Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เบื่อเมือง
•
ติดตาม
30 ธ.ค. 2022 เวลา 04:28 • ไลฟ์สไตล์
๏ ปริเฉทที่ ๑๙ (ตอน ๕)
สักยบรรพชาปริวรรต
พระเทวทัตลอบปลงพระชนม์
**********
~ ลอบปลงพระชนม์ ครั้งที่ ๒ กลิ้งหินก้อนใหญ่ ~
(ทำอนันตริยกรรม)
หลังจาก...
ที่พระเทวทัต สั่งให้บรรดาพวกนายขมังธนูเหล่านั้น
ไปปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาคเจ้า
แล้วไม่สำเร็จ...
พระเทวทัตนั้นจึงกล่าวว่า
"เราจักปลงพระชนม์พระสมณโคดมเอง"
เมื่อพระตถาคตเจ้าเสด็จจงกรมอยู่
ณ ร่มเงาเบื้องหลังแห่งภูเขาคิชฌกูฏ
ตนจึงขึ้นไปบนภูเขาคิชฌกูฏเอง
แล้วกลิ้งศิลาก้อนใหญ่ให้ตกลงมา...
ด้วยคิดว่า "เราจักปลงพระชนม์พระสมณโคดมด้วยศิลาก้อนนี้"
ในกาลนั้น ยอดเขาสองยอดก็รับเอาศิลาที่กลิ้งตกลงไปนั้นไว้ได้.
แต่สะเก็ดศิลาที่กะเทาะจากศิลาก้อนนั้น
กระเด็นไปต้องพระบาทพระผู้มีพระภาคเจ้า
ได้ทำกรรม คือ ยังพระโลหิตให้ห้อขึ้น
(ทำอนันตริยกรรมแล้ว)
พระผู้มีพระภาคเจ้า เสวยทุกข์เวทนาเป็นกำลัง
หมอชีวกกระทำการผ่าพระบาทของพระตถาคตเจ้าด้วยศัสตรา
เอาเลือดร้ายออก นำเนื้อร้ายออกจนหมด ชำระล้างแผลสะอาดแล้ว
ใส่ยากระทำให้พระองค์หายจากพระโรค
พระศาสดาทรงหายเป็นปกติดีแล้ว
มีภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่แวดล้อมเป็นบริวาร
เสด็จเข้าไปยังพระนครด้วยพระพุทธลีลา ดังปกติ
**********
~ ลอบปลงพระชนม์ ครั้งที่ ๓ ~
ลำดับนั้น
พระเทวทัตเห็นดังนั้น
จึงคิดว่า "ใครๆ เห็นพระสรีระอันถึงแล้ว
ซึ่งส่วนอันเลิศด้วยพระรูปพระโฉมของพระสมณโคดม
ถ้าเป็นมนุษย์ ก็ไม่อาจที่จะเข้าไปทำร้ายได้"
"ขึ้นชื่อว่า ถ้าเป็นมนุษย์แล้ว
ไม่มีใครอาจทำร้ายพระผู้มีพระภาคเจ้าได้"
เมื่อไม่อาจฆ่าด้วยอุบายนี้
จึงคิดถึงช้างของพระราชา ชื่อว่า "นาฬาคิรี" (นาลาคิรี)
ช้างนั้นเป็นช้างที่ดุร้ายกาจ ฆ่ามนุษย์ได้
เมื่อไม่รู้จักคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์
จักยังพระสมณโคดมนั้นให้ถึงความสิ้นชีวิตได้
เธอจึงไปทูลเนื้อความนั้นแด่พระเจ้าอชาตศัตรูราช
พระราชาทรงรับรองว่า "ดีละ"
แล้วรับสั่งให้เรียกหานายหัตถาจารย์มาแล้ว
ทรงพระบัญชาว่า
"พรุ่งนี้เจ้าจงมอมช้างนาลาคิรีให้มึนเมา แล้วจงปล่อยไปบนถนน
ที่พระสมณโคดมเสด็จมา แต่เช้าทีเดียว"
แม้พระเทวทัตก็ถามนายหัตถาจารย์นั้นว่า
ในวันอื่นๆ ช้างนาลาคิรีดื่มสุรากี่หม้อ
เมื่อเขาบอกให้ทราบว่า ๘ หม้อ พระเทวทัตจึงกำชับว่า
"พรุ่งนี้ท่านจงให้ช้างนั้นดื่มเพิ่มขึ้นเป็น ๑๖ หม้อ"
แล้วนำช้างนาฬาคิรี ไปดักทางอยู่ข้างหน้า
ในถนนที่พระสมณโคดมเสด็จผ่านมา.
นายหัตถาจารย์นั้น ก็รับรองเป็นอันดี
พระราชาให้ราชบุรุษเที่ยวตีกลองประกาศไปทั่วพระนครว่า
"พรุ่งนี้ นายหัตถาจารย์จักมอมช้างนาลาคิรีให้มึนเมาแล้ว
จักปล่อยในนคร ชาวเมืองทั้งหลายพึงรีบกระทำ
กิจที่จำต้องกระทำเสียให้เสร็จ แต่เช้าทีเดียว แล้วอย่าเดินระหว่างถนน"
แม้พระเทวทัตลงจากพระราชนิเวศน์แล้วก็ไปยังโรงช้าง
เรียกคนเลี้ยงช้างมาสั่งว่า
"ดูก่อนนายทั้งหลาย เราสามารถจะลดคนมีตำแหน่งสูงให้ต่ำ
และเลื่อนคนมีตำแหน่งต่ำให้สูงขึ้น ถ้าพวกเจ้าต้องการยศ..."
"พรุ่งนี้เช้า จงช่วยกันเอาเหล้าอย่างแรง กรอกช้างนาลาคิรีให้ได้ ๑๖ หม้อ
ถึงเวลาพระสมณโคดมเสด็จมา จงช่วยกันแทงช้าง ด้วยปลายหอกซัด
ยั่วยุให้มันอาละวาดให้ทำลายโรงช้าง"
"ช่วยกันล่อให้หันหน้าตรงไป ในถนนที่พระสมณโคดมเสด็จมา
แล้วให้พระสมณโคดมถึงความสิ้นชีวิต"
พวกคนเลี้ยงช้างเหล่านั้น พากันรับรองเป็นอันดี.
พฤติการณ์อันนั้นได้เซ็งแซ่ไปทั่วพระนคร.
เหล่าอุบาสกผู้นับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ได้ทราบข่าวนั้น
ก็พากันไปเข้าเฝ้าพระศาสดากราบทูลว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเทวทัตสมคบกันกับพระเจ้าอชาตศัตรูราช
ให้ปล่อยช้างนาลาคิรีในหนทางที่พระองค์จะเสด็จไปในวันพรุ่งนี้"
"เพราะฉะนั้น ในวันพรุ่งนี้
ขอพระองค์อย่าได้เสด็จเข้าไปบิณฑบาตเลย จงประทับอยู่ในที่นี้เถิด"
"พวกข้าพระองค์ จักถวายภิกษาแก่ภิกษุสงฆ์
มีพระพุทธองค์เป็นประมุขในวิหารนี้แล"
พระศาสดามิได้ตรัสรับคำว่า
"พรุ่งนี้ เราจักไม่เข้าไปบิณฑบาต..."
ทรงพระดำริว่า
"ในวันพรุ่งนี้ เราจักทรมานช้างนาลาคิรี
กระทำปาฏิหาริย์ทรมานพวกเดียรถีย์..."
"จักเที่ยวไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ มีภิกษุแวดล้อมเป็นบริวาร
ออกจากพระนครไปยังพระเวฬุวันมหาวิหารทีเดียว.
พวกชนชาวเมืองราชคฤห์ จักถือเอาภาชนภัตเป็นอันมาก
มายังวิหารเวฬุวันเหมือนกัน
พรุ่งนี้ โรงภัตจักมีในวิหารทีเดียว"
แล้วทรงรับอาราธนาแก่พวกอุบาสกเหล่านั้น
ด้วยเหตุนี้ พวกอุบาสกเหล่านั้นทราบความว่า
ทรงรับอาราธนาของพระตถาคตเจ้าแล้ว จึงพากันกล่าวว่า
"พวกเราจักนำภาชนภัตมาถวายทานในวิหารทีเดียว"
แล้วหลีกไป.
**********
แม้พระศาสดาทรงแสดงธรรม ในปฐมยาม
ทรงแก้ปัญหาของเทวดา
ในมัชฌิมยาม ทรงสำเร็จสีหไสยาสน์
ในส่วนแรกแห่งปัจฉิมยาม
ทรงเข้าผลสมาบัติ
ในส่วนที่ ๒ แห่งปัจฉิมยาม
ในส่วนที่ ๓ แห่งปัจฉิมยาม
ทรงเข้าพระกรุณาสมาบัติ
ทรงตรวจดูเหล่าเวไนยสัตว์ อันมีอุปนิสัยที่จะได้ตรัสรู้ธรรมพิเศษ
ทอดพระเนตรเห็น การตรัสรู้ธรรมของสัตว์ ๘๔,๐๐๐
ในเวลาการทรงทรมานช้างนาลาคิรี
ครั้นราตรีกาลสว่างไสวแล้ว ก็ทรงกระทำการชำระพระสรีระแล้ว
ตรัสเรียกพระอานนท์ผู้มีอายุมาแล้ว ตรัสว่า
"ดูก่อนอานนท์ เธอจงบอกแก่ภิกษุ
แม้ทั้งหมดในมหาวิหาร ๑๘ แห่ง
อันตั้งเรียงรายอยู่ในเมืองราชคฤห์
เพื่อให้เข้าไปในเมืองราชคฤห์พร้อมกันกับเรา"
พระเถระได้กระทำตามพระพุทธฎีกาแล้ว.
พวกภิกษุทั้งหมดมาประชุมกันในพระเวฬุวัน
พระศาสดามีภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่แวดล้อมเป็นบริวาร
เสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังเมืองราชคฤห์
ลำดับนั้น พวกคนเลี้ยงช้างก็ปฏิบัติตามพระเทวทัตสั่ง.
สมาคมใหญ่ได้มีแล้ว พวกมนุษย์ผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธากล่าวกันว่า
"ได้ยินว่า ในวันนี้ พระพุทธเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ กับช้างนาลาคิรีซึ่งเป็นสัตว์ดิรัจฉาน
จักกระทำสงครามกัน พวกเราจักได้เห็น
การทรมานช้างนาลาคิรีด้วยพุทธลีลา อันหาที่เปรียบมิได้"
จึงพากันขึ้นสู่ปราสาทห้องแถว และหลังคาเรือน แล้วยืนดู.
ฝ่ายพวกมิจฉาทิฏฐิผู้หาศรัทธามิได้ ก็พากันกล่าวว่า
"ช้างนาลาคิรีเชือกนี้ดุร้ายกาจ ฆ่ามนุษย์ได้ ไม่รู้จักคุณแห่งพระพุทธเจ้าเช่นกัน
วันนี้ช้างเชือกนั้น จักขยี้สรีระอันมีพรรณ ดุจทองคำของพระโคดม
จักให้ถึงความสิ้นชีวิต พวกเราจักได้เห็นหลังปัจจามิตรในวันนี้ทีเดียว"
แล้วได้พากันขึ้นไปยืนดูบนต้นไม้และปราสาทเช่นกัน.
**********
แม้ช้างนาลาคิรีพอเหลือบเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมา
จึงยังมนุษย์ทั้งหลายให้สะดุ้งกลัว ทำลายบ้านเรือนเป็นอันมาก
ขยี้บดเกวียนเสียแหลกละเอียดเป็นหลายเล่ม
ยกงวงขึ้นชู มีหูกางหางชี้ วิ่งรี่ไปทางพระผู้มีพระภาคเจ้า
ประหนึ่งว่า ภูเขาเอียงเข้าทับพระพุทธองค์ ฉะนั้น
ภิกษุทั้งหลายเห็นดังนั้น จึงกราบทูลเนื้อความนี้กะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ช้างนาลาคิรีเชือกนี้ ดุร้ายกาจฆ่ามนุษย์ได้
วิ่งตรงมานี่ ก็ช้างนาลาคิรีนี้ มิได้รู้จักพระพุทธคุณเป็นต้นแล"
ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงเสด็จกลับเถิด พระเจ้าข้า
ขอพระสุคตเจ้าจงเสด็จกลับเสียเถิด"
พระศาสดาตรัสว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่าได้กลัวไปเลย
เรามีกำลังสามารถพอที่จะทรมานช้างนาลาคิรีเชือกนี้ได้"
ลำดับนั้น ท่านพระสารีบุตรผู้มีอายุ ทูลขอโอกาสกะพระศาสดาว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมดาว่า กิจที่บังเกิดขึ้นแก่บิดา
ย่อมเป็นภาระของบุตรคนโต ข้าพระองค์ผู้เดียวจะขอทรมานช้างเชือกนี้"
ลำดับนั้น พระศาสดาจึงตรัสห้ามพระสารีบุตรนั้นว่า
"ดูก่อนสารีบุตร ขึ้นชื่อว่า กำลังแห่งพระพุทธเจ้าเป็นอย่างหนึ่ง
ส่วนกำลังของพวกสาวกเป็นอีกอย่างหนึ่ง เธอจงยับยั้งอยู่เถิด"
พระเถระผู้ใหญ่ ๘๐ โดยมากต่างก็พากันทูลขอโอกาสอย่างนี้เหมือนกัน.
พระศาสดาตรัสห้ามพระมหาเถระเหล่านั้นแม้ทั้งหมด.
**********
~ พระอานนท์ยอมสละชีวิต ~
ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์ไม่สามารถจะทนดูอยู่ได้
ด้วยความรักมีกำลังในพระศาสดา จึงคิดว่า
"ช้างเชือกนี้ จงฆ่าเราเสียก่อนเถิด"
ดังนี้แล้ว ยอมสละชีวิตเพื่อประโยชน์แก่พระตถาคตเจ้า
ได้ออกไปยืนอยู่เบื้องพระพักตร์แห่งพระศาสดา.
ลำดับนั้น พระศาสดาจึงตรัสกะท่านว่า
"อานนท์ เธอจงหลีกไป...
อานนท์ เธอจงหลีกไป เธออย่ามายืนขวางหน้าตถาคต"
พระอานนท์ : "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ช้างเชือกนี้ดุร้ายกาจ ฆ่ามนุษย์ได้
เป็นเช่นกับไฟบรรลัยกัลป์ จงฆ่าข้าพระองค์เสียก่อนแล้ว
จึงมายังสำนักของพระองค์ในภายหลัง"
พระอานนทเถระ แม้ถูกพระศาสดาตรัสห้ามอยู่ถึง ๓ ครั้ง
ก็ยังคงยืนอยู่อย่างนั้นทีเดียวมิได้ถอยกลับมา.
ลำดับนั้น พระศาสดาจึงให้พระอานนท์ถอยกลับมา
ด้วยกำลังแห่งฤทธิ์ แล้วประทับยืนอยู่ในระหว่างภิกษุทั้งหลาย
**********
ในขณะนั้น หญิงคนหนึ่งเห็นช้างนาลาคิรี มีความสะดุ้งกลัวต่อมรณภัย
จึงวิ่งหนี ทิ้งทารกที่ตนอุ้มเข้าสะเอว...
ไว้ในระหว่างกลางแห่งช้าง และพระตถาคตเจ้า
ช้างวิ่งไล่ตามหญิงนั้นแล้ว กลับมายังที่ใกล้ทารก ทารกจึงร้องเสียงดัง
พระศาสดาทรงแผ่เมตตาไปยังช้างนาลาคิรี
ทรงเปล่งพระสุรเสียงอันไพเราะยิ่งนัก ดุจเสียงพรหม
รับสั่งร้องเรียกว่า
"แน่ะเจ้าช้างนาลาคิรี... เขาให้เจ้าดื่มเหล้าถึง ๑๖ หม้อ
มอมเมาเสียจนมึนมัว ใช่ว่า เขากระทำเจ้าด้วยประสงค์ว่า
จักให้จับคนอื่นก็หาไม่ แต่เขากระทำด้วยประสงค์จะให้จับเรา
เจ้าอย่าเที่ยวอาละวาดให้เมื่อยขาโดยใช่เหตุเลย จงมานี่เถิด"
ช้างนาลาคิรีเชือกนั้น พอได้ยินพระดำรัสของพระศาสดา
จึงลืมตาขึ้นดูพระรูป อันเป็นสิริของพระผู้มีพระภาคเจ้า
กลับได้ความสังเวชใจ หายเมาสุราด้วยเดชแห่งพระพุทธเจ้า
จึงห้อยงวงและลดหูทั้งสองข้าง
ไปหมอบอยู่แทบพระบาททั้งสองของพระตถาคตเจ้า.
ลำดับนั้น พระศาสดาจึงตรัสกะช้างนาลาคิรีนั้นว่า
"ดูก่อนเจ้าช้างนาลาคิรี เจ้าเป็นช้างสัตว์ดิรัจฉาน
เราเป็นพุทธะเหล่าช้างตัวประเสริฐ ตั้งแต่นี้ไป
เจ้าจงอย่าดุร้าย อย่าหยาบคาย อย่าฆ่ามนุษย์
จงได้เฉพาะจึงเมตตาจิต"
ทรงเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวาออกไปลูบที่กระพองแล้ว
ตรัสพระคาถาว่า
"เจ้าช้างมีงวง เจ้าอย่าเบียดเบียนช้างตัวประเสริฐ (หมายถึงพระตถาคตเจ้า)
แน่ะเจ้าช้างมีงวง เพราะว่าการเบียดเบียนช้างตัวประเสริฐ
เป็นเหตุ นำความทุกข์มาให้"
"แน่ะเจ้าช้างมีงวง ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาจนกาลบัดนี้
ผู้ฆ่าช้างตัวประเสริฐ ย่อมไม่ได้พบสุคติเลย"
"เจ้าอย่าเมา เจ้าอย่าประมาท ด้วยว่าผู้ประมาทแล้ว ย่อมไปสู่สุคติไม่ได้
เจ้าจงกระทำหนทางที่จะพาตัวเจ้าไปสู่สุคติเถิด"
พระศาสดาทรงแสดงธรรมด้วยประการฉะนี้
สรีระทั้งสิ้นของช้างนั้น ได้เป็นร่างกายมีปีติถูกต้องแล้วหาระหว่างคั่นมิได้
ถ้าไม่เป็นสัตว์ดิรัจฉาน ก็จักได้บรรลุโสดาปัตติผล.
มนุษย์ทั้งหลายเห็นปาฏิหาริย์นั้น
ต่างพากันส่งเสียงปรบมืออยู่อื้ออึง
พวกที่เกิดความโสมนัสยินดีก็โยนเครื่องอาภรณ์ต่างๆ ไป
เครื่องอาภรณ์เหล่านั้น ก็ไปปกคลุมสรีระของช้าง.
ตั้งแต่วันนั้นมา ช้างนาลาคิรีก็ปรากฏนามว่า "ธนปาลกะ" (ช้างธนบาล)
ก็ในขณะนั้น สัตว์ ๘๔,๐๐๐
ในสมาคมแห่งช้างธนปาลกะก็ได้ดื่มน้ำอมฤต.
(บรรลุโสดาปัตติผล)
พระศาสดาทรงให้ช้างธนปาลกะตั้งอยู่ในศีล ๕ ประการ
ช้างนั้นก็เอางวงดูดละอองธุลีพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า
แล้วเอาโปรยลงบนหัวของตน
ย่อตัวถอยหลังออกมายืนอยู่ในที่อุปจาร พอแลเห็น
ถวายบังคมพระทศพลกลับเข้าไปยังโรงช้าง.
ตั้งแต่วันนั้นมา ช้างนาลาคิรีนั้น
ก็กลายเป็นช้างที่ได้รับการฝึกแล้วเชือกหนึ่ง
ในบรรดาช้างที่ได้รับการฝึกแล้วทั้งหลายอย่างนี้
ไม่เคยเบียดเบียนใครให้เดือดร้อนอีกต่อไปเลย.
พระศาสดาทรงสำเร็จสมดังมโนรถแล้ว ทรงอธิษฐานว่า
"ทรัพย์สิ่งของอันใด อันผู้ใดทิ้งไว้แล้ว
ทรัพย์สิ่งของอันนั้นจงเป็นของผู้นั้นตามเดิม"
แล้วทรงพระดำริว่า "วันนี้ เราได้กระทำปาฏิหาริย์อย่างใหญ่แล้ว
การเที่ยวจาริกไปเพื่อบิณฑบาตในพระนครนี้ ไม่สมควร"
ทรงทรมานพวกเดียรถีย์แล้ว มีภิกษุสงฆ์แวดล้อมเป็นบริวาร
ประดุจกษัตริย์ที่มีชัยชนะแล้วเสด็จออกจากพระนคร
ทรงดำเนินไปยังพระวิหารเวฬุวันทีเดียว
แม้พวกชนชาวเมือง ก็พากันถือเอาข้าวน้ำและของเคี้ยวเป็นอันมาก
ไปยังวิหาร ยังมหาทานให้เป็นไปทั่วแล้ว
ครั้นเมื่อ ทรงเสวยมหาทานที่พวกอุบาสกหลายพัน นำมาแล้ว
ทรงแสดงอนุปุพพีกถา โปรดชาวกรุงราชคฤห์นับได้ ๑๘ โกฏิ
ซึ่งประชุมกันในวันนั้น ธรรมาภิสมัยเกิดมีแก่สัตว์ประมาณแปดหมื่นสี่พัน.
**********
ในเวลาเย็นวันนั้น ภิกษุทั้งหลายประชุมกันเต็มธรรมสภา
สนทนากันว่า
"ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย พระอานนทเถระเจ้าผู้มีอายุ
ได้ยอมเสียสละชีวิตของท่านเพื่อประโยชน์แก่พระตถาคตเจ้า
ชื่อว่า กระทำกรรมที่กระทำได้ยาก ท่านเห็นช้างนาลาคิรีแล้ว
แม้ถูกพระศาสดาตรัสห้ามอยู่ถึง ๓ ครั้ง ก็ยังไม่ถอยไป"
"ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย น่าสรรเสริญพระอานนท์เถรเจ้าผู้มีอายุ
กระทำสิ่งซึ่งยากที่จะกระทำได้"
ลำดับนั้น พระศาสดาทรงสดับ ถ้อยคำสรรเสริญเกียรติคุณ
ของพระอานนท์นั้น ด้วยโสตธาตุเพียงดังทิพย์ จึงทรงพระดำริว่า
"ถ้อยคำสรรเสริญเกียรติคุณของอานนท์กำลังเป็นไปอยู่ เราควรจะไปในที่นั้น"
จึงเสด็จออกจากพระคันธกุฎี เสด็จไปยังโรงธรรมสภาตรัสถามว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วันนี้ พวกเธอกำลังสนทนากันด้วยเรื่องอะไรเล่าหนอ"
เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบว่า เรื่องชื่อนี้พระพุทธเจ้าข้า
จึงตรัสว่า "ใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นก็หาไม่ ถึงเมื่อกาลก่อน
ครั้งอานนท์เกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ก็ได้เคยสละชีวิต
เพื่อประโยชน์แก่ (เรา)ตถาคตแล้วเหมือนกัน"
ดังนี้แล้วได้ทรงนิ่งเฉยอยู่
เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลอาราธนา
จึงได้ทรงตรัสอดีตนิทาน...
เรื่องจุลลหังสชาดก
เรื่องมหาหังสชาดก
และเรื่องกักกฏกชาดก
**********
๏ นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง
ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง
เมตตัมพุเสกะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ
พระจอมมุนี ได้เอาชนะช้างตัวประเสริฐ
ชื่อ นาฬาคิรี ที่เมายิ่งนัก และแสนจะดุร้าย
ประดุจไฟป่าและจักราวุธและสายฟ้า
ด้วยวิธีรดลงด้วยน้ำ คือ ความมีพระทัยเมตตา,
ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแด่ท่าน
ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้นเถิดฯ
**********
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
พุทธประวัติ
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย