Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เบื่อเมือง
•
ติดตาม
28 ธ.ค. 2022 เวลา 05:24 • ไลฟ์สไตล์
๏ ปริเฉทที่ ๑๙ (ตอน ๓)
สักยบรรพชาปริวรรต
เจ้าศากยะเสด็จออกผนวช
**********
~ เจ้าศากยะ ๖ พระองค์ทรงผนวช ~
เมื่อพระศาสดา ทรงอาศัยนิคมชื่ออนุปิยะแห่งมัลลกษัตริย์
ประทับอยู่ที่อนุปิยอัมพวันนั่นแล,
ในวันรับพระลักษณะแห่งพระตถาคตนั่นเทียว
ตระกูลพระญาติแปดหมื่นมอบพระโอรสแปดหมื่นให้
ด้วยคำว่า “สิทธัตถกุมาร จงเป็นพระราชาก็ตาม
เป็นพระพุทธเจ้าก็ตาม, จักมีกษัตริย์เป็นบริวารเที่ยวไป”,
เมื่อพระโอรสเหล่านั้นผนวชแล้วโดยมาก,
เหล่าพระญาติเห็นศากยะ ๖ พระองค์นี้
คือ ภัททิยราชา อนุรุทธะ อานันทะ ภคุ กิมพิละ เทวทัต
ยังมิได้ผนวชจึงสนทนากันว่า “พวกเรายังให้ลูกๆ ของตนบวชได้,
ศากยะทั้ง ๖ นี้ ชะรอยจะไม่ใช่พระญาติกระมัง?
เพราะฉะนั้น จึงมิได้ทรงผนวช.”
ครั้งนั้น เจ้ามหานามศากยะเข้าไปหาเจ้าอนุรุทธะ
ตรัสว่า “พ่อผู้ออกบวชจากตระกูลของเรายังไม่มี,
น้องจักบวช หรือว่าพี่จักบวช.”
**********
~ ขนมไม่มี ~
ก็เจ้าอนุรุทธกุมารนั้นเป็นกษัตริย์ผู้สุขุมาล
มีโภคะสมบูรณ์ แม้คำว่า “ไม่มี” พระองค์ก็ไม่เคยทรงสดับ.
จริงอยู่ วันหนึ่งเมื่อกษัตริย์ ๖ พระองค์นั้นทรงเล่นกีฬาลูกขลุบอยู่,
เจ้าอนุรุทธะทรงปราชัยด้วยขนมแล้ว ส่ง (คน) ไปเพื่อต้องการขนม.
คราวนั้น พระมารดาของท่านทรงจัดขนมส่งไป.
กษัตริย์ทั้งหกเสวยแล้วทรงเล่นกันอีก.
เจ้าอนุรุทธะนั้นแล เป็นฝ่ายแพ้ร่ำไป.
ส่วนพระมารดา เมื่อพระองค์ส่งคนไปๆ ก็ส่งขนมไปถึง ๓ ครั้ง
ในวาระที่ ๔ ส่งไปว่า “ขนมไม่มี.”
พระกุมารทรงสำคัญว่า “ขนมแม้นี้ จักเป็นขนมประหลาดชนิดหนึ่ง”
เพราะไม่เคยทรงได้ยินคำว่า “ไม่มี”
จึงส่งคนไปว่า “จงนำขนมไม่มีนั่นแลมาเถอะ”
เมื่อคนกลับมา กราบทูลว่า
“ข้าแต่พระเจ้าแม่ ได้ยินว่า พระองค์จงประทานขนมไม่มี”,
พระมารดาจึงทรงพระดำริว่า
“ลูกของเราไม่เคยได้ยินบทว่า ‘ไม่มี’,
แต่เราจักให้รู้ความนั่นด้วยอุบายนี้”
จึงทรงปิดถาดทองคำเปล่าด้วยถาดทองคำอื่นแล้วส่งไป.
เหล่าเทวดาที่รักษาพระนครคิดว่า
“เจ้าอนุรุทธศากยะได้ถวายภัตอันเป็นส่วนตัว
แด่พระปัจเจกพุทธเจ้านามว่าอุปริฏฐะ
ในคราวที่ตนเป็นนายอันนภาระ
ทรงทำความปรารถนาไว้ว่า
‘ขอข้าพเจ้าจงอย่าได้สดับ คำว่า ‘ไม่มี’,
อย่ารู้สถานที่เกิดแห่งโภชนะ’,
ถ้าว่าเจ้าอนุรุทธะนี้ จักทรงเห็นถาดเปล่าไซร้,
พวกเราก็จักไม่ได้เข้าไปสู่เทวสมาคม,
ทั้งศีรษะของพวกเราก็จะพึงแตก ๗ เสี่ยง”
ทีนั้น จึงได้ทำถาดนั้นให้เต็มด้วยขนมทิพย์
เมื่อถาดนั้นพอเขาวางลงที่สนามเล่นขลุบแล้วเปิดขึ้น,
กลิ่นขนมก็ตั้งตลบไปทั่วทั้งพระนคร.
ชิ้นขนมนั้น แต่พอกษัตริย์ทั้งหกหยิบเข้าไปในพระโอฐเท่านั้น
ก็แผ่ซ่านไปทั่วประสาทรับรสทั้งเจ็ดพัน.
พระกุมารนั้นทรงพระดำริว่า
“เราคงจะไม่เป็นที่รักของพระมารดา,
พระมารดาจึงไม่ทรงปรุงชื่อขนมไม่มีนี้ประทานเรา
ตลอดเวลาถึงเพียงนี้, ตั้งแต่นี้ไป เราจักไม่กินขนมอื่น”,
ดังนี้แล้ว เสด็จไปสู่ตำหนัก ทูลถามพระมารดาว่า
“เจ้าแม่ หม่อมฉันเป็นที่รักของเจ้าแม่หรือไม่เป็นที่รัก?”
พระมารดา : พ่อ พ่อย่อมเป็นที่รักยิ่งของแม่
เสมือนนัยน์ตาของคนมีตาข้างเดียว และเหมือนดวงใจ (ของแม่) ฉะนั้น.
เจ้าอนุรุทธะ : เมื่อเช่นนั้น เหตุไร เจ้าแม่จึงไม่ทรงปรุงขนมไม่มี
ประทานแก่หม่อมฉันตลอดเวลาถึงเพียงนี้เล่า เจ้าแม่.
พระนางรับสั่งถามมหาดเล็กคนสนิทว่า
“ขนมอะไรๆ มีอยู่ในถาดหรือ พ่อ”
เขาทูลว่า “ข้าแต่พระแม่เจ้า ถาดเต็มเปี่ยมด้วยขนม,
ชื่อว่าขนมเห็นปานนี้ กระหม่อมฉันก็ยังไม่เคยเห็นแล้ว”
พระนางทรงพระดำริว่า “บุตรของเราจักเป็นผู้มีบุญมีอภินิหารได้ทำไว้แล้ว,
เทวดาทั้งหลายจักใส่ขนมให้เต็มถาดส่งไปแล้ว.”
ลำดับนั้น พระโอรสจึงทูลพรมารดาว่า
"เจ้าแม่ ตั้งแต่นี้ไป หม่อมฉันจักไม่เสวยขนมอื่น,
ขอเจ้าแม่พึงปรุงแต่งขนมไม่มีอย่างเดียว”
ตั้งแต่นั้นมา แม้พระนาง เมื่อพระกุมารนั้นทูลว่า
“หม่อมฉันต้องการเสวยขนม”
ก็ทรงครอบถาดเปล่านั่นแล ด้วยถาดอื่น ส่งไปประทานพระกุมารนั้น.
เทวดาทั้งหลายส่งขนมทิพย์
ถวายพระกุมารนั้นตลอดเวลาที่ท่านเป็นฆราวาส.
**********
เรื่องบุรพกรรมของพระอนุรุทธะ
ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตรนั่นแล
กุลบุตร (อดีตชาติของพระอนุรุทธะ) แม้นี้ได้ไปกับมหาชนผู้ไปยังวิหาร
เพื่อฟังธรรมภายหลังภัตตาหาร.
ก็ครั้งนั้น กุลบุตรผู้นี้ได้เป็นกุฎุมพีผู้ยิ่งใหญ่ไม่ปรากฏชื่อคนหนึ่ง.
เขาถวายบังคมพระทศพลแล้วยืนอยู่ท้ายบริษัทฟังธรรมกถา.
พระศาสดาทรงสืบต่อพระธรรมเทศนาตามอนุสนธิ
แล้วทรงสถาปนาภิกษุ "ผู้มีทิพยจักษุ" รูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ.
ลำดับนั้น กุฎุมพีได้มีดำริดังนี้ว่า
"ภิกษุนี้ใหญ่หนอ พระศาสดาทรงตั้งไว้
ในความเป็นยอดของภิกษุผู้มีทิพยจักษุ"
"โอหนอ แม้เราก็พึงเป็นยอดของภิกษุผู้มีจักษุทิพย์
ในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้จะอุบัติในอนาคต"
ดังนี้แล้วเกิดความคิดดังนี้ขึ้น
เดินเข้าไประหว่างบริษัท
ทูลนิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้ากับพระภิกษุแสนหนึ่ง เพื่อเสวยในวันพรุ่งนี้.
ในวันรุ่งขึ้น ถวายมหาทานแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
คิดว่า "เราปรารถนาตำแหน่งใหญ่
จึงทูลนิมนต์ ทำมหาทานให้เป็นไปถึง ๗ วัน"
ถวายผ้าอย่างดีเยี่ยมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พร้อมทั้งบริวารแล้วทำความปรารถนาว่า
"ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ทำสักการะนี้
เพื่อประโยชน์แก่ทิพยสมบัติหรือมนุษยสมบัติก็หามิได้
ก็พระองค์ทรงตั้งภิกษุใดไว้ในตำแหน่งเป็นยอดของภิกษุผู้มีทิพยจักษุ
แม้ข้าพระพุทธเจ้าก็พึงเป็นยอดของภิกษุผู้มีทิพยจักษุเหมือนภิกษุองค์นั้น
ในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาล"
ดังนี้แล้วหมอบลงแทบพระบาทของพระศาสดา.
พระศาสดาทรงตรวจดูในอนาคต
ทรงทราบว่าความปรารถนาของเขาสำเร็จ จึงตรัสอย่างนี้ว่า
"ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ในที่สุดแสนกัปในอนาคต
พระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม จักอุบัติขึ้น
ท่านจักมีชื่อว่าอนุรุทธะเป็นยอดของภิกษุผู้มีทิพยจักษุ
ในพระศาสนาของพระโคดมพุทธเจ้านั้น"
ก็แหละครั้นตรัสอย่างนี้แล้วทรงกระทำภัตตานุโมทนาเสด็จกลับไปพระวิหาร.
ฝ่ายกุฏุมพีทำกรรมงามไม่ขาดเลย
ตราบที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่
เมื่อพระศาสดาปรินิพพานแล้ว
เมื่อสร้างเจดีย์ทองประมาณ ๗ โยชน์สำเร็จแล้ว
จึงเข้าไปหาภิกษุสงฆ์ถามว่า อะไรเป็นบริกรรมของทิพยจักษุ ขอรับ.
ภิกษุสงฆ์บอกว่า ควรให้ประทีปนะ อุบาสก.
อุบาสกกล่าวว่า ดีละขอรับ ผมจักทำ
จึงให้สร้างต้นประทีปพันต้นเท่ากับประทีปพันดวงก่อน
ถัดจากนั้นสร้างให้ย่อมกว่านั้น ถัดจากนั้นสร้างให้ย่อมกว่านั้น
รวมความว่าได้สร้างต้นประทีปหลายพันต้น.
ส่วนประทีปที่เหลือประมาณไม่ได้.
เขาทำกัลยาณกรรมอย่างนี้ตลอดชีวิต
ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
ล่วงไปแสนกัป ในกาลแห่งพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า
บังเกิดในเรือนกุฎมพีใกล้กรุงพาราณสี.
เมื่อพระศาสดาปรินิพพาน เมื่อสร้างเจดีย์ประมาณ ๑ โยชน์สำเร็จแล้ว
ให้สร้างภาชนะสำริดเป็นอันมากบรรจุเนยใสจนเต็ม
ให้วางใส้ตะเกียงเว้นระยะองคุลี ๑ๆ ในท่ามกลาง
ให้จุดไฟขึ้นให้ล้อมพระเจดีย์ ให้ขอบปากต่อขอบปากจดกัน
ให้สร้างภาชนะสำริดใหญ่กว่าเขาทั้งหมดสำหรับตนใส่เนยใสเต็ม
จุดใส้ตะเกียงพันดวงรอบๆ ขอบปากภาชนะสำริดนั้น
เอาผ้าเก่าที่เป็นจอมหุ้มไว้ตรงกลาง ให้จุดไฟเทินภาชนะสำริด
เดินเวียนเจดีย์ประมาณ ๑ โยชน์ตลอดคืนยังรุ่ง.
เขาทำกัลยาณกรรมตลอดชีวิตด้วยอัตตภาพแม้นั้น
ด้วยอาการอย่างนี้ แล้วบังเกิดในเทวโลก.
เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่อุบัติขึ้น
เขาถือปฏิสนธิในเรือนของตระกูลเข็ญใจในนครนั้นนั่นแลอีก
เป็นคนหาบหญ้า อาศัยสุมนเศรษฐีอยู่ เขาได้มีชื่อว่า "อันนภาระ"
ฝ่ายสุมนเศรษฐีนั้นให้มหาทานที่ประตูบ้านแก่คนกำพร้า
คนเดินทางวณิพกและยาจกทุกวันๆ.
ภายหลัง ณ วันหนึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้านามว่า "อุปริฏฐะ"
เข้านิโรธสมาบัติที่ภูเขาคันธมาทน์ ออกจากสมาบัตินั้นแล้วพิจารณาว่า
"วันนี้ควรจะทำการอนุเคราะห์ใคร"
ก็ธรรมดาพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมเป็นผู้อนุเคราะห์คนเข็ญใจ
ท่านคิดว่าวันนี้เราควรทำการอนุเคราะห์ "นายอันนภาระ"
ทราบว่า นายอันนภาระจักออกจากดงมายังบ้านตน
จึงถือบาตรและจีวรจากภูเขาคันธมาทน์
เหาะขึ้นสู่เวหาสมาปรากฏเฉพาะหน้านายอันนภาระที่ประตูบ้านนั่นเอง.
นายอันนภาระเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
ถือบาตรเปล่าจึงอภิวาทพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วถามว่า
"ท่านได้ภิกษาบ้างไหมขอรับ"
พระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวว่า จักได้ ผู้มีบุญมาก.
เขากล่าวว่า โปรดรออยู่ที่นี้ก่อนเถิดขอรับ
แล้วรีบไป ถามแม่บ้านในเรือนของตนว่า
"นางผู้เจริญ ภัตอันเป็นส่วนเก็บไว้เพื่อเรามีหรือไม่"
นางตอบว่า "มีจ้ะนาย"
เขาไปจากที่นั้นรับบาตรจากมือพระปัจเจกพุทธเจ้ามากล่าวว่า
"นางผู้เจริญ เพราะค่าที่ไม่ได้ทำกัลยาณกรรมไว้ในชาติก่อน
เราทั้ง ๒ จึงหวังได้อยู่แต่การรับจ้าง
เมื่อความปรารถนาจะให้ของพวกเรามีอยู่ แต่ไทยธรรม (วัตถุทาน) ไม่มี
เมื่อไทยธรรม (วัตถุทาน) มี ก็ไม่ได้ปฏิคาหก (ผู้รับทาน) "
"วันนี้เราพบพระอุปริฏฐปัจเจกพุทธเจ้าเข้าพอดี
และภัตอันเป็นส่วนแบ่งก็มีอยู่ เจ้าจงใส่ภัตที่เป็นส่วนของฉันลงในบาตรนี้"
หญิงผู้ฉลาดคิดว่า
"เมื่อใดสามีของเราให้ภัตซึ่งเป็นส่วนแบ่ง เมื่อนั้นแม้เราก็พึงมีส่วนในทานนี้"
จึงวางแม้ภัตอันเป็นส่วนของตน ลงในบาตรถวายแก่อุปริฏฐปัจเจกพุทธเจ้า.
นายอันนภาระนำบาตรอันบรรจุภัตมาวางในมือของพระปัจเจกพุทธเจ้า
แล้วกล่าวว่า
"ขอให้พวกข้าพเจ้าพ้นจากความอยู่อย่างลำบากเห็นปานนี้เถิดขอรับ"
(ขอคำว่า "ไม่มี" จงอย่าปรากฎแก่ข้าพเจ้า)
พระปัจเจกพุทธเจ้าอนุโมทนาว่า
"จงสำเร็จอย่างนั้นเถิด ผู้มีบุญมาก"
เขาลาดผ้าห่มของตนลง ณ ที่ส่วนหนึ่งแล้วกล่าวว่า
"ขอจงนั่งฉันที่นี้เถิด ขอรับ"
พระปัจเจกพุทธเจ้านั่ง ณ อาสนะนั้นแล้ว
พิจารณาความเป็นของปฏิกูล ๙ อย่างแล้วจึงฉัน
เมื่อฉันเสร็จแล้ว นายอันนภาระจึงถวายน้ำสำหรับล้างบาตร.
พระปัจเจกพุทธเจ้าเสร็จภัตกิจแล้วกระทำอนุโมทนาว่า
"สิ่งที่ท่านต้องการแล้ว ปรารถนาแล้ว จงสำเร็จพลันเทียว
ความดำริจงเต็มหมด เหมือนพระจันทร์เพ็ญ ๑๕ ค่ำฉะนั้น
สิ่งที่ท่านต้องการแล้ว ปรารถนาแล้ว จงสำเร็จพลันเทียว
ความดำริจงเต็มหมด เหมือนมณีมีประกายโชติช่วง ฉะนั้น"
แล้วออกเดินทางไป.
เทวดาที่สิงอยู่ที่ฉัตรของสุมนเศรษฐีกล่าวว่า
"น่าอัศจรรย์ ทานที่ตั้งไว้ดีแล้วในพระปัจเจกพุทธเจ้านามว่าอุปริฏฐะ
เป็นทานอย่างยิ่ง" ถึง ๓ ครั้ง แล้วได้ให้สาธุการ
สุมนเศรษฐีกล่าวว่า
"ท่านไม่เห็นเราให้ทานอยู่ตลอดเวลามีประมาณเท่านี้ดอกหรือ"
เทวดากล่าวว่า "เราไม่ให้สาธุการในทานของท่าน
เราเลื่อมใสในบิณฑบาตที่นายอันนภาระถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า
นามว่าอุปริฏฐะ จึงให้สาธุการ"
สุมนเศรษฐีดำริว่า "เรื่องนี้น่าอัศจรรย์หนอ
เราให้ทานตลอดเวลามีประมาณเท่านี้
ก็ไม่อาจทำให้เทวดาให้สาธุการ นายอันนภาระนี้อาศัยเราอยู่
ด้วยการถวายบิณฑบาตครั้งเดียวเท่านั้น ทำให้เทวดาให้สาธุการได้"
เพราะได้บุคคลผู้เป็นปฏิคาหก (ผู้รับมีศีล) ที่สมควร
"เราให้สิ่งที่สมควรแก่นายอันนภาระนั้น
แล้วทำบิณฑบาตนั้นให้เป็นของของเราจึงจะควร"
ดังนี้ เรียกนายอันนภาระมาแล้วถามว่า
"วันนี้เจ้าให้ทานอะไรๆ แก่ใครหรือ.
นายอันนภาระ : ขอรับนายท่าน "ข้าพเจ้าถวายภัตรที่เป็นส่วนของข้าพเจ้า
แก่พระปัจเจกพุทธเจ้านามว่าอุปริฏฐะ"
เศรษฐีกล่าวว่า "เอาเถอะเจ้า เธอจงรับกหาปณะไป
แล้วให้บิณฑบาตนั้นแก่เราเถอะ"
นายอันนภาระ : ให้ไม่ได้หรอก นายท่าน.
เศรษฐีเพิ่มทรัพย์ขึ้นจนถึงพันกหาปณะ.
นายอันนภาระก็ยังกล่าวว่า แม้ถึงพันกหาปณะก็ยังให้ไม่ได้.
เศรษฐีกล่าวว่า "ช่างเถอะเจ้า หากเจ้าไม่ให้บิณฑบาตก็จงรับทรัพย์
พันกหาปณะไปแล้วจึงให้ส่วนบุญแก่ฉันเถอะ"
นายอันนภาระกล่าวว่า "ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าแม้ส่วนบุญนั้น
ควรให้หรือไม่ควรให้ แต่ข้าพเจ้าจะถามพระปัจเจกพุทธเจ้า
นามว่าอุปริฏฐะดู ถ้าควรให้ก็จักให้ ถ้าไม่ควรให้ก็จักไม่ให้"
นายอันนภาระเดินไปทันพระปัจเจกพุทธเจ้า ถามว่า
"ท่านเจ้าข้า สุมนเศรษฐีให้ทรัพย์แก่ข้าพเจ้าพันหนึ่ง
ขอส่วนบุญในบิณฑบาตที่ถวายแก่ท่าน ข้าพเจ้าควรจะให้หรือไม่ให้"
พระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวว่า "บัณฑิต เราจักทำอุปมาแก่ท่าน
เหมือนอย่างว่า ในบ้านตำบลนี้มีร้อยตระกูล
เราจุดประทีปไว้ในเรือนหลังหนึ่งเท่านั้น
ตระกูลพวกนี้ เอาน้ำมันเติมให้ใส้ตะเกียงชุ่ม แล้วมาต่อไฟถือไป
แสงของประทีปดวงเดิมยังมีอยู่หรือหาไม่"
(การให้ส่วนบุญ อุปมาเหมือน การต่อไฟ ให้กัน)
นายอันนภาระกล่าวว่า "ท่านเจ้าข้า แสงประทีปก็สว่างขึ้นไปอีก เจ้าข้า"
ข้อนี้อุปมาฉันใด "ดูก่อนบัณฑิต ข้าวยาคูกระบวยหนึ่ง
หรือข้าวสวยทัพพีหนึ่งจงยกไว้
เมื่อท่านให้ส่วนบุญแก่คนเหล่าอื่นในบิณฑบาตของตน
พันคนหรือแสนคนก็ตาม"
"ให้แก่คนเท่าใด บุญก็เพิ่มขึ้น แก่ตนมีประมาณเท่านั้น"
"เมื่อท่านให้ก็ให้บิณฑบาตอันเดียวนั่นแหละ
ต่อเมื่อให้ส่วนบุญแก่สุมนเศรษฐีอีกเล่า
บิณฑบาตก็ขยายไปเป็น ๒ คือของท่านส่วนหนึ่ง ของเศรษฐีส่วนหนึ่ง ดังนี้"
นายอันนภาระกราบพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วกลับไปยังสำนักของสุมนเศรษฐี
กล่าวว่า "ขอท่านจงรับส่วนบุญในบิณฑบาตทานเถิด นายท่าน"
เศรษฐีกล่าวว่า "เชิญท่านรับทรัพย์พันกหาปณะไปเถิด"
นายอันนภาระกล่าวว่า "ข้าพเจ้าไม่ได้ขายบิณฑบาตทาน
แต่ข้าพเจ้าให้ส่วนบุญแก่ท่านด้วยศรัทธา"
เศรษฐีกล่าวว่า "พ่ออันนภาระ พ่อให้ส่วนบุญแก่เราด้วยศรัทธา
แต่เราบูชาคุณของพ่อ ฉันให้พันกหาปณะนี้ จงรับไปเถอะพ่ออันนภาระ"
นายอันนภาระกล่าวว่า "จงเป็นอย่างนั้น จึงถือเอาทรัพย์พันกหาปณะไป"
เศรษฐีกล่าวว่า "พ่ออันนภาระตั้งแต่พอได้ทรัพย์พันกหาปณะแล้ว
ไม่ต้องทำกิจเกี่ยวแก่กรรมกรด้วยมือของตน จงปลูกเรือนอยู่ใกล้ถนนเถิด
ถ้าพ่อต้องการสิ่งใด ฉันจะมอบสิ่งนั้นให้ พ่อจงมานำเอาไปเถอะ"
ธรรมดาบิณฑบาตที่บุคคลถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าผู้ออกจากนิโรธสมาบัติ
ย่อมให้ผลในวันนั้นนั่นเอง
เพราะฉะนั้น สุมนเศรษฐีในวันอื่นแม้ไปสู่ราชตระกูล
ไม่เคยชวนนายอันนภาระไปด้วย แต่ในวันนั้นได้ชวนไปด้วย
เพราะอาศัยบุญของนายอันนภาระ
พระราชาไม่มองดูเศรษฐีเลย ทรงมองแต่นายอันนภาระเท่านั้น.
เศรษฐีจึงทูลถามว่า "เทวข้าแต่สมมติเทพ เหตุไฉนพระองค์จึงทรงมองดู
แต่บุรุษผู้นี้ยิ่งนักพระเจ้าข้า"
พระราชาตรัสว่า "เรามองดูเพราะไม่เคยเฝ้าในวันอื่นๆ"
เศรษฐีทูลว่า "เทว เขาสมควรมองดูอย่างไร คุณที่ควรมองดูของเขาคืออะไร
เพราะวันนี้เขาไม่บริโภคภัตรที่เป็นส่วนของตนด้วยตนเอง
แต่ถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้านามว่าอุปริฏฐะ
เขาได้ทรัพย์พันกหาปณะจากมือของข้าพระองค์ พระเจ้าข้า"
พระราชาตรัสถามว่า "เขาชื่อไร. ชื่อนายอันนภาระพระเจ้าข้า"
เพราะได้จากมือของท่าน ก็ควรจะได้จากมือของเราบ้าง
เราเองก็จักทำการบูชาเขา จึงพระราชทานทรัพย์พันกหาปณะแล้วตรัสว่า
"พนาย จงสำรวจดูเรือนที่คนนี้จะอยู่ได้"
ราชบุรุษทูลว่า "พระเจ้าข้า"
ราชบุรุษทั้งหลายจัดแจงแผ้วถางที่สำหรับเรือนนั้นได้พบขุมทรัพย์ชื่อปิงคละ
ในที่ๆ จอบกระทบแล้วๆ ตั้งเรียงกัน จึงมากราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ.
พระราชาตรัสว่า ถ้าอย่างนั้นจงไปขุดขึ้นมา.
เมื่อราชบุรุษเหล่านั้นขุดอยู่ ขุมทรัพย์ก็จมลงไป
ราชบุรุษเหล่านั้นไปกราบทูลพระราชาอีก.
พระราชาตรัสว่า จงไปขุดตามคำของนายอันนภาระ. ราชบุรุษก็ไปขุดตามคำสั่ง
ขุมทรัพย์เหมือนดอกเห็ดตูมๆ ผุดขึ้นในที่ๆ จอบกระทบแล้ว
ราชบุรุษเหล่านั้นขนทรัพย์มากองไว้ในพระราชสำนัก.
พระราชาประชุมอำมาตย์ทั้งหลายแล้วตรัสถามว่า
"ในเมืองนี้ ใครมีทรัพย์มีประมาณถึงเท่านี้ไหม"
อำมาตย์ทูลว่า "ไม่มีของใคร พระเจ้าข้า"
ตรัสว่า "ถ้าอย่างนั้น นายอันนภาระนี้จงชื่อว่า ธนเศรษฐี ในพระนครนี้"
เขาได้ฉัตรประจำตำแหน่งเศรษฐีในวันนั้นนั่นเอง.
ตั้งแต่วันนั้น เขากระทำแต่กรรมอันดีงามจนตลอดชีวิต
จุติจากภพนั้นไปเกิดในเทวโลก เวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์เป็นเวลานาน...
ครั้งที่พระศาสดาของพวกเราทรงอุบัติ ก็มาถือปฏิสนธิในนิเวศน์
เจ้าศากยะพระนามว่าอมิโตทนะ กรุงกบิลพัสดุ์
ในวันขนานนาม ผู้คนทั้งหลายตั้งชื่อเขาว่า เจ้าอนุรุทธ
เป็นกนิษฐภาคาของเจ้าศากยะพระนามว่ามหานามะ
เป็นโอรสของพระเจ้าอาของพระศาสดา เป็นสุขุมาลชาติอย่างยิ่ง
เป็นผู้มีบุญมาก ภัตรเกิดขึ้นในถาดทองแก่เขาทีเดียว.
**********
~ เจ้าทั้งสองสนทนากันถึงเรื่องบวชและการงาน ~
พระกุมารนั้น เมื่อไม่ทรงทราบแม้คำมีประมาณเท่านี้
จักทรงทราบถึงการบวชได้อย่างไร?
เพราะฉะนั้น พวกกุมารจึงทูลถามพระภาดาว่า
“การบวชนี้เป็นอย่างไร?”
เมื่อเจ้ามหานามตรัสว่า “ผู้บวชต้องโกนผมและหนวด ต้องนุ่งห่มผ้ากาสายะ
ต้องนอนบนเครื่องลาดด้วยไม้ หรือบนเตียงที่ถักด้วยหวาย
เที่ยวบิณฑบาตอยู่, นี้ชื่อว่าการบวช”
จึงทูลว่า “เจ้าพี่ หม่อมฉันเป็นสุขุมาลชาติ,
หม่อมฉันจักไม่สามารถบวชได้”
เจ้ามหานามตรัสว่า “พ่อ ถ้าอย่างนั้น พ่อจงเรียนการงานอยู่เป็นฆราวาสเถิด,
ก็ในเราทั้งสองจะไม่บวชเลยสักคนไม่ควร.”
ขณะนั้น อนุรุทธกุมารทูลถามเจ้าพี่ว่า “ชื่อว่าการงานนี้อย่างไร?”
กุลบุตรผู้ไม่รู้แม้สถานที่เกิดแห่งภัต จักรู้จักการงานได้อย่างไร?
**********
~ เจ้าศากยะทั้ง ๓ สนทนากันถึงที่เกิดแห่งภัต ~
ก็วันหนึ่ง การสนทนาเกิดขึ้นแก่กษัตริย์ ๓ องค์ว่า
“ชื่อว่าภัตเกิดขึ้นที่ไหน?”
กิมพิลกุมาร รับสั่งว่า “เกิดขึ้นในฉาง.”
ครั้งนั้น ภัททิยกุมารตรัสค้านกิมพิลกุมารนั้นว่า
“ท่านยังไม่ทราบที่เกิดแห่งภัต, ชื่อว่าภัต ย่อมเกิดขึ้นที่หม้อข้าว.”
อนุรุทธะตรัสแย้งว่า “ถึงท่านทั้งสองก็ยังไม่ทรงทราบ,
ธรรมดาภัต ย่อมเกิดขึ้นในถาดทองคำประมาณศอกกำ.”
ได้ยินว่า บรรดากษัตริย์ ๓ องค์นั้น
วันหนึ่ง กิมพิลกุมารทรงเห็นเขาขนข้าวเปลือกลงจากฉาง
ก็เข้าพระทัยว่า “ข้าวเปลือกเหล่านี้เกิดขึ้นแล้วในฉางนั่นเอง.”
ฝ่ายพระภัททิยกุมาร วันหนึ่งทรงเห็นเขาคดภัตออกจากหม้อข้าว
ก็เข้าพระทัยว่า “ภัตเกิดขึ้นในหม้อข้าวนั่นเอง.”
ส่วนอนุรุทธกุมารยังไม่เคยทรงเห็นคนซ้อมข้าว คนหุงข้าว หรือคนคดข้าว,
ทรงเห็นแต่ข้าวที่เขาคดแล้วตั้งไว้ เฉพาะพระพักตร์เท่านั้น.
ท่านจึงทรงเข้าพระทัยว่า “ภัตเกิดในถาด ในเวลาที่ต้องการบริโภค.”
กษัตริย์ทั้ง ๓ พระองค์นั้น ย่อมไม่ทรงทราบแม้ที่เกิดแห่งภัต
ด้วยประการอย่างนี้.
**********
เพราะฉะนั้น อนุรุทธกุมารนี้จึงทูลถามว่า “ขึ้นชื่อว่า การงานนี้เป็นอย่างไร?”
ครั้นได้ทรงฟังกิจการที่ฆราวาสจะพึงทำประจำปี มีอาทิว่า “เบื้องต้นต้องให้ไถนา”,
จึงตรัสว่า “เมื่อไร ที่สุดแห่งการงานทั้งหลายจักปรากฏ,
เมื่อไร หม่อมฉันจึงจักมีความขวนขวายน้อย ใช้สอยโภคะได้เล่า”
เมื่อเจ้ามหานามตรัสบอกความไม่มีที่สุดแห่งการงานทั้งหลายแล้ว
ทูลว่า “ถ้าอย่างนั้นขอ เจ้าพี่นั้นแล ทรงครองฆราวาสเถิด
หม่อมฉันหาต้องการด้วยฆราวาสนั้นไม่”
ดังนี้แล้ว เข้าเฝ้าพระมารดา กราบทูลว่า
“เจ้าแม่ ขอเจ้าแม่อนุญาตหม่อมฉันเถิด, หม่อมฉันจักบวช.”
เมื่อพระนางทรงห้ามถึง ๒ ครั้ง
ตรัสว่า “ถ้าพระเจ้าภัททิยะ พระสหายของลูก จักผนวชไซร้,
ลูกจงบวชพร้อมด้วยท้าวเธอ.”
จึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าภัททิยะนั้น ทูลว่า
“สหาย การบวชของหม่อมฉัน เนื่องด้วยพระองค์”
ดังนี้แล้ว ได้ยังพระภัททิยะนั้นให้ทรงยินยอมด้วยประการต่างๆ.
ในวันที่ ๗ ทรงรับปฏิญญา เพื่อประโยชน์จะผนวชกับด้วยพระองค์.
**********
~ อุบาลีออกบวชพร้อมด้วยศากยะทั้งหก ~
แต่นั้น กษัตริย์ทั้งหกองค์นี้ คือ ภัททิยศากยราช อนุรุทธะ อานนท์
ภคุ กิมพิละ และเทวทัต เป็น ๗ ทั้งอุบาลีนายภูษามาลา
ทรงเสวยมหาสมบัติตลอด ๗ วัน
ประดุจเทวดาเสวยทิพยสมบัติ,
แล้วเสด็จออกด้วยจตุรงคินีเสนา ประหนึ่งว่าเสด็จไปพระอุทยาน
ถึงแดนกษัตริย์พระองค์อื่นแล้ว ทรงส่งกองทัพทั้งสิ้นให้กลับ
ด้วยพระราชอาชญา เสด็จย่างเข้าสู่แดนกษัตริย์พระองค์อื่น.
ใน ๗ คนนั้น กษัตริย์ ๖ พระองค์ทรงเปลื้องอาภรณ์ของตนๆ
ทำเป็นห่อแล้ว รับสั่งว่า “แน่ะนายอุบาลี เชิญเธอกลับไปเถอะ,
ทรัพย์เท่านี้พอเลี้ยงชีวิตของเธอ” ดังนี้แล้ว ประทานแก่เขา.
เขากลิ้งเกลือกรำพัน แทบพระบาทของกษัตริย์ ๖ พระองค์นั้น
เมื่อไม่อาจล่วงอาชญาของกษัตริย์เหล่านั้น
จึงลุกขึ้น ถือห่อของนั้นกลับไป.
ในกาลแห่งชนเหล่านั้นเกิดเป็น ๒ พวก
ป่าได้เป็นประหนึ่งว่าถึงซึ่งการร้องไห้,
แผ่นดินได้เป็นประหนึ่งว่าถึงซึ่งอาการหวั่นไหว.
ฝ่ายอุบาลีภูษามาลาไปได้หน่อยหนึ่งก็กลับ
คิดอย่างนี้ว่า “พวกศากยะดุร้ายนัก จะพึงฆ่าเราเสียด้วยเข้าพระทัยว่า
‘พระกุมารทั้งหลายถูกเจ้าคนนี้ปลงพระชนม์เสียแล้ว ดังนี้ก็ได้’,
ก็ธรรมดาว่าศากยกุมารเหล่านี้ทรงสละสมบัติเห็นปานนี้
ทิ้งอาภรณ์อันหาค่ามิได้เหล่านี้เสีย ดังก้อนเขฬะแล้ว จักผนวช,
ก็จะป่วยกล่าวไปไยถึงเราเล่า?”
ครั้นคิด (ดังนี้) แล้ว จึงแก้ห่อของออก
เอาอาภรณ์เหล่านั้นแขวนไว้บนต้นไม้แล้ว
กล่าวว่า “ผู้มีความต้องการทั้งหลายจงถือเอาเถิด”
ดังนี้แล้ว ไปสู่สำนักของศากยกุมารเหล่านั้น
อันศากยกุมารเหล่านั้นตรัสถามว่า
“เพราะเหตุอะไร? เธอจึงกลับมา”
อุบาลีก็กราบทูลความนั้นแล้ว.
**********
~ ศากยะทั้งหกบรรลุคุณพิเศษ ~
ลำดับนั้น ศากยกุมารเหล่านั้น ทรงพาเขาไปสู่สำนักพระศาสดา
ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว
กราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทั้งหลาย
ชื่อว่าเป็นพวกศากยะ มีความถือตัวประจำ (สันดาน),
ผู้นี้เป็นคนบำเรอของพวกข้าพระองค์ ตลอดราตรีนาน,
ขอพระองค์โปรดให้ผู้นี้บวชก่อน, "
"ข้าพระองค์ทั้งหลายจักทำสามีจิกรรมมีการอภิวาทเป็นต้นแก่เขา,
ความถือตัวของข้าพระองค์ จักสร่างสิ้นไปด้วยอาการอย่างนี้"
ดังนี้แล้ว ให้อุบาลีนั้นบวชก่อน, ภายหลังตัวจึงได้ทรงผนวช.
บรรดาศากยภิกษุ ๖ รูปนั้น
- ท่านพระภัททิยะ ได้เป็นพระอรหันต์เตวิชโชโดยระหว่างพรรษานั้นนั่นเอง.
- ท่านพระอนุรุทธะ เป็นผู้มีจักษุเป็นทิพย์ ภายหลังทรงสดับ
มหาปุริสวิตักกสูตรได้บรรลุพระอรหัตแล้ว.
- ท่านพระอานนท์ ได้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว.
- พระภคุเถระและพระกิมพิลเถระ ภายหลังเจริญวิปัสสนาได้บรรลุพระอรหัต.
- พระเทวทัตได้บรรลุฤทธิ์อันเป็นของปุถุชน.
**********
ที่มา :
อรรถกถา อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เอตทัคคบาลี
อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ยมกวรรคที่ ๑
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=11&p=12
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
พุทธประวัติ
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย