Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เบื่อเมือง
•
ติดตาม
27 ธ.ค. 2022 เวลา 05:46 • ไลฟ์สไตล์
๏ ปริเฉทที่ ๑๙ (ตอน ๒)
สักยบรรพชาปริวรรต
เรื่องพระราหุล
**********
พระราหุล เป็นโอรสของเจ้าชายสิทธัตถะ (พุทธโอรส)
กับพระนางยโสธรา หรือพิมพา
เป็นพระราชนัดดาของพระเจ้าสุทโธทนะ
ผู้ครองนครกบิลพัสดุ์
ประสูติวันเดียวกันกับที่พระบิดาเสด็จออกบวช
ดังนั้น ท่านจึงเจริญพระชันษาเติบโตขึ้นมา
โดยมิเคยเห็นพระพักตร์รู้จักพระบิดาเลย
จวบจนครั้นเมื่อพระบรมศาสดาตรัสรู้แล้ว
เสด็จมาโปรดพระประยูรญาติที่กรุงกบิลพัสดุ์
เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้ว่าพระพุทธองค์
จะเสด็จเข้าไปรับอาหารบิณฑบาต
ในพระราชนิเวศน์ถึง ๖ วันแล้วก็ตาม
แต่พระนางพิมพาพระมารดาของราหุลกุมาร
ก็มิได้มาเฝ้าพระพุทธองค์ ดุจบุคคลอื่น ๆ เลย
**********
~ ราหุลกุมารทูลขอทรัพย์สมบัติ ~
ครั้นล่วงถึงวันที่ ๗
แห่งการเสด็จเยือนพระนครกบิลพัสดุ์
พระนางพิมพาราชเทวีประดับตกแต่ง
องค์ราหุลกุมารราชโอรสด้วยอาภรณ์อันวิจิตรแล้วตรัสว่า:-
“พ่อราหุลลูกรัก พ่อจงไปดูพระสมณะผู้มีผิวพรรณผ่องใส
รูปงามดุจท่านท้าวมหาพรหม แวดล้อมด้วยพระสงฆ์สาวก เป็นจำนวนมาก
พระสมณะองค์นั้นคือพระบิดาของเจ้า
พระองค์มีขุมทรัพย์มหาศาลอันสุดจะคณนา
นับแต่พระบิดาของเจ้าออกบวช เจ้าก็เหมือนหมดหวังในราชสมบัติ
เจ้าจงไปกราบไหว้พระบิดาแล้ว
กราบทูลขอทรัพย์สมบัตินั้น
ในฐานะเป็นทายาทสืบสันติวงศ์ต่อพระองค์เถิด”
ราหุลกุมาร เสด็จเข้าไปเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า
ตามพระดำรัสของพระมารดา
กราบถวายบังคมแล้ว ทอดพระเนตรดูพระสัพพัญญู
บังเกิดความรักในพระบิดา
ทรงปราโมทย์โสมนัสตรัสชมว่า
“ร่มเงาของพระองค์เย็นสดชื่นยิ่งนัก
พระพักตร์ของพระองค์สดใสสุดประมาณ”
ดังนี้แล้วก็ตรัสเรื่องอื่น ๆ ต่อไปโดยมิได้กราบทูลขอทรัพย์สมบัติ
พระพุทธองค์ ทรงกระทำภัตกิจเสร็จแล้ว
ตรัสอนุโมทนา เสด็จกลับสู่นิโครธาราม
ส่วนราหุลกุมารก็เสด็จติดตามไปจนถึงอาวาส
มิมีผู้ใดจะสามารถกราบทูลทัดทานได้
เมื่อสบโอกาสจึงกราบทูลขอทรัพย์สมบัติ
อันเป็นสิ่งที่รัชทายาทผู้สืบราชสันติวงศ์สันติวงศ์จะพึงได้รับ
**********
~ พระราชทานอริยทรัพย์ ~
พระบรมศาสดา ได้ทรงสดับดังนั้นแล้ว
ทรงดำริว่า “ราหุลกุมารปรารถนาทรัพย์สมบัติ
อันเป็นของพระบิดา ถ้าตถาคตจะให้ขุมทองแก่เธอแล้ว
ก็จะเป็นสิ่งชักนำให้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร
ด้วยเป็นสิ่งหาสาระแม้สักนิดหนึ่งก็หามีไม่
อย่ากระนั้นเลย เราจะมอบอริยทรัพย์
อันเป็นสิ่งประเสริฐสุดในพระพุทธศาสนานี้แก่เธอ
ซึ่งจะจำให้เธอเป็นโลกุตรทายาทสืบสกุลในพุทธวงศ์นี้สืบไป"
ครั้นแล้วทรงมีพระดำรัสสั่งให้พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร
จัดการบรรพชาให้แก่ราหุลกุมารในวันนั้น
ด้วยวิธีให้รับไตรสรณคมน์
และสามเณรราหุล
ได้ชื่อว่าเป็น "สามเณรองค์แรกในพระพุทธศาสนา"
**********
~ พระเจ้าสุทโธทนะทูลขอพร ~
พระเจ้าสุทโธทนะ
เมื่อทราบว่าราหุลกุมารบรรพชาแล้ว
ทรงโทมนัสเสียพระทัยเป็นอย่างยิ่ง
ด้วยหวังไว้แต่เดิมว่า เมื่อพระราชโอรสสิทธัตถะออกบวชแล้ว
ก็หวังจะได้นันทกุมารสืบราชสมบัติต่อ
แต่พระบรมศาสนาก็ทรงพานันทะออกบวช ทำให้ผิดหวังเป็นคำรบสอง
แต่ก็ยังมีหวังอยู่ว่าจะให้ราหุลกุมารหลานรัก
เป็นทายาทสืบราชสมบัติต่อไป
แต่แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงนำไปบวชเสียอีก
จึงหมดสิ้นผู้สืบราชสมบัติต่อไป
ทรงดำริต่อไปอีกว่า หากปล่อยไว้อย่างงี้อีกไม่นาน บรรดากุมารในศากยสกุลก็จะถูกนำไปบวชจนหมดสิ้น
อนึ่ง ความทุกข์โทมนัสอย่างนี้ก็จะเกิดแก่บิดามารดาในสกุลอื่น ๆ
ด้วยเหตุสิ้นคนสืบสกุล
จึงรีบเสด็จไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าที่นิโครธาราม
กราบทูลขอประทานพระพุทธอนุญาตว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นับต่อแต่นี้ไป
ถ้ากุลบุตรผู้ใดแม้ประสงค์จะบวชในพระพุทธศาสนา
หากมารดาบิดายังมิยอมพร้อมใจกันอนุญาตให้บวชแล้ว
ขอได้โปรดงดเสีย อย่าได้ให้บรรพชาแก่กุลบุตรผู้นั้นเลย”
พระบรมศาสดา ได้ประทานพร
ตามที่พระพุทธบิดากราบทูลขอแล้วถวายพระพรลา
พาพระนันทะ และสามเณรราหุล
พร้อมด้วยหมู่ภิกษุสงฆ์เสด็จกลับสู่มหานครราชคฤห์
**********
~ บรรลุพระอรหัตผล ~
วันหนึ่ง
ขณะที่พระราหุลพักอยู่ที่สวนมะม่วง ในกรุงราชคฤห์
พระบรมศาสดาเสด็จไปที่นั่น
ทรงแสดงพระธรรมเทศนาราหุโลวาทสูตร
ให้ท่านฟังหลังจากนั้นทรงสอนในทางวิปัสสนา
ทรงยกอายตนะภายใน และภายนอกขึ้นแสดง
พระราหุล ส่งจิตไปตามกระแสพระธรรมเทศนา
ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล
ได้รับยกย่องเป็น "ผู้ใคร่การศึกษา"
พระราหุล เป็นผู้มีอัธยาศัยใคร่ต่อการศึกษาพระธรรมวินัย
ทุกวันที่ท่านตื่นขึ้นมาเวลาเช้า
ท่านจะกำทรายให้เต็มฝ่าพระหัตถ์แล้วตั้งความปรารถนาว่า
“วันนี้ ข้าพเจ้าพึงได้รับคำสั่งสอนจากสำนักพระบรมศาสดา
สำนักพระอุปัชฌาย์และสำนักพระอาจารย์ทั้งหลายให้ได้
ประมาณเท่าเม็ดทรายในกำมือของข้าพเจ้านี้”
ด้วยเหตุนี้
ท่านจึงได้รับการยกย่องจากพระบรมศาสดา
ให้ดำรงตำแหน่งเอตทัคคะเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย
ในทาง "ผู้ใคร่ในการศึกษา"
**********
~ ต้นบัญญัติ ห้ามภิกษุนอนร่วมกับอนุปสัมบัน ~
ในขณะเมื่อท่านยังเป็นสามเณรเล็ก ๆ อยู่นั้น
ท่านเป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย
จนเป็นที่เลื่องลือในหมู่ภิกษุทั้งหลาย
ด้วยว่า ครั้งนั้นพุทธบริษัททั้งหลาย
ฟังธรรมกันยามค่ำคืน
โดยมีพระเถระผลัดเปลี่ยนกันแสดงธรรม
เมื่อสิ้นสุดการแสดงธรรมแล้ว
พระเถระผู้ใหญ่ต่างก็กลับที่พักของตน
ส่วนพระภิกษุผู้บวชใหม่ และสามเณรรวมทั้งอุบาสก
ที่ไม่สามารถจะกลับที่พักได้เพราะค่ำมืด
จึงอาศัยนอนกันในโรงธรรมนั้น
เนื่องจากเป็นพระบวชใหม่ จึงไม่สำรวมในการนอน
ทำให้เกิดภาพที่ไม่น่าดู
รุ่งเช้า อุบาสกทั้งหลายพากันติเตียน
และความทราบไปถึงพระผู้มีพระภาค
พระพุทธองค์จึงรับสั่งประชุมสงฆ์แล้วทรงบัญญัติสิกขาบท
“ห้ามภิกษุนอนร่วมในที่มุงที่บังเดียวกันกับอนุปสัมบัน
(อนุปสัมบัน คือ ผู้มิใช่พระภิกษุ)
ถ้านอนร่วมต้องอาบัติปาจิตตีย์”
**********
ครั้นในคืนต่อมา
สามเณรไม่สามารถจะนอนร่วมกับพระภิกษุได้
และเมื่อไม่มีที่จะนอน
ท่านจึงเข้าไปนอนในเว็จกุฏี (ส้วม)
ของพระบรมศาสดาเมื่อเวลาใกล้รุ่ง
พระพุทธองค์เสด็จไปพบเธอนอนในที่นั้น
และทรงทราบว่าเพราะเธอไม่มีที่นอนอันเนื่องมาจากพุทธบัญญัติ
ทำให้พระองค์สลดพระทัยจึงดำริว่า
“ต่อไปภายหน้า สามเณรน้อย ๆ จะได้รับความลำบาก
เพราะขาดผู้ดูแลเอาใจใส่”
จึงรับสั่งให้ประชุมสงฆ์แล้วทรงบัญญัติสิกขาบทเพิ่มเติมว่า:-
“ให้ภิกษุนอนร่วมกับอนุปสัมบันได้ ๓ คืน
ถ้าเกิน ๓ คืน พระภิกษุต้องอาบัติปาจิตตีย์”
ในพุทธบัญญัตินี้ หมายถึงให้ภิกษุนอนร่วมกับอนุปสัมบันได้ ๓ คืน
ในคืนที่ ๔ ให้เว้นเสีย ๑ คืน แล้วค่อยกลับมานอนรวมกันใหม่ได้
โดยเริ่มนับหนึ่งจนถึงคืนที่ ๓ ทำโดยทำนองนี้
จนกว่าจะมีสถานที่นอนแยกกันเป็นการถาวร
**********
เมื่อราหุลกุมาร บรรพชาเป็นสามเณรแล้ว
ตามเสด็จพระบรมศาสดา และพระสารีบุตรเถระอุปัชฌาย์ของตน
ไปยังสถานที่ต่าง ๆ เมื่ออายุครบก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ
**********
~ ดับขันธปรินิพพาน ณ ดาวดึงส์เทวโลก ~
ท่านพระราหุลเถระ ดำรงอายุสังขาร
โดยสมควรแก่กาลเวลาแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน
ที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ณ ดาวดึงส์เทวโลก
ท่านมีอายุไม่มากนัก
เพราะท่านนิพพานก่อนพระพุทธองค์ผู้เป็นพระบิดา
ก่อนพระสารีบุตรผู้เป็นพระอุปัชฌาย์
ก่อนพระมหาโมคคัลลานะผู้เป็นพระอาจารย์
**********
~ ตำแหน่งอันเลิศแห่งภิกษุ ผู้ใคร่ต่อการศึกษา ~
เรื่องพระราหุลเถระนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร?
พระเถระแม้นี้ได้กระทำบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าในปางก่อน
สั่งสมบุญในภพนั้นๆ
ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าปทุมุตตระ
บังเกิดในเรือนมีตระกูล ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว
เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่ง
ไว้ในตำแหน่งอันเลิศแห่ง "ภิกษุผู้ใคร่ต่อการศึกษา"
แม้ตนเองก็ปรารถนาตำแหน่งนั้น...
บำเพ็ญบุญเป็นอันมาก มีชำระเสนาสนะให้สะอาด
(อานิสงส์ ทำความสะอาดกุฏิ ศาลา ที่พัก)
และตามประทีปให้สว่างเป็นต้น
จึงตั้งความ ปรารถนาไว้...
เธอเมื่อจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว
ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก
ในพุทธุปบาทกาลนี้อาศัยพระโพธิสัตว์ของเราทั้งหลาย
บังเกิดในท้องของพระนางยโสธราเทวี
ทรงพระนามว่าราหุล เจริญด้วยขัตติยบริหารเป็นอันมาก.
ครั้นท่านบรรพชาแล้วได้รับพระโอวาทด้วยสุตตบทเป็นอันมาก
ในสำนักของพระศาสดา มีญาณแก่กล้า
บำเพ็ญวิปัสสนาบรรลุพระอรหัต.
**********
ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทานว่า
"เราได้ถวายเครื่องลาดในปราสาท ๗ ชั้น
แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ
เชษฐบุรุษของโลก ผู้คงที่ พระมหามุนีผู้เป็นจอมแห่งชน
เป็นนระผู้ประเสริฐ อันพระขีณาสพพันหนึ่งแวดล้อมแล้ว
เสด็จเข้าพระคันธกุฏี"
"พระศาสดาผู้ประเสริฐกว่าเทวดา เป็นนระผู้องอาจ
ทรงยังพระคันธกุฎีให้รุ่งเรือง ประทับยืนในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า"
"ที่นอนนี้ผู้ใดให้โชติช่วงแล้ว
(ทำความสะอาดกุฏิศาลาที่พัก)
ดังกระจกเงาอันขัดดีแล้ว
เราจักพยากรณ์ผู้นั้น"
"ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าว ปราสาททองอันงดงาม
หรือปราสาทแก้วไพฑูรย์เป็นที่รักแห่งใจ จักบังเกิดแก่ผู้นั้น"
"ผู้นั้นจักเป็นจอมเทวดา เสวยเทวรัชสมบัติอยู่ ๖๔ ชาติ"
"และเป็น พระเจ้าจักรพรรดิ ติดกันต่อหนึ่งพันชาติ"
"ใน ๒๑ กัป จักได้เป็น กษัตริย์พระนามว่า วิมล
จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิพระนามว่า วิชิตาวี
ทรงครอบครองแผ่นดินมีสมุทรสาคร ๔ เป็นขอบเขต
พระนครชื่อเรณุวดีสร้างด้วยแผ่นอิฐ โดยยาว ๓๐๐ โยชน์
สี่เหลี่ยมจตุรัส ปราสาทชื่อสุทัสนะ อันวิสสุกรรมเทพบุตรนิรมิตให้
ประกอบด้วยเรือนยอดอันประเสริฐ ประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ
อึกทึกด้วยเสียง ๑๐ อย่าง วิทยาธรมาเกลื่อนกล่นอยู่
เหมือนจักเป็นนครชื่อสุทัสนะของเหล่าเทวดา
รัศมีแห่งนครนั้นเปล่งปลั่งดังเมื่อพระอาทิตย์อุทัย
นครนั้นจะรุ่งเรืองเจิดจ้าโดยรอบ ๘ โยชน์ อยู่เป็นนิจ"
"ในแสนกัป พระศาสดาทรงพระนามว่าโคดม โดยพระโคตร
ซึ่งสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติในโลก
ผู้นั้นอันกุศลมูลตักเตือนแล้วจักเคลื่อนจากภพดุสิต
จักได้เป็นพระราชโอรสของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าโคดม"
"ถ้าจะพึงอยู่ครองเรือน ผู้นั้นพึงได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
แต่ข้อที่เธอจะคงที่ถึงความยินดีในเรือนนั้น ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้"
"เธอจักออกบวชเป็นบรรพชิต เป็นผู้มีวัตรอันงาม
จักได้เป็นพระอรหันต์มีนามว่าราหุล"
"พระมหามุนีทรงพยากรณ์เธอว่า
มีปัญญาสมบูรณ์ด้วยศีล เหมือนนกต้อยตีวิดรักษาไข่
ดังจามรีรักษาขนหาง"
"พระศาสดาทรงพระนามว่าโคดม
จักสถาปนาเธอไว้ในตำแหน่งอันเลิศแห่งภิกษุ
ผู้ใคร่ต่อการศึกษา"
**********
~ ราหุลเถรคาถา ~
อนึ่ง ครั้นท่านบรรลุพระอรหัตแล้ว
พิจารณาข้อปฏิบัติของตน
เมื่อจะพยากรณ์พระอรหัตผล
จึงได้กล่าวคาถา
"เรารู้ทั่วถึงธรรมของพระองค์แล้ว ยินดีอยู่ในศาสนา
เรากำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว ไม่มีอาสวะอยู่
คุณวิเศษเหล่านี้คือปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖
เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนา เราได้ทำสำเร็จแล้ว ฉะนี้แล"
**********
ราหุลเถรคาถา
สุภาษิตแสดงคุณสมบัติ ๒ ประการ
"ชนทั้งหลายย่อมรู้จักเราว่า
พระราหุลผู้เจริญ สมบูรณ์ด้วยคุณสมบัติ ๒ ประการ
คือ ชาติสมบัติ ๑ ปฏิบัติสมบัติ ๑
เพราะเราเป็นโอรสของพระพุทธเจ้า
และเป็นผู้มีปัญญาเห็นธรรมทั้งหลาย
อนึ่ง เพราะอาสวะของเราสิ้นไปและภพใหม่ไม่มีต่อไป
เราเป็นพระอรหันต์ เป็นพระทักขิไณยบุคคล
มีวิชชา ๓ เป็นผู้เห็นอมตธรรม
สัตว์ทั้งหลายเป็นดังคนตาบอด
เพราะเป็นผู้ไม่เห็นโทษในกาม
ถูกข่ายคือตัณหาปกคลุมแล้ว
ถูกหลังคา คือตัณหาปกปิดแล้ว
ถูกมารผูกแล้วด้วยเครื่องผูก
คือความประมาท
เหมือนปลาในปากลอบ
(หมู่สัตว์ย่อมหมุนเวียนไปในสงสาร
เหมือนปลาที่ติดอยู่ในไซ)
เราถอนกามนั้นขึ้นได้แล้ว
(คือละเสีย ด้วยการปฏิบัติอันเป็นส่วนเบื้องต้น)
ตัดเครื่องผูกของมารได้แล้ว
(ใช้ศัสตราคืออริยมรรค ตัดได้เด็ดขาดแล้ว )
ถอนตัณหา พร้อมทั้งรากขึ้นแล้ว
(รื้อถอนตัณหา มีกามตัณหาเป็นต้น
พร้อมทั้งราก กล่าวคือ อวิชชา นั้นนั่นแล
ชื่อว่าถอน ตัณหาพร้อมทั้งราก)
เป็นผู้มีความเยือกเย็น ดับแล้ว"
(เป็นผู้เย็นเพราะไม่มีความกระวนกระวาย
และความเร่าร้อนคือกิเลสทั้งปวง
ดับสนิท ด้วยสอุปาทิเสสนิพพานธาตุ.)
**********
ที่มา
https://www.facebook.com/492287657495171/photos/a.5744387202285164/5858461684211048/
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
พุทธประวัติ
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย