุดตามไม่ให้คลาดสายตา

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา