23 ธ.ค. 2022 เวลา 11:00 • ไลฟ์สไตล์
ตอนที่ 19: ผมนอนไม่หลับ หัวใจมันกระสับกระส่าย! - ความทรมานของความพยายามที่ยิ่ง พยายาม…ยิ่งไม่สำเร็จ!
สวัสดีทุกคนอีกครั้งค่ะ
ไม่พูดพร่ำทำเพลงมากมายค่ะ! วันนี้ดิฉันขออนุญาตเปลี่ยนโหมดใช้ภาษาเขียนนิดหน่อย ให้ดูมีความเป็นกันเองมากขึ้นนิสนึง เพราะเรื่องราวที่จะบันทึกต่อไปนี้ อาจมีความ private นิดนึง ใช้ภาษาทางการเวลาเขียนอาจแอบไม่อินเท่าไหร่แหละ 555555
ตามพาดหัวเรื่องของวันนี้เลยค่ะ วันนี้เราจะมาบันทึกเรื่องราว ความรู้สึก และวิธีการการอยู่กับสภาวะอาการ “นอนไม่หลับ” กัน
จริง ๆ เราเริ่มมีอาการนอนไม่หลับมาตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัยแล้วแหละ แต่เป็นไม่บ่อย แค่ 1-2 ครั้งในช่วงชีวิต 4 ปีมหา’ลัยเลยด้วยซ้ำ
จุดเริ่มต้นที่ทำให้นอนไม่หลับก็คือตอนนั้นใช้ชีวิตหนักมาก ทำกิจกรรมต่างใดเยอะ มีวันหนึ่งทำกิจกรรมเสร็จกลับถึงหอเกือบตีสอง แล้วอีกวันหนึ่งต้องไปออกงานเช้า (เป็นงานกิจกรรมของมหาวิทยาลัยอีกเช่นกันนี่แหละ) มันก็เหลือเวลานอนไม่กี่ชม. เอง ตอนนั้นจำได้ว่าพยายามบอกตัวเองให้นอนหลับ แต่มันรู้สึกตื่นเต้นและกังวลไปหมด จนสุดท้ายก็ไม่ได้หลับทั้งคืน ตื่นปุ้บก็เดินทางไปออกงานต่อปั้บ ได้นอนงีบในรถระหว่างทางไปได้ไม่กี่ชม. เท่านั้น
จำได้ว่า effect การไม่ได้นอนตอนนั้นถือว่าทรมานมาก เพิ่งเคยรู้สึก ‘เหมือนจะวูบ’ ครั้งแรกก็ตอนหลังจากไม่ได้นอนครั้งนั้นเลยแหละ แต่มันก็ใช้ชีวิตวันนั้นได้อยู่นะ แต่ด้วยความรู้สึกโทรม ๆ กับสติที่ไม่ค่อยครบเท่าไหร่ ร่างกายมัน weak มาก ตอนนั้นรู้สึกกลับบ้านคนเดียวไม่ไหวเลยต้องให้พ่อแม่มารับหลังจากทำงานข้างนอกเสร็จทันที เพราะไม่มีแรงไปต่อกับเพื่อนแล้ว
แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้มีปัญหาการนอนมานานมาก อาจจะมีที่รู้สึกนอนไม่หลับบ้างเพราะคิดเยอะ แต่สักพักมันก็นอนหลับและรู้สึกว่านอนเยอะมาโดยตลอด
จนกระทั่งมาถึงช่วงเริ่มทำงานแรก วันนั้นเป็นวันสุดท้ายของการ train งาน ก่อนจะเริ่มได้ทำงานจริง ตอนนั้นเราเครียดมาก กังวลมากว่ากลัวจะทำงานไม่ได้ กลัวว่าจะทำ session เองคนเดียวไม่จบ กลัวว่าจะสติหลุด เฟล อะไรหลาย ๆ อย่างรวมกันไปหมด ความกังวลนี้ดำเนินไปในหัวของเราอย่างโลดแล่นแบบที่ไม่สามารถหยุดได้ เราพยายามที่จะบอกให้ตัวเองนอน พยายามคิดเรื่องอื่นที่ปกติแล้วจะช่วยให้นอนหลับก็ไม่ได้ผล
สุดท้ายกลายเป็นเรา ‘ไม่ได้นอนเลย’ ในวันแรกของการทำงานจริง ซึ่ง…บอกเลยว่ามันทรมานมากจริง ๆ แม้ว่าเราจะรวบรวมดึงสติในทำงานได้อย่างน่าประหลาดใจ และสามารถผ่านการทำงานในวันแรกไปได้ราบรื่นอย่างงง ๆ แต่บอกเลยว่าหลังจากจบงานเรารู้สึกเหมือนซอมบี้จริง ๆ คือไม่มีแรง อ่อนเปลี้ย รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง ปวดหัว มึนหัว ไม่สามารถควบคุมสติและอารมณ์ของตัวเองได้
หลังจากจบงานตอนนั้นเราตัดสินใจเอาตัวเองออกมาจากห้องทำงาน หวังว่ามันจะทำให้หายเครียดบ้างเพราะได้ออกมาสูดอากาศข้างนอกเหมือนปกติที่ตัวเองชอบทำ แต่กลับกัน เรารู้สึกไม่ไหวเลย เริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ รู้สึกฝืนกับร่างกายตัวเองมาก ๆ จนสุดท้ายก็ต้องรีบกลับบ้านมานอนตั้งแต่ 6 โมงเย็น
นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้รู้ว่า ‘ความทรมานจากการไม่นอนเลยทั้งคืนหน้าตาเป็นอย่างไร’ ซึ่งถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากเจอกับตัวเองอีกเลย
ตอนนั้นรู้สึกว่าส่วนหนึ่งที่ผ่านมาได้เป็นเพราะว่าบอกครอบครัวด้วยมั้งนะ นางก็เป็นห่วงแหละ ถึงแม้เราอาจรู้สึกแย่นิดหน่อยที่เขาเป็นห่วงเพราะมันเหมือนรู้สึกเราดูแลตัวเองไม่ได้ แต่สุดท้ายนางก็ support พยายามช่วยเหลือเรา ทำให้เราผ่านเรื่องราวนั้นมาได้ ผ่านไปอีกวันหนึ่งเราก็หายละ
แต่แล้วหลังจากที่เวลาผ่านไป 9 เดือนเต็ม เราลาออกจากงาน อาการนอนไม่หลับก็กลับขึ้นมาอีก ตอนแรกเรานอยด์มาก หาไม่เจอเลยว่าสาเหตุมันมาจากอะไร
สิ่งที่เราคิดและพยายามทำในตอนนั้นคือสังเกตอาการของตัวเองว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะว่าประสาทสัมผัสทางกายมันชัดมาก ไม่ว่าจะเป็น รู้สึกร้อนมาก ๆ ผิดปกติ รู้สึกว่าเปลี่ยนท่านอนท่าไหนก็นอนไม่สบายสักที
ซึ่งพอสังเกตเห็นความผิดปกติปุ้บเราก็พยายามแก้ไขมันทันที โดยใช้ความรู้ทางจิตวิทยาที่สั่งสมมาทั้งหมดจากประสบการณ์การให้คำปรึกษาด้วยสติปัญญาที่มีอยู่ในขณะนั้น พยายามลุกออกมาทำอะไรอย่างอื่นก่อนเข้านอน เปลี่ยนที่นอนที่ทำให้รู้สึกเย็นขึ้น ฝึกลมหายใจ ทำ relxation แต่ก็ไม่ได้ผล เราเลยลอง search วิธีการในอินเตอร์เน็ตดู มันก็ให้ไอเดียเราหลายอย่างเหมือนกันนะ เราก็ลองทำตามดูเหมือนกัน
แต่เชื่อหรือไม่ว่า สุดท้ายแล้ว แม้เราจะพยายามสักเท่าไหร่ …….. มัน ‘ไม่ได้ผลเลย’
ในโมเมนต์นั้นเราพูดได้เลยว่ารู้สึก desperate มาก เรารู้แย่กับตัวเองมากที่จัดการไม่ได้ ผนวกกับความรู้สึกที่เราไม่อยากที่จะต้องอยู่กับความนอนไม่หลับนี้ด้วยเพราะมันทรมานมาก ๆ ทุกอย่างเลยยิ่งแย่เข้าไปใหญ่
เราเป็นแบบนี้อยู่หลายคืนนานประมาณ 2 สัปดาห์ติดต่อกัน นอนร้องไห้อยู่หลายครั้งเหมือนกันเพราะรู้สึกไม่ชอบเลยที่ต้องทรมานแบบนี้ สุดท้ายต้องมายอมรับตัวเองที่อยู่ในสภาพที่ทำอะไรไม่ได้แบบนี้
ในระหว่างช่วง 2 สัปดาห์เราไม่ค่อยบอกปัญหานี้กับครอบครัวหรือเพื่อนสักเท่าไหร่ เพราะเรารู้สึกว่าเราอยากจัดการเรื่องราวนี้ด้วยตัวเอง บวกกับเราไม่รู้ด้วยว่ามันมาจากอะไรเราเลยไม่รู้จะอธิบายให้พวกเขาฟังยังไง แต่พอปัญหามันเริ่มบานปลาย เราเริ่มไม่ไหว เราก็เลยตัดสินใจบอกเพื่อน ๆ ไป เพื่อน ๆ ก็ให้ support ที่ดีมาก ๆ นะ มันก็ทำให้เรารู้สึกได้รับความอบอุ่นขึ้นมาบ้าง
เราเคยมีคิดว่าอยากเข้าพบนักจิตเองด้วย เราเคยบอกพ่อแม่เหมือนกันว่าถ้าไม่ไหวก็อยากเสียเงินเข้าพบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาเลยเพราะไม่อยากนอนไม่หลับแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ มันทรมานมาก บวกกับพอเราทำงานด้านนี้มาเรารู้ว่าถ้าการใช้ชีวิตของเราผิดปกติไปแบบไม่สามารถควบคุมได้เกินกว่า 2 สัปดาห์ เราอาจมีสิทธิมีปัญหาสุขภาพจิต พ่อแม่ก็ไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่แหละ แต่เราก็เข้าใจว่าเขาก็มี opinion ในอีกรูปแบบหนึ่ง
เราเลยลองประเมินสุขภาพจิตใน website วัดใจ.com ดูก่อน จำได้เลยว่าก่อนจะทำประเมินคือเครียดนะ 5555 รู้สึกกลัวว่าตัวเองจะเป็นหนัก แต่ก็ไม่อยากโกหกสภาวะที่ตัวเองเป็นอยู่จริง ๆ ระหว่างทำประเมินเราพยายามตอบในสภาวะความเป็นจริงที่เกิดขึ้นกับเราที่สุด พยายามไม่ bias พยายามไม่กลัว
แต่ผลสุดท้ายก็ดันประเมินว่าเราไม่ได้เป็นหนักว่ะ! ยิ่งพอลองหาข้อมูลในเน็ตเพิ่มเติมแล้วรู้ว่าหากมันเป็นเกิน 1 เดือนขึ้นไปถึงเริ่มมีปัญหาจากเว็บหลาย ๆ แห่ง มันก็เริ่มทำให้เราอุ่นใจขึ้นมาบ้าง เราก็เลยพยายามทำตามคำแนะนำที่ทางเว็บให้มา มันก็ปล่อยวางขึ้นมาบ้างเล็กน้อย
จุดที่ทำให้เริ่มกลับมานอนหลับได้จริง ๆ จัง ๆ เลยคือวันที่เราไปงานรับปริญญาเพื่อน ๆ จำได้ว่าวันนั้นต้องทำอะไรหลายอย่างมาก ๆ ต้องไปงานรับปริญญาเพื่อน ต้อง follow up งานที่ค้างคา ต้องไปซื้อของ มีภารกิจหลาย ๆ อย่างที่ต้องทำเต็มไปหมด แล้ววันนั้นดันได้ไปเจอเพื่อนเยอะด้วย ซึ่งก็ได้เจอทั้งเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานานมาก กับเพื่อนที่เป็น comfort zone ของตัวเอง
เรายังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าวันนั้นเรากลับมานอนหลับได้ยังไง อาจจะเป็นเพราะรู้สึกเหนื่อยเพราะต้องทำอะไรหลายอย่าง หรือเป็นเพราะรู้สึกภูมิใจที่สามารถ accomplish สิ่งที่ตัวเองทำได้ทั้งหมด หรือเป็นเพราะว่าได้เจอเพื่อน เลยทำให้สุดท้ายมัน cure การนอนของตัวเองได้
หลังจากนั้นการนอนของเราก็ค่อย ๆ recover ขึ้นมาเรื่อย ๆ เราดีใจมาก เราพยายาม appreciate กับ progress มากขึ้นเพราะเราไปอ่านเจอมาว่า ‘ถ้ายิ่งพยายามนอน จะยิ่งนอนไม่หลับ’ ซึ่งเรารู้สึกจริง เราเลยพยายาม let it flow มากขึ้นแม้มันจะยากมาก ๆ ก็ตาม พยายามไม่ไปควบคุมอะไรมาก คิดไปว่าเวลามันอยากพักมันก็คงพักเองแหละ และพอยิ่งไปควบคุมมัน มันก็ยิ่งแย่จริง ๆ แหละ
ทุกวันนี้อาการนอนไม่หลับของเราก็ยังเกิดขึ้นอยู่เป็นบางครั้งบางคราวนะ เราสังเกตเห็นว่าเวลาเรามีเรื่องเครียด เรื่องที่รู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่สำคัญหรือพิเศษ ไม่ว่าจะเป็น สัมภาษณ์งาน สมัครงาน ต้องถึงวันสำคัญที่ตัวเองต้องทำอะไรสักอย่าง (ส่วนใหญ่ที่เห็นมักเป็นเกี่ยวกับงาน) มันจะเริ่มมีอาการนอนไม่หลับ บางครั้งมันก็สามารถนอนหลับระหว่างคืนได้ บางวันก็ตาสว่างเพราะตื่นตลอดเลย
แต่นั่นแหละ บางทีเราก็ทำอะไรไม่ได้จริง ๆ เราแค่อาจจะต้องเรียนรู้หาวิธีการอยู่กับมันไปแบบที่ไม่ให้เราเป็นทุกข์มากที่สุดเท่านั้นแหละ ก็คงพยายาม appreciate ตัวเองต่อไป
อะ! ประมาณนี้ 5555 สุดท้ายรูุ้สึกว่าตัวเองอยากบันทึกเรื่องราวนี้เก็บเอาไว้ รู้สึกว่ามันเป็นโมเมนต์สำคัญที่ยังอยากทำความเข้าใจต่อแต่กลัวว่าจะลืมเลยจดไว้นั่นแหละ สิ่งนี้ทำให้เรายิ่งเข้าใจเลยว่า สิ่งรอบข้างหรือคนรอบข้างแม่งสำคัญกับเราจริง ๆ เพราะถ้าเราไม่มีอินเตอร์เน็ต ไม่มีเพื่อน ไม่มีครอบครัว ไม่มีการประเมินสุขภาพจิตในวันนั้น เราอาจจะไม่ได้ดีขึ้นเหมือนวันนี้ก็ได้
ก็ถ้าใครอยากแย้บวิธีการอะไรเกี่ยวกับการนอนเพิ่มเติม ก็บอกต่อกันมาได้นะคะะะ เย้ จบปริ้ง!
ปล. รูปภาพประกอบนี้เป็นภาพจากร้านคาเฟ่แถวนครปฐม ชื่อว่า 'Bake til we die' เค้กอร่อย บรรยากาศร้านคูล ๆ มินิมอลแบบอบอุ่น ใครสนใจลองไปตำได้เลยนะคะ (อยากขายเพราะดีจริง!)
โฆษณา