26 ธ.ค. 2022 เวลา 07:15 • นิยาย เรื่องสั้น
เส้นทางขาเดียว (2)
มัวแต่มองตรงอย่างเดียว ขาดการระมัดระวังบนพื้นดิน
เขาหกคะเมนตีลังกา นอนแผ่หลาคว่ำหน้า คาดว่าสะดุดล้มบางอย่างที่ก้าวข้ามไม่พ้น ไม่มันก็มีความสูงกว่าการยกขา หน้าแข้งปะทะบางอย่างที่แข็งปานหินเข้า
ไม่มีเวลาได้พลิกตัวหงายขึ้นหาคำตอบว่ามันคืออะไร
ข้อเท้าทั้งสองข้างถูกรวบตึงด้วยเถาไม้ขนาดเท่าเชือกลากซุง
เอกาขัดขืนดิ้นรนสุดความพยายาม ขณะมันลากร่างเขาเข้าไปหาปากปล่องของดอกไม้เน่าเปื่อย
มือเกือบเอื้อมไม่ถึงด้ามหอกทำหลุดมือ หน้าดินใต้บุปผาเสื่อมโทรมสั่นระริกอย่างรุนแรง ทีแรกเขาเข้าใจว่าแผ่นดินไหว กลับมีบางสิ่งบางอย่างผุดพรวดขึ้นมา ปากดำโบ๋คำรามเสียงกรีดร้องแหลมดังสนั่นทำลายความเงียบวิเวก แสนแสบแก้วหูจนอื้อไปชั่วครู่ เกินคาดคิดว่าใต้ดอกไม้ปล่องมีสิ่งมีชีวิตแสนอัปลักษณ์ ลำตัวคล้ายผลมัน ผิวกายสีดินดำ มีแขนและขางอกออกมาเป็นรากไม้ ช่องเบ้าตากลวงมืดลึกลงไป
เด็กชายตื่นกลัวสุดขีด พอได้สติรีบตั้งสมาธิไว้ให้มั่น หลังตกตะลึงงันไปกับเสียงกรีดร้องโหยหวนอันสยดสยอง
เขากระชับกำมือกับด้ามหอก สอดยอดแท่งหินแก้วข้างรากไม้ ช้อนหอกตวัดขึ้นเฉือนตัดฉับรวดเดียว เขาหลุดพ้นพันธนาการ รากไม้ต่างแขนของมันหดกลับหาตัว
รากไม้เส้นหนึ่งฟาดลงมาหวิดข้างตัวเขา เขากลิ้งหลบหนึ่งหลุน กระโดดตัวโหยงลุกขึ้นยืนสองเท้าได้ในเวลาอันสั้น ต้องหนีรากไม้อีกเส้นกะหวดพาดกลางลำตัว
เอกาประจันหน้ากับอสุรกายดอกไม้ปล่องสามตน
เจ้าหางก้อนกระโดดสี่เท้าล้ำหน้าเขาขึ้นมาเล็กน้อย ตั้งท่าจังก้าปราศจากความยำเกรงเหล่าศัตรูเบื้องหน้าสูงกว่ามันห้าเซนติเมตรคาดจะได้
เด็กชายผงะถอยหลังหนึ่งก้าว เขาย้อนมองกลับไปแวบหนึ่ง เห็นรากไม้อันเขื่องเกยหน้าดินตรงนั้น ก่อนหันกลับมาไล่กวาดสายตามองตามก้อนควันดำพวยพุ่งออกจากปล่องดอกไม้เน่าเปื่อยขึ้นไปข้างบน แล้วทิ้งตกลงมาที่พื้น อสุรกายเถาไม้แบกคมหินเป็นอาวุธหนัก
มันง้างคมหินวิ่งเข้าใส่เขาทันใด เอกาขยับขึ้นหน้าพลางตีหอกพาดหน้าท้อง เบี่ยงตัวหนีวิถีจามคมหิน หอกกระแทกแขนของปิศาจ ร่างเพียงสลายเป็นผุยผง ดอกฟันสิงโตควรมีให้เห็นลอยคว้างอยู่ข้างบน หรือร่วงตกลงพื้น มีพืชพรรณเขียวขจีและนานาชนิดคละกันไป งอกงามเป็นวงก้นหอยแทน กลับไม่มีอะไรทำนองที่ว่ามาทั้งหมด
สุนัขจิ้งจอกขาวแสดงอากัปกิริยาบุ้ยใบ้ โดยการพุ่งเป้าไปยังปิศาจดอกไม้ปล่อง หนึ่งในสามตนที่กำลังเรียกกองกำลังอสุรกายออกมาสมทบเพิ่มเติมอีกสี่ถึงห้าตนด้วยกัน
เอกาพยายามฝ่าหน้าด่าน เหล่าอสุรกายเถาไม้ ทั้งปิศาจโล่หินส่วนสูงเสมอกันดาหน้า เตรียมเข้ากระแทกทุกเมื่อที่ได้จังหวะทีเผลอของเขา
เขาพุ่งหลบทันควัน ดอกไม้ปล่องเน่าเปื้อยถมก้อนยางสีเหลืองอมส้มร้อนฉ่าที่พื้นขวางหน้า สกัดการเข้าถึง เด็กชายดันเปิดโอกาสให้รากไม้ข้างขวาตวัดผ่าอากาศ เกือบทำร้ายแขนข้างถือหอกเสียแล้ว เขาไหวตัวทันก่อน
ครั้นกระโจนถึงตัวมัน แขนสะบัดหอกเข้าที่ข้างลำตัวอย่างจัง
หอกโจมตีอีกสองกระบวนท่าได้ต่อเนื่อง ให้หลังหลีกเลี่ยงวิถียางร้อนบุปผาเสื่อมโทรม ประจวบเหมาะเสริมหอกอีกหนึ่งฟาด จนมันมุดร่างคล้ายผลมันแทรกดินหนีฝังกลบตัวเอง---ไม่รู้มันหลบซ่อนอยู่ในดินไปอีกนานเท่าไร เป้าหมายต่อมา ต้องกำจัดกองทัพปีศาจทั้งหมดห้าตน ซึ่งจ้องเล่นงานเขาจากทุกทิศทุกทางได้ทุกเมื่อยามมันสบโอกาส
เอกามุ่งจัดการไปทีละตน ทว่า อสุรกายพวกนั้นเข้าด้านหลัง หรือตอนเขาเพ่งเล็งตนใดตนหนึ่ง จึงจำต้องหลบฉาก และเปลี่ยนคู่ต่อสู้ตนเข้ามาทำร้ายเขากะทันหัน ห้ารุมหนึ่งมากกว่าจะเป็นสองน่ะนะ เพราะเจ้าหางก้อนไม่ตกเป็นเป้าหมายอยู่แล้วเช่นเขา ดอกฟันสิงโตกระจายค้างอากาศเหนือศีรษะสองสามคืบ อย่างน้อยๆ มันยังช่วยก่อกวนศัตรูเยอะเกินกว่าเขาคนเดียวรับมือไหว
แมลงปอมรกตร่างโปร่งใสปรากฏ มันขยับปีกสี่แฉกถี่ยิบของมัน โบยบินรวบรวม ก่อนนำพาดอกฟันสิงโตทั้งหมดติดสอยห้อยท้ายลำตัว หายลงไปในปากปล่องอสุรกายดอกไม้เน่าเปื่อย ตนที่ฝังตัวอยู่ข้างใต้ดิน
แมลงปอกลับขึ้นมาอีกครั้ง ดอกไม้ปล่องเน่าเปื่อยแปรเปลี่ยนเป็นดอกลิลลี่สีส้มกลีบใหญ่โตผิดแผกกว่าปกติ มันโบยบินเป็นวงก้นหอย สะเก็ดสีเขียวเปล่งประกายระยิบระยับวิบวับโปรยปรายลงจากตัวมัน สัมผัสพสุธาเสื่อมโทรม บัดนี้ ผกานานาพรรณเจริญเติบโตได้บนดินดีอีกครา
รากไม้เฉียดเอกาหวุดหวิด เขาม้วนหน้าได้ทันเวลาพอดิบพอดี
พอเด็กชายใกล้เข้าถึงตัวมันได้อีกเพียงหนึ่งระยะ เขาจำต้องเบี่ยงไปอีกทางอื่นทุกที บ้างก็ถมยาง บ้างก็เรียกสมุนปิศาจทั้งรูปร่างเตี้ยและสูงดักทาง ทั้งสิ้นห้าตนเหมือนก่อนหน้านี้เป๊ะ ต่างกันที่อสุรกายเผชิญหน้า ยากประชิดตัวได้ง่ายดายนัก
อสุรกายผิวกายสีครามร่ายคาถาไฟเสริมอาวุธคมหินและโล่ มันสาดเปลวเพลิงจากคทาหินลาวามาทางเขา
แม้ระยะไม่ถึง ประสาทสัมผัสไวต่อความรู้สึกเสมอ พลังอันร้อนแรงแผดเผาส่งมาถึง
เอกาเขวี้ยงทั้งเหวี่ยงหอกสะเปะสะปะไปมาใส่อสุรกายตนใดยื่นหน้ามาขัดขวาง แต่ไม่ทำให้พวกมันแหลกสลายไปก่อน รังแต่เป็นปัญหาเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
เจ้าหางก้อนปราดเปรียว มันกลับถูกรากไม้รัดลำตัวแน่นจนดิ้นไม่หลุด
ก่อนมันถูกขว้างจากพันธนาการแน่นเหนียวอย่างกับตุ๊กตายัดนุ่น เอกาสับเท้าไม่คิดชีวิต อย่างไรก็ต้องช่วยเหลือเจ้าหางก้อนให้ปลอดภัย นึกเป็นห่วงสุดหัวใจของเขา
หอกเฉือนรากไม้ขาดสะบั้นแยกสองชิ้น เจ้าหางก้อนกลิ้งหลุนๆ ยันร่างลุกขึ้นยืนสี่เท้ามั่นคงดี
เด็กชายมองเห็นหนทางสะดวก เขาจะไม่สูญเสียมันไปเพียงชั่วความคิดเดียว
หอกปาปักคาตรงหว่างรูกลวงโบ๋ลูกตา แม่นยำเป็นจับวาง
ในขณะที่ดอกไม้ปล่องสาละวนอยู่กับการถอนหอกอยู่นั้น
เขาวิ่งรี่เข้าหา ยกแขนข้างขวาขึ้นเอื้อมเหยียดตรง หอกในรากไม้หายไปและกลับมาอยู่ในกำมือเขาในเวลาไม่นาน
เอกาขับไล่มันหมุดกลับลงดินไปเหมือนเดิมจนได้ มันค่อนข้างมีทักษะทำให้คู่ต่อสู้ไม่สามารถประชิดตัวได้เก่งกาจเอาการทีเดียว ทั้งตอบโต้ระยะไกลสวนคืน
สัญชาตญาณแรก เอกาหันขวับไปทางอสุรกายร่ายคาถาไฟก่อน
เด็กชายตระหนักได้ถึงการย่นเวลาของการสู้รบปรบมือกับเหล่ากองทัพปิศาจให้สั้นลง ซึ่งพวกมันพร้อมถาโถมเขาตลอดเวลาอยู่แล้ว
เอกาไม่แม้แต่ทันคำนึงถึงข้อสังเกตเล็กๆ น้อยๆ นี้สักนิดเดียว เขาเคยได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้มาแล้ว ทว่า ตามร่างกายของเขากลับไม่เคยมีบาดแผลทิ้งร่องรอยแผลเป็นสักตรง ปราศจากจุดฟกช้ำดำเขียว เลือดไหล
เขาเพียงแค่รู้สึกบาดเจ็บเท่านั้น บ้างสาหัสเอาเรื่อง หากกระทบกระทั่งรุนแรง เจียนตายแต่ไม่รู้สึกว่าตายด้วยซ้ำ ช่างน่าแปลกประหลาดสะท้านใจยิ่งนัก ถ้าเพราะพลังการรักษาจากก้อนน้ำลายของเจ้าหางก้อนจริงๆ --- ลึกๆ แล้วสำหรับเอกาคาดว่าไม่น่าใช่คำตอบที่ถูกต้องทั้งหมด เพื่อใช้อนุมานปริศนาเร้นลับนี้ได้
เพราะจากสาเหตุใดกันแน่นะ มันเพียงช่วยทุเลาอาการบาดเจ็บข้างในให้หายปลิดทิ้งก็จริง มากกว่าสมานบาดแผล หรือห้ามเลือดออก---ไม่รู้ว่ามีอยู่จริงไหม คราวนี้เขาไม่ได้ใช้มันสักหยด ได้รับบาดเจ็บมาไม่มากเท่าเห็นสมควร
ดอกลิลลี่ส้มดอกที่สาม ดอกสุดท้ายผลิบานสะพรั่ง วงก้นหอยพืชพรรณชอุ่มอีกหนึ่งวง แมลงปอเฮสธาตีปีกอยู่กับที่ ตรงจุุดกึ่งกลางวงก้นหายทั้งสามมาบรรจบกันอย่างลงตัว
แทงยอดแท่งแก้วมลังเมลืองลงพื้นดิน แมลงปอขยายขนาดใหญ่ยักษ์ กระพือปีกสี่แฉกอันมโหฬารโบกสะบัด ขับเสียงเป่าปากกับใบฮาร์มระงม ละอองมรกตมากมายฟุ้งกระจัดกระจายไปทั่วถ้วน ชะล้างความเสื่อมโทรม ระบายสีสดใสทับโลกใบทึมทึบ ด้วยท้องฟ้าสีฟ้ากระจ่าง มวลเมฆบางเบาขาวปลอด แสงตะวันสีเหลืองอ่อนๆ อบอุ่นยามบ่ายส่องลงมาเบื้องล่าง
เอกายิ้มรับเบิกบานความสว่างไสวได้ไม่นาน
"ยังไม่ถึงอีกเหรอ"
เด็กชายหันมองหาที่มาของเสียงเด็กหนุ่มเอกามาจากตรงไหน
เอการ่างโปร่งใสสีเขียวเดินตามหลังมานิต้อยๆ กำลังไปทางถนนขวามือกันอยู่
เขาขัดใจที่ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นสักนิดกับสิ่งนี้ด้วยเลย เขาไม่ควรถูกละเลยความสำคัญ หากอีกฝ่ายตั้งใจไว้แล้ว เก็บมันเป็นความลับลำพังก่อน รอการเฉลยอย่างตื่นเต้นเร้าใจทีหลัง
"มานิ --- ฉันคิดว่าที่นี่ซะอีก"
"ยังน่ะ"
มานิค่อนข้างมั่นใจแล้ว
"ยังไม่ใช่ที่นี่หรอก เอกา แต่ก็คงอีกไม่ไกลจากนี้นัก เดี๋ยวก็ถึงแล้วล่ะ"
มานิรุดนำ เอกาเร่งฝีเท้าตามไม่ให้คลาดสายตา คิดเผื่อหากพวกเขาสองคนจะออกวิ่งกันอีก
ขณะเดียวกันนั้นเอง มานิฮัมเพลงไปพลาง สลับระดับเสียงสั่นสะเทือนในลำคอ ขึ้นสูงลงต่ำทั้งลากสั้นยาว ไม่ถึงขั้นสุดลมหายใจ อยู่ๆ ราวกับเสียงฮัมเพลงนี้ มันดังก้องอยู่ข้างในหัวขึ้นมาเสียเฉยๆ มากกว่าได้สดับรับฟังผ่านเข้าหูอยู่ตอนนี้ ประหนึ่งเพลงคิมหันต์นิรันดร์จากวันวาน
เด็กชายซึ่งเคยคิดว่าความทรงจำนี้ได้หล่นหายไปด้วย ครั้นมานิกระตุ้น ปลุกความทรงจำกาลครั้งหนึ่งตื่นขึ้นมา เขาแปลกใจยิ่งนัก ทุกความทรงจำตั้งแต่จำความได้จนกระทั่งอายุสิบสองปีเช่นตอนนี้ เขาจำมันได้เกือบหมดทุกอย่าง ยกเว้นเห็นแต่เป็นเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ไร้ซึ่งความสลักสำคัญอะไร นำพาตัวเองผ่านเข้าไปและมันผ่านเข้ามาเอง เขาอาจจดจำมันไม่ได้ทั้งหมดหรอก
แต่นี่ --- ความทรงจำนี้ไม่มีอยู่ในช่วงวัยสิบสองปี ทำให้รู้ได้แน่ชัดว่าไม่มีอะไรพรากมันไปได้ เพื่อลืมสนิทใจ เขาเพียงไม่ได้นึกถึงมันเท่านั้นเอง ครั้งแรกกำลังดำเนินอยู่ ณ เวลานี้ เขาได้ยินการฮัมเพลงโปรดปรานของอีกฝ่าย ระหว่างนี้ เขาไม่ล่วงรู้ว่าตนกำลังไปสถานที่แห่งไหนในลำเนาอิลานาต่ออีกแล้ว มืดบอดกับความทรงจำข้างหน้าเหมือนเช่นเคย
"นั่นเพลงนั้นนิ"
เอกตรงนั้นโพล่งทันควัน
"ใช่"
มานิช่วยยืนยันอีกเสียง
"มันเป็นเพลงโปรดของฉันเลยแหละ"
"ทำไมฉันไม่รู้มาก่อน"
เขาตั้งข้อสังเกต
"นายเคยสนใจจะถามฉันเกี่ยวกับเรื่องพรรค์นี้ที่ไหนล่ะ"
อีกฝ่ายย้อน
"นายเอาแต่สนใจเรื่องการท่องพงไพร พัฒนาการออกล่าให้เป็นมือฉมัง อะไรเทือกๆ นั้นน่ะ บางทีการที่นายไม่ได้ใส่ใจเรื่องร้องเพลงเล่นดนตรี บางครั้งฉันก็ละเลยต่อทุกเรื่องที่จะต้องบอกเล่าไปบ้างน่ะนะ"
"แล้วนายไปฟังมันมาจากไหนล่ะ"
เอกาเอ่ยถาม
"อย่าลืมสิว่าแม่ของฉันเป็นนักดนตรีของวงประจำหมู่บ้านสายลมใต้เลยนะ"
มานิกล่าวเสริม
"แต่ที่ว่าฉันไปได้ฟังมาจากไหนน่ะหรือ เริ่มต้นมาจากออร่าน่ะ เธอเป็นเด็กสาวมีพรสวรรค์ด้านการแต่งเพลงยอดเยี่ยมมากๆ เธอคงได้แรงบันดาลใจมาจากแสงตะวันฤดูร้อนนี่แหละกระมัง---เธอน่าจะชอบอะไรในหน้าร้อนคล้ายๆ กับฉันแน่ พอเธอประพันธ์แล้วเสร็จ จึงนำเนื้อเพลงของเธอไปให้พ่อประดิษฐ์ท่วงทำนองดนตรีประกอบ เพื่อให้มันออกมาเสร็จสมบูรณ์อย่างที่เธอตั้งใจไว้ ฉันมักขอให้แม่ร้องให้ฟังในยามว่าง ไม่ก็เป็นเพลงกล่อมนอนตอนฉันเด็กๆ --- ทำให้รู้สึกราวกับว่าคืนนั้นต้องนอนหลับฝันดีเลยแหละ"
อีกฝ่ายถามกลับ
"แล้วนายล่ะ เอกา"
มานิเอ่ย
"นายไปฟังเพลงนี้มาจากใครล่ะ"
"จากนายนั่นแหละ"
"ได้ยังไง"
อีกฝ่ายฉงนหนัก
"มันเป็นความบังเอิญน่ะ"
เอกาเกริ่น
"ตอนนั้นฉันไปหานายที่บ้านน่ะ ฉันต้องหยุดยืนอยู่ตรงหน้าต่าง ฟังให้แน่ใจ พอฉันมั่นใจแล้วว่านั่นเสียงร้องของนาย ฉันเลยตั้งใจฟังเพลงคิมหันต์นิรันดร์จบกระทั่งจบ ไม่อยากเข้าไปขัดจังหวะเสียก่อนน่ะ"
"ไม่เห็นนายยกเรื่องแอบฟังฉันร้องเพลงขึ้นมาพูดกับฉันด้วยซ้ำ"
เขายักไหล่
"นายแค่ฟังฉันร้องเพลงนิ"
มานิสงสัย
"แล้วนายรู้จักชื่อเพลงนี้ได้ยังไงกัน"
"ถามแม่นายทีหลังน่ะ"
อีกฝ่ายพยักหน้า
"และนายก็ไม่คิดจะถามฉัน"
มานิขี้เกียจถือสาหาความให้ขุ่นหมองมัวใจ ทั้งตนเองไม่ได้จริงจังอะไรนักหนา
"ช่างมันปะไร ---"
เอกาขัดจังหวะ
"ฉันไม่ได้ตั้งใจละเลยนายเลยนะ"
เขารู้สึกผิด
"ฉันไม่ได้จริงจังสักหน่อย เอกา"
มานิปรับความเข้าใจใหม่
"ไม่ได้จะกล่าวโทษนายกับเรื่องแค่นี้เลยนะ"
"แม่นายเคยบอกกับฉันไว้"
เอกาพูด
"ดนตรี...เพลงอาจช่วยบำบัดทุกขโรคในตัวนายได้ ไม่มากก็น้อย"
"ฉันเครียดนะ"
มานิยอมรับ
"ในทีแรกต้องกังวล เพราะกลัวว่าเวลาของตัวเองมันจะสั้นลงขนาดไหน แต่พอแม่ให้ฉันนึกถึงสิ่งที่เป็นความสุขแทนที่จะเป็นความทุกข์เข้าไว้ แม่บอกว่าฉันจะมีชีวิตยาวนานกว่านึกหวั่นใจได้เป็นไหนๆ"
อีกฝ่ายเสริม
"แล้วนายชอบเพลงนั้นไหม"
มานิตั้งตารอฟังคำตอบ
"ตั้งแต่ครั้งแรกที่นายได้ฟังมัน"
"ชอบสิ"
เอกาเพิ่งสังเกตสภาพแวดล้อมรอบๆ ตัวเองตอนนี้
สองข้างทางมีีแต่ต้นฮาร์ม ร่องลึกตรงนั้นทางซ้ายมือ มีลำธารขนาดใหญ่ตัดผ่าน
"แต่ฉันชอบเจ้าของเสียงของคนที่ร้องให้ฉันได้ยินมันครั้งแรกมากกว่าน่ะนะ"

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา