29 ธ.ค. 2022 เวลา 04:36 • ไลฟ์สไตล์
๏ ปริเฉทที่ ๑๙ (ตอน ๔)
สักยบรรพชาปริวรรต
เรื่องพระเทวทัต
**********
~ พระเทวทัตแสดงฤทธิ์แก่อชาตสัตรูราชกุมาร ~
ในกาลต่อมา เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ในกรุงโกสัมพี,
ลาภและสักการะเป็นอันมาก เกิดขึ้นแด่พระตถาคต
พร้อมด้วยพระสงฆ์สาวก.
มนุษย์ทั้งหลายในกรุงโกสัมพีนั้น มีมือถือผ้าและเภสัชเป็นต้น
เข้าไปสู่วิหารแล้ว ถามกันว่า
“พระศาสดาประทับอยู่ที่ไหน?
พระสารีบุตรเถระอยู่ที่ไหน?
พระมหาโมคคัลลานเถระอยู่ที่ไหน?
พระมหากัสสปเถระอยู่ที่ไหน?
พระภัททิยเถระอยู่ที่ไหน? พระอนุรุทธเถระอยู่ที่ไหน?
พระอานนทเถระอยู่ที่ไหน?
พระภคุเถระอยู่ที่ไหน?
พระกิมพิลเถระอยู่ที่ไหน? ” ดังนี้แล้ว
เที่ยวตรวจดูที่นั่งแห่งอสีติมหาสาวก.
ชื่อว่าผู้ถามว่า “พระเทวทัตเถระนั่งหรือยืนที่ไหน?” ดังนี้ ย่อมไม่มี.
พระเทวะทัตนั้นจึงคิดว่า “เราบวชพร้อมกับด้วยศากยะเหล่านี้เหมือนกัน.
แม้ศากยะเหล่านี้เป็นขัตติยบรรพชิต, แม้เราก็เป็นขัตติยบรรพชิต.
พวกมนุษย์มีมือถือลาภและสักการะแสวงหาท่านเหล่านี้อยู่,
ผู้เอ่ยถึงชื่อของเราบ้างมิได้มี, เราจะสมคบกับใครหนอแล
พึงยังใครให้เลื่อมใสแล้วยังลาภและสักการะให้เกิดแก่เราได้.”
ทีนั้น ความตกลงใจนี้มีแก่เธอว่า
“พระเจ้าพิมพิสารนี้ พร้อมกับบริวาร ๑๑ นหุต
ทรงดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว ด้วยการเห็นครั้งแรกนั่นแล,
เราไม่อาจจะสมคบกับพระราชานั้นได้.
แม้กับพระเจ้าโกศล เราก็ไม่สามารถจะสมคบได้,
ส่วนพระอชาตสัตรูกุมาร พระโอรสของพระราชานี้แล
ยังไม่รู้คุณและโทษของใครๆ เราจักสมคบกับกุมารนั่น.”
พระเทวทัตนั้นออกจากกรุงโกสัมพี ไปสู่กรุงราชคฤห์
ฤมิตเพศเป็นกุมารน้อย พันอสรพิษ ๔ ตัวที่มือและเท้าทั้งสี่,
ตัวหนึ่งที่คอ, ตัวหนึ่งทำเป็นเทริดบนศีรษะ, ตัวหนึ่งทำเฉวียงบ่า,
ลงจากอากาศด้วยสังวาลงูนี้ นั่งบนพระเพลาของอชาตสัตรูกุมาร,
เมื่อพระกุมารนั้นทรงกลัวแล้ว ตรัสว่า “ท่านเป็นใคร?”
จึงถวายพระพรว่า “อาตมะ คือเทวทัต”,
เพื่อจะบรรเทาความกลัวของพระกุมาร
จึงกลับอัตภาพนั้นเป็นภิกษุทรงสังฆาฏิ บาตร และจีวร
ยืนอยู่เบื้องหน้า ยังพระกุมารนั้นให้ทรงเลื่อมใส
ยังลาภและสักการะให้เกิดแล้ว.
**********
~ พระเทวทัตพยายามฆ่าพระพุทธเจ้า ~
พระเทวทัตนั้นอันลาภและสักการะครอบงำแล้ว
ยังความคิดอันลามกให้เกิดขึ้นว่า “เราจักบริหารภิกษุสงฆ์”
ดังนี้แล้ว เสื่อมจากฤทธิ์พร้อมด้วยจิตตุปบาทแล้ว
ถวายบังคมพระศาสดา
ซึ่งกำลังทรงแสดงธรรมแก่บริษัทพร้อมด้วยพระราชา
ในพระเวฬุวันวิหาร ลุกจากอาสนะแล้ว ประคองอัญชลี
กราบทูลว่า “พระเจ้าข้า เวลานี้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชราแก่เฒ่าแล้ว,
ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงทรงเป็นผู้ขวนขวายน้อย ประกอบเนืองๆ
ซึ่งธรรมเครื่องอยู่สบายในทิฏฐธรรมเถิด, หม่อมฉันจักบริหารภิกษุสงฆ์
ขอพระองค์โปรดมอบภิกษุสงฆ์ประทานแก่หม่อมฉันเถิด”
ดังนี้แล้ว ถูกพระศาสดาทรงรุกรานด้วยเขฬาสิกวาทะ
(ด้วยวาทะว่า ผู้บริโภคปัจจัยดุจน้ำลาย)
ทรงห้ามแล้ว, ไม่พอใจ ได้ผูกอาฆาตนี้เป็นครั้งแรก แล้วหลีกไป.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งให้ทำปกาสนียกรรม
(กรรมอันสงฆ์ควรประกาศ)
ในกรุงราชคฤห์แก่เธอแล้ว.
เธอคิดว่า “เดี๋ยวนี้ เราถูกพระสมณโคดมกำจัดเสียแล้ว,
บัดนี้ เราจักทำความพินาศแก่พระสมณโคดมนั้น”
ดังนี้แล้ว จึงไปเฝ้าเจ้าอชาตสัตรูกุมาร ทูลว่า
“พระกุมาร เมื่อก่อนแลมนุษย์ทั้งหลายมีอายุยืน,
บัดนี้อายุน้อย ก็ข้อที่พระองค์พึงทิวงคตเสียตั้งแต่ยังเป็นพระกุมาร
นั่นเป็นฐานะมีอยู่แล,
พระกุมาร ถ้ากระนั้นพระองค์จงสำเร็จโทษพระบิดา เป็นพระราชาเถิด,
อาตมะสำเร็จโทษพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว จักเป็นพระพุทธเจ้า”
ครั้นเมื่อพระกุมารนั้นดำรงอยู่ในราชสมบัติแล้ว
**********
~ ครั้งแรกได้ใช้พวกนายขมังธนููไปยิงพระพุทธเจ้า ~
ฝ่ายพระเทวทัต ครั้นให้ปลงพระชนมชีพพระเจ้าพิมพิสารแล้ว
ก็เข้าไปเฝ้าพระเจ้าอชาตศัตรูทูลว่า
"ดูก่อนมหาราช มโนรถของพระองค์ถึงที่สุดแล้ว
ส่วนมโนรถของของอาตมา ก็ยังหาถึงที่สุดก่อนไม่"
พระราชาได้ทรงฟัง ดังนั้นจึงตรัสถามว่า
"ดูก่อนท่านผู้เจริญ ก็มโนรถของท่านเป็นอย่างไร?"
พระเทวทัต. "ดูก่อนมหาราช เมื่อฆ่าพระทสพลแล้ว
อาตมาจักเป็นพระพุทธเจ้า มิใช่หรือ?"
พระราชาตรัสถามว่า "ก็ในเพราะเรื่องนี้ควรเราจะทำอย่างไรเล่า?"
เทวทัต. "ดูก่อนมหาราช ควรจะให้นายขมังธนูทั้งหลายประชุมกัน"
พระราชาทรงรับว่า "ดีละ ท่านผู้เจริญ"
จึงให้ประชุมนายขมังธนู จำพวกที่ยิงไม่ผิดพลาดรวม ๕๐๐ ตระกูล
ทรงเลือกจากคนเหล่านั้นไว้ ๓๑ คน
ตรัสสั่งว่า "พ่อทั้งหลาย พวกเจ้าจงทำตามคำสั่งของพระเถระ"
ดังนี้แล้วจึงส่งไปยังสำนักพระเทวทัต.
พระเทวทัตเรียกผู้เป็นใหญ่ ในบรรดาพวกนายขมังธนูเหล่านั้นมาแล้ว
กล่าวอย่างนี้ว่า "ท่านผู้มีอายุ พระสมณโคดมประทับอยู่ ณ เขาคิชฌกูฏ
เสด็จจงกรมอยู่ในที่พักกลางวันในที่โน้น"
"ส่วนท่านจงไปในที่นั้น ยิงพระสมณโคดมด้วยลูกศรอาบด้วยยาพิษ
ให้สิ้นพระชนมชีพแล้ว จงกลับโดยทางชื่อโน้น"
พระเทวทัตนั้น ครั้นส่งนายขมังธนูผู้ใหญ่นั้นไปแล้ว
จึงพักนายขมังธนูไว้ในทางนั้น ๒ คน
ด้วยสั่งว่า จักมีบุรุษคนหนึ่งเดินทางมา โดยทางที่พวกท่านยืนอยู่
พวกท่านจงปลงชีวิตบุรุษนั้นเสีย แล้วกลับมาโดยทางโน้น.
ในทางนั้น พระเทวทัตจึงวางบุรุษไว้สี่คน
ด้วยสั่งว่า โดยทางที่พวกท่านยืนอยู่ จักมีบุรุษเดินมา ๒ คน
ท่านจงปลงชีวิตบุรุษ ๒ คนนั้นเสีย แล้วกลับมาโดยทางชื่อโน้น.
ในทางนั้น พระเทวทัตวางคนไว้ ๘ คน
ด้วยสั่งว่า โดยทางที่พวกท่านยืนอยู่ จักมีบุรุษ ๔ คนเดินทางมา
พวกท่านจงปลงชีวิตบุรุษทั้ง ๔ คนนั้นเสีย. แล้วกลับโดยทางชื่อโน้น.
ในทางนั้น พระเทวทัตวางบุรุษไว้ ๑๖ คน
ด้วยสั่งว่า โดยทางที่พวกท่านไปยืนอยู่ จักมีบุรุษเดินมา ๘ คน
ท่านจงปลงชีวิตบุรุษทั้ง๘ คนนั้นเสีย. แล้วจงกลับมาโดยทางชื่อโน้น.
ถามว่า ก็เพราะเหตุไรพระเทวทัตจึงทำอย่างนั้น.
แก้ว่า เพราะปกปิดกรรมชั่วของตน.
ได้ยินว่า พระเทวทัตได้ทำดังนั้น เพื่อจะปกปิดกรรมชั่วของตน.
**********
ลำดับนั้น นายขมังธนูผู้ใหญ่ ขัดดาบแล้วทางข้างซ้าย
ผูกแล่งและศรไว้ข้างหลัง จับธนูใหญ่ทำด้วยเขาแกะ
ไปยังสำนักพระตถาคตเจ้า
จึงยกธนูขึ้นด้วยสัญญาว่า เราจักยิงดังนี้แล้ว จึงผูกสอดลูกศร
ฉุดสายมาเพื่อจะยิง ก็ไม่สามารถจะยิงไปได้.
พระศาสดา ได้ทรงให้คร่าธนูมาแล้ว หาได้ประทานให้ยิงไปได้ไม่.
นายขมังธนูผู้ใหญ่นั้น เมื่อไม่อาจแม้จะยิงลูกศรไปก็ดี ลดลงก็ดี
ก็ได้เป็นคนลำบากใจ เพราะสีข้างทั้งสองเป็นเหมือนจะหักลง
น้ำลายก็ไหลนองออกจากปาก. ร่างกายทั้งสิ้นเกิดแข็งกระด้าง
ได้เป็นเสมือนถึงอาการอันเครื่องยนต์บีบคั้น.
นายขมังธนูนั้นได้เป็นคนอันมรณภัย คุกคามแล้วยืนอยู่.
ลำดับนั้น พระศาสดาทรงทอดพระเนตรเห็นดังนั้นแล้ว
ทรงเปล่งด้วยเสียงอันไพเราะ ตรัสปลอบนายขมังธนูว่า
"พ่อบุรุษผู้โง่เขลา ท่านอย่ากล่าวเลย จงมาที่นี้เถิด"
ในขณะนั้น นายขมังธนูก็ทิ้งอาวุธเสีย กราบลงด้วยศีรษะ
แทบพระบาทพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วทูลว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โทษได้ล่วงข้าพระพุทธเจ้าแล้ว
โดยที่เป็นคนเขลา คนหลง คนชั่วบาป"
"ข้าพระพุทธเจ้ามิได้รู้จักคุณของพระองค์ จึงได้มาแล้ว.
เพื่อปลงพระชนมชีพของพระองค์
ตามคำเสี้ยมสอนของพระเทวทัตผู้เป็นอันธพาล"
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์จงอดโทษข้าพระพุทธเจ้า.
ข้าแต่พระสุคตขอพระองค์ จงอดโทษข้าพระพุทธเจ้า
ข้าแต่พระองค์ผู้รู้โลก ขอพระองค์จงอดโทษข้าพระพุทธเจ้า"
ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอดโทษให้ตนแล้ว ก็นั่งลงในที่สุดส่วนข้างหนึ่ง.
ลำดับนั้น พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศสัจจะทั้งหลาย
ยังนายขมังธนูให้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว ดำรัสสอนว่า
"ท่านผู้มีอายุ ท่านอย่าเดินทางไปตามทางที่พระเทวทัตชี้ให้
จงไปเสียทางอื่น แล้วส่งนายขมังธนูนั้นไป"
ก็แล้วครั้นส่งนายขมังธนูไปแล้ว
พระองค์ก็เสด็จลงจากที่จงกรมไป ประทับอยู่ ณ โคนไม้ต้นหนึ่ง.
ลำดับนั้น เมื่อนายขมังธนูผู้ใหญ่มิได้กลับมา
นายขมังธนูอีก ๒ คนที่คอยอยู่ก็คิดว่า อย่างไรหนอเขาจึงล่าช้าอยู่
ออกเดินสวนทางไป.
ครั้นเห็นพระทศพล ก็เข้าไปถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่สุดส่วนข้างหนึ่ง.
พระศาสดา ครั้นทรงประกาศพระอริยสัจ
แก่ชนทั้ง ๒ ยังเขาให้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล
แล้วดำรัสสอนว่า "ท่านผู้มีอายุ ท่านอย่าเดินไปทางที่พระเทวทัตบอก
จงไปโดยทางนี้" แล้วก็ส่งเขาไป โดยอุบายนี้
เมื่อทรงประกาศพระอริยสัจ ยังนายขมังธนูแม้นอกนี้ ที่มานั่งเฝ้า
ให้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว ก็ทรงส่งไปโดยทางอื่น.
ลำดับนั้น นายขมังธนูผู้ใหญ่นั้น
กลับมาถึงก่อนก็เข้าไปหาพระเทวทัตกล่าวว่า
"ข้าแต่พระเทวทัตผู้เจริญ ข้าพเจ้าหาได้อาจปลง
พระชนมชีพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น
ย่อมทรงฤทธิ์อันยิ่งใหญ่ ทรงอานุภาพอันยิ่งใหญ่"
ส่วนบรรดานายขมังธนูเหล่านั้น รำพึงว่า
"เราทั้งหมดนั้นอาศัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้รอดชีวิตแล้ว
ก็ออกบรรพชาในสำนักพระศาสดา แล้วทรงบรรลุพระอรหัตทุกท่าน"
**********
เรื่องนี้ได้ปรากฏในภิกษุสงฆ์.
ภิกษุทั้งหลาย สนทนากันในโรงธรรมสภาว่า
"ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ได้ยินว่าพระเทวทัต ได้กระทำความพยายาม
เพื่อจะปลงชีวิตชนเป็นอันมาก
เพราะจิตก่อเวรในพระตถาคตเจ้าพระองค์เดียว.
แต่ชนเหล่านั้น อาศัยพระศาสดาได้รอดชีวิตแล้วทั้งสิ้น"
ฝ่ายพระศาสดาเสด็จออกจากที่บรรทม อันประเสริฐ
ได้ทรงสดับถ้อยคำของภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ด้วยพระโสตธาตุอันเป็นทิพย์.
เสด็จมายังโรงธรรมสภาตรัสถามว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมกันด้วยเรื่องอะไรหนอ"
เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบ จึงตรัสว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น.
แม้ในกาลก่อน พระเทวทัต ก็กระทำความพยายาม
เพื่อจะฆ่าชนเป็นอันมาก อาศัยเราผู้เดียว เพราะจิตมีเวรในเรา"
ดังนี้แล้วได้ทรงนิ่งเสีย. เมื่อภิกษุเหล่านั้นทูลวิงวอน
จึงทรงนำอดีตนิทาน จันทกุมารชาดก มาแสดงแก่พุทธบริษัท
**********
ที่มา : อรรถกถา จันทกุมารชาดก
ว่าด้วย พระจันทกุมารทรงบำเพ็ญขันติบารมี

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา