Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เบื่อเมือง
•
ติดตาม
31 ธ.ค. 2022 เวลา 06:48 • ไลฟ์สไตล์
๏ ปริเฉทที่ ๑๙ (ตอน ๖)
สักยบรรพชาปริวรรต
พระเทวทัตถูกธรณีสูบ
**********
~ กรรมชั่วของพระเทวทัตปรากฏแก่มหาชน ~
กรรมของพระเทวทัต
ในครั้งที่ ยังพระอชาตสัตรูกุมารให้สำเร็จโทษพระราชา (พระราชบิดา)
ในครั้งที่ แต่งนายขมังธนู เพื่อลอบปลงพระชนม์พระศาสดา
และในครั้งที่ กลิ้งศิลาใหญ่ เพื่อลอบปลงพระชนม์พระศาสดา
กรรมเหล่านั้นมิได้ปรากฏ... แก่มหาชนทั้งหลาย
แต่กรรมชั่วของพระเทวทัต ปรากฏแก่มหาชน
เมื่อ ปล่อยช้างนาฬาคิรี... เพื่อลอบปลงพระชนม์พระศาสดา
คราวนั้นแล มหาชนได้โจษจันกันขึ้นว่า
“แม้พระราชาก็พระเทวทัตนั่นเอง เป็นผู้ให้สำเร็จโทษเสีย,
แม้นายขมังธนูก็พระเทวทัตนั่นเองแต่งขึ้น,
แม้ศิลาก็พระเทวทัตเหมือนกันกลิ้งลง,
และบัดนี้เธอก็ได้ปล่อยช้างนาฬาคิรี,
พระราชาทรงเที่ยวคบคนลามกเห็นปานนี้.”
พระราชาทรงสดับถ้อยคำของมหาชนแล้ว
จึงให้นับสำรับ ๕๐๐ คืนมา
มิได้เสด็จไปยังที่อุปัฏฐากของพระเทวทัตนั้นอีก.
ถึงชาวพระนครก็มิได้ถวายแม้วัตถุ
มาตรว่าภิกษาแก่พระเทวทัตซึ่งเข้าไปยังสกุล.
พระเทวทัตเสื่อมจากลาภและสักการะแล้วด้วยประการดังนี้
**********
~ พระเทวทัตทูลขอวัตถุ ๕ ประการ ~
พระเทวทัตนั้นเสื่อมจากลาภและสักการะแล้ว
ประสงค์จะเลี้ยงชีวิตด้วยการหลอกลวง
จึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ทูลขอ
"วัตถุ ๕ ประการ"
เพื่อให้พระบรมศาสดาบัญญัติ
ให้ภิกษุทั้งหลายปฏิบัติโดยเคร่งครัด คือ
๑.ให้ถือการอยู่ในเสนาสนะป่าตลอดชีวิต
๒.ให้ถือการเที่ยวบิณฑบาตตลอดชีวิต
๓.ให้ใช้ผ้าบังสุกุลตลอดชีวิต
๔.ให้ถือการอยู่โคนไม้ตลอดชีวิต
๕.ให้งดฉันเนื้อสัตว์ตลอดชีวิต
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามว่า
“อย่าเลย เทวทัต ผู้ใดปรารถนา ผู้นั้นก็จงเป็นผู้อยู่ป่าเถิด” ดังนี้
(พระบรมศาสดาไม่ทรงอนุญาต ตรัสให้ปฏิบัติได้ ตามแต่ศรัทธา)
พระเทวทัตจึงทูลว่า
“ผู้มีอายุ คำพูดของใครจะงาม ของพระตถาคตหรือของข้าพระองค์?
ก็ข้าพระองค์กล่าวด้วยสามารถข้อปฏิบัติอย่างอุกฤษฏ์อย่างนี้ว่า :
“พระเจ้าข้า ดังข้าพระองค์ขอประทานโอกาส
ขอภิกษุทั้งหลายจงเป็นผู้อยู่ป่า
เที่ยวบิณฑบาต
ทรงผ้าบังสุกุล
อยู่โคนไม้
อย่าพึงฉันปลาและเนื้อจนตลอดชีวิต”,
แล้วกล่าวว่า “ผู้ใดใคร่จะพ้นจากทุกข์, ผู้นั้นจงมากับเรา”
ดังนี้แล้ว หลีกไป.
ภิกษุบางพวกบวชใหม่ มีความรู้น้อย ได้สดับถ้อยคำของพระเทวทัตนั้นแล้ว
ชักชวนกันว่า “พระเทวทัตพูดถูก พวกเราจักเที่ยวไปกับพระเทวทัตนั้น”
ดังนี้แล้ว ได้สมคบกับเธอ.
**********
~ พระเทวทัตทำลายสงฆ์ ~
(ทำอนันตริยกรรม)
พระเทวทัตนั้น ยังชนผู้เลื่อมใสในของเศร้าหมอง
ให้เข้าใจด้วยวัตถุ ๕ ประการนั้น พร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ รูป
ให้เที่ยวขอ (ปัจจัย) ในสกุลทั้งหลายมาบริโภค
พยายามเพื่อทำลายสงฆ์แล้ว.
เธออันพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสถามว่า
“เทวทัต ได้ยินว่า เธอพยายามเพื่อทำลายสงฆ์ เพื่อทำลายจักรจริงหรือ?”
พระเทวทัตทูลว่า “จริง พระผู้มีพระภาค”
แม้พระองค์ทรงโอวาทด้วยพระพุทธพจน์มีอาทิว่า
“เทวทัต การทำลายสงฆ์มีโทษหนักแล”
ก็มิได้เชื่อถือพระวาจาของพระศาสดาหลีกไปแล้ว,
พบท่านพระอานนท์ ซึ่งกำลังเที่ยวไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์
จึงกล่าวว่า
“อานนท์ผู้มีอายุ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าจักทำอุโบสถ จักทำสังฆกรรม
เว้นจากพระผู้มีพระภาคเจ้า เว้นจากภิกษุสงฆ์”
พระเถระกราบทูลความนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระศาสดาทรงทราบความนั้นแล้วเกิดธรรมสังเวช
ทรงปริวิตกว่า “เทวทัตทำกรรมเป็นเหตุให้ตนไหม้ในอเวจี
อันเกี่ยวถึงความฉิบหายแก่สัตวโลกทั้งเทวโลก”
(ทำอนันตริยกรรม)
ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า
“กรรมทั้งหลายที่ไม่ดีและไม่เป็นประโยชน์แก่ตน... ทำได้ง่าย
กรรมใดแลเป็นประโยชน์ด้วย ดีด้วย... กรรมนั้นแลทำได้ยากอย่างยิ่ง.”
ทรงเปล่งพระอุทานนี้อีกว่า
“กรรมดีคนดีทำได้ง่าย กรรมดีคนชั่วทำได้ยาก
กรรมชั่วคนชั่วทำได้ง่าย กรรมชั่วพระอริยเจ้าทั้งหลายทำได้ยาก.”
**********
ครั้งนั้นแล พระเทวทัตนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่งพร้อมด้วยบริษัทของตน
ในวันอุโบสถ กล่าวว่า
“วัตถุ ๕ ประการเหล่านี้ ย่อมชอบใจแก่ผู้ใด, ผู้นั้นจงจับสลาก”
เมื่อพวกภิกษุวัชชีบุตร ๕๐๐ รูป ผู้บวชใหม่
ยังไม่รู้จักธรรมวินัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำทั่วถึง จับสลากกันแล้ว,
ได้ทำลายสงฆ์ พาภิกษุเหล่านั้นไปสู่คยาสีสประเทศ.
**********
อัครสาวกทั้งสองชักจูงภิกษุกลับเข้าพวกได้
พระศาสดาทรงสดับความที่พระเทวทัตนั้นไปแล้ว ณ ที่นั้น
จึงทรงส่งพระอัครสาวกทั้งสองไป เพื่อประโยชน์แก่การนำภิกษุเหล่านั้นมา.
พระอัครสาวกทั้งสองนั้นไป ณ ที่นั้นแล้ว
พร่ำสอนอยู่ด้วยอนุสาสนีเนื่องในอาเทศนาปาฏิหาริย์
และอนุสาสนีอันเนื่องในอิทธิปาฏิหาริย์
ยังภิกษุเหล่านั้นให้ดื่มอมตธรรมแล้ว ได้พามาทางอากาศ.
ฝ่ายพระโกกาลิกะแล กล่าวว่า
“เทวทัตผู้มีอายุ ลุกขึ้นเถิด, พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ
นำเอาภิกษุเหล่านั้นไปหมดแล้ว,
ผมบอกท่านแล้วไม่ใช่หรือว่า
‘ผู้มีอายุ ท่านอย่าไว้ใจพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ,
(เพราะ) พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะมีความปรารถนาลามก
ลุอำนาจแห่งความปรารถนาลามก’”
ดังนี้แล้ว เอาเข่ากระแทกที่ทรวงอก (พระเทวทัต).
โลหิตอุ่นได้พลุ่งออกจากปากพระเทวทัตในที่นั้นเอง.
**********
ฝ่ายพวกภิกษุเห็นท่านพระสารีบุตร
มีภิกษุสงฆ์แวดล้อมมาทางอากาศแล้ว กราบทูลว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระสารีบุตร ในเวลาไป มีตนเป็นที่ ๒ เท่านั้นไปแล้ว,
บัดนี้ มีบริวารมากมา ย่อมงามแท้.”
**********
~ บุรพกรรมของพระเทวทัต ~
พระศาสดาตรัสว่า
“ภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่บัดนี้เท่านั้น,
แม้ในกาลที่เธอเกิดในกำเนิดดิรัจฉาน
บุตรของเรามาสู่สำนักของเรา ก็ย่อมงามเหมือนกัน”
ดังนี้แล้วได้ตรัสชาดก "ลักขณชาดก" นี้ว่า
“ความจำเริญ ย่อมมีแก่ผู้มีศีลทั้งหลาย ผู้ประพฤติปฏิสันถาร,
ท่านจงดูเนื้อ ชื่อลักขณะ อันหมู่ญาติแวดล้อมมาอยู่,
อนึ่ง ท่านจงดูเนื้อ ชื่อกาละนี้ ที่เสื่อมจากญาติทั้งหลายเทียว”
ดังนี้เป็นต้น,
(ลักขณชาดก - ขุ. ชา. เล่ม ๒๗/ข้อ ๑๑ ; อรรถกถา ขุ. ชา. เล่ม ๒๗/ข้อ ๑๑)
**********
เมื่อพวกภิกษุกราบทูลอีกว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ได้ทราบว่า
พระเทวทัตให้พระอัครสาวก ๒ องค์นั่งที่ข้างทั้งสองแล้ว
กล่าวว่า ‘เราจะแสดงธรรมด้วยพุทธลีลา’ ทำกิริยาตามอย่างพระองค์แล้ว”
ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ไม่ใช่แต่บัดนี้เท่านั้น,
แม้ครั้งก่อน เทวทัตนี้ก็พยายามทำตามเยี่ยงอย่างของเรา แต่ไม่สามารถ”
ดังนี้แล้วตรัส "นทีจรกากชาดก"
**********
แม้วันอื่นๆ อีก ทรงปรารภกถาเช่นนั้นเหมือนกัน
ตรัสชาดกทั้งหลายเป็นต้นว่า
กันทคลกชาดก
วิโรจนชาดก
ชวสกุณชาดก
กุรุงคมิคชาดก
อุภโตภัฏฐชาดก
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่กรุงราชคฤห์
ทรงปรารภพระเทวทัต ตรัสชาดกเป็นอันมาก
ด้วยประการอย่างนั้นแล้ว
เสด็จ (ออก) จากกรุงราชคฤห์ไปสู่เมืองสาวัตถี
ประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร.
**********
~ พระเทวทัตให้สาวกนำไปเฝ้าพระศาสดา ~
ฝ่ายพระเทวทัตแล เป็นไข้ถึง ๙ เดือน,
ในกาลสุดท้าย ใคร่จะเฝ้าพระศาสดา จึงบอกพวกสาวกของตนว่า
“เราใคร่จะเฝ้าพระศาสดา, ท่านทั้งหลายจงแสดงพระศาสดานั้นแก่เราเถิด.”
เมื่อสาวกเหล่านั้นตอบว่า
“ท่านในเวลาที่ยังสามารถ ได้ประพฤติเป็นคนมีเวรกับพระศาสดา,
ข้าพเจ้าทั้งหลายจักนำท่านไปในที่พระศาสดาประทับอยู่ไม่ได้”
จึงกล่าวว่า “ ท่านทั้งหลายอย่าให้ข้าพเจ้าฉิบหายเลย
ข้าพเจ้าทำอาฆาตในพระศาสดา, แต่สำหรับพระศาสดาหามีความอาฆาตในข้าพเจ้า
แม้ประมาณเท่าปลายผมไม่”,
จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นทรงมีพระทัยสม่ำเสมอในบุคคลทั่วไป คือ
ในนายขมังธนู ในพระเทวทัต ในโจรองคุลิมาล
ในช้างธนบาล และในพระราหุล.
(เมตตาสม่ำเสมอในบุคคลทั่วไป ไม่ลำเอียง ด้วยอำนาจอคติ ๔)
เพราะฉะนั้น พระเทวทัตจึงอ้อนวอนแล้วๆ เล่าๆ ว่า
“ขอท่านทั้งหลายจงแสดงพระผู้มีพระภาคเจ้าแก่ข้าพเจ้า”
ทีนั้น สาวกเหล่านั้น จึงพาพระเทวทัตนั้นออกไปด้วยเตียงน้อย
ภิกษุทั้งหลายได้ข่าวการมาของพระเทวทัตนั้น
จึงกราบทูลพระศาสดาว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข่าวว่า พระเทวทัตมาเพื่อประโยชน์จะเฝ้าพระองค์”
พระศาสดาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย เทวทัตนั้นจักไม่ได้เห็นเราด้วยอัตภาพนั้น”
นัยว่า พวกภิกษุย่อมไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้าอีก
จำเดิมแต่กาลที่ขอวัตถุ ๕ ประการ, ข้อนี้ย่อมเป็นธรรมดา,
พวกภิกษุกราบทูลว่า “พระเทวทัตมาถึงที่โน้นและที่โน้นแล้ว พระเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคเจ้า : เทวทัตจงทำสิ่งที่ตนปรารถนาเถอะ,
(แต่อย่างไรเสีย) เธอก็จักไม่ได้เห็นเรา.
ภิกษุ : ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเทวทัตมาถึงที่ประมาณโยชน์หนึ่ง แต่ที่นี้แล้ว,
(และทูลต่อๆ ไปอีกว่า) มาถึงกึ่งโยชน์แล้ว,
คาพยุตหนึ่งแล้ว, มาถึงที่ใกล้สระโบกขรณีแล้ว พระเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า : แม้หากเทวทัตจะเข้ามาภายในพระเชตวัน,
ก็จักไม่ได้เห็นเราเป็นแท้.
**********
~ พระเทวทัตถูกธรณีสูบ ~
พวกสาวกพาพระเทวทัตมา
วางเตียงลงริมฝั่งสระโบกขรณีใกล้พระเชตวันแล้ว
ต่างก็ลงไปเพื่อจะอาบน้ำในสระโบกขรณี.
แม้พระเทวทัตแล ลุกจากเตียงแล้วนั่งวางเท้าทั้งสองบนพื้นดิน
เท้าทั้งสองนั้นก็จมแผ่นดินลง.
เธอจมลงแล้วโดยลำดับเพียงข้อเท้า,
เพียงเข่า, เพียงเอว,
เพียงนม,
จนถึงคอ,
ในเวลาที่ กระดูกคาง จดถึงพื้นดิน...
ได้กล่าวคาถานี้ว่า
“ข้าพระองค์ขอถึงพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ผู้เป็นบุคคลเลิศ เป็นเทพยิ่งกว่าเทพ เป็นสารถี
ฝึกนรชน มีพระจักษุรอบคอบ มีพระลักษณะ
(แต่ละอย่าง) เกิดด้วยบุญตั้งร้อย...
ว่าเป็นที่พึ่ง ด้วยกระดูก (คาง) เหล่านี้ พร้อมด้วยลมหายใจ.”
**********
~ อธิบายเรื่องทรงอนุญาติให้พระเทวทัตบวช ~
นัยว่า “พระตถาคตเจ้าทรงเห็นฐานะนี้ จึงโปรดให้พระเทวทัตบวช.
ก็ถ้าพระเทวทัตนั้น จักไม่ได้บวชไซร้, เป็นคฤหัสถ์ จักได้ทำกรรมหนัก,
จักไม่ได้อาจทำปัจจัยแห่งภพต่อไป,
ก็แลครั้นบวชแล้ว จักทำกรรมหนักก็จริง,
(ถึงดังนั้น) ก็จะสามารถทำปัจจัยแห่งภพต่อไปได้”
เพราะฉะนั้น พระศาสดาจึงโปรดให้เธอบวชแล้ว.
**********
~ พระเทวทัตเกิดในอเวจีถูกตรึงด้วยหลาวเหล็ก ~
จริงอยู่ พระเทวทัตนั้นจักเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
นามว่าอัฏฐิสสระ ในที่สุดแห่งแสนกัลป์แต่กัลป์นี้
พระเทวทัตนั้นจมดินไปแล้ว เกิดในอเวจี.
และเธอเป็นผู้ไหวติงไม่ได้ ถูกไฟไหม้อยู่
เพราะเป็นผู้ผิดในพระพุทธเจ้าผู้ไม่หวั่นไหว.
สรีระของเธอสูงประมาณ ๑๐๐ โยชน์
เกิดในก้นอเวจีซึ่งมีประมาณ ๓๐๐ โยชน์,
ศีรษะสอดเข้าไปสู่แผ่นเหล็กในเบื้องบน จนถึงหมวกหู,
เท้าทั้งสองจมแผ่นดินเหล็กลงไปข้างล่าง จนถึงข้อเท้า,
หลาวเหล็กมีปริมาณเท่าลำตาลขนาดใหญ่ ออกจากฝา ด้านหลัง
แทงกลางหลังทะลุหน้าอก ปักฝาด้านหน้า,
อีกหลาวหนึ่ง ออกจากฝาด้านขวา แทงสีข้างเบื้องขวา
ทะลุออกสีข้างเบื้องซ้าย ปักฝาด้านซ้าย,
อีกหลาวหนึ่ง ออกจากแผ่นข้างบน
แทงกระหม่อมทะลุออก ส่วนเบื้องต่ำ ปักลงสู่แผ่นดินเหล็ก,
พระเทวทัตนั้นเป็นผู้ไหวติงไม่ได้ อันไฟไหม้ในอเวจีนั้น
ด้วยประการอย่างนี้.
**********
~ เมื่อก่อนพระเทวทัตก็ประพฤติผิดในพระศาสดา ~
ภิกษุทั้งหลายสนทนากันว่า
“พระเทวทัตถึงฐานะประมาณเท่านี้
ไม่ทันได้เฝ้าพระศาสดา จมลงสู่แผ่นดินแล้ว.”
พระศาสดาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย เทวทัตประพฤติผิดในเรา
จมดินลงไปในบัดนี้เท่านั้น หามิได้,
แม้ครั้งก่อน เธอก็จมลงแล้วเหมือนกัน”,
เพื่อจะทรงแสดงความที่บุรุษหลงทาง อันพระองค์ปลอบโยนแล้ว
ยกขึ้นหลังของตนแล้ว ให้ถึงที่อันเกษมแล้ว
กลับมาตัดงาทั้งหลายอีกถึง ๓ ครั้ง
อย่างนี้ คือที่ปลาย ที่ท่ามกลาง ที่โคน
ในวาระที่ ๓ เมื่อก้าวล่วงคลองจักษุแห่งมหาบุรุษแล้ว ก็จมแผ่นดิน
ในกาลที่พระองค์เป็นพระยาช้าง จึงตรัส "สีลวนาคชาดก" เป็นต้นว่า
“หากจะให้แผ่นดินทั้งหมด แก่คนอกตัญญู ผู้เพ่งโทษเป็นนิตย์
ก็ไม่ยังเขาให้ยินดี (พอใจ) ได้เลย.”
(สีลวนาคชาดก - ขุ. ชา. เล่ม ๒๗/ข้อ ๗๒ ; อรรถกถา ขุ. ชา. เล่ม ๒๗/ข้อ ๗๒)
เมื่อกถาตั้งขึ้นแล้วเช่นนั้นนั่นแลแม้อีก จึงตรัส
ขันติวาทิชาดก
จุลลธรรมปาลชาดก
มหาปิงคลชาดก
**********
ผู้ทำบาปย่อมเดือดร้อนในโลกทั้งสอง
ภิกษุทั้งหลายทูลถามพระศาสดาว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ พระเทวทัตเกิดแล้ว ณ ที่ไหน?”
พระศาสดาตรัสว่า “ในอเวจีมหานรก ภิกษุทั้งหลาย”
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเทวทัตประพฤติเดือดร้อนในโลกนี้แล้ว
ไปเกิดในสถานที่เดือดร้อนนั่นแลอีกหรือ?”
พระศาสดาตรัสว่า
“อย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย ชนทั้งหลายจะเป็นบรรพชิตก็ตาม เป็นคฤหัสถ์ก็ตาม,
มีปกติอยู่ด้วยความประมาท ย่อมเดือดร้อนในโลกทั้งสองทีเดียว”
ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า
"อิธ ตปฺปติ เปจฺจ ตปฺปติ ปาปการี อุภยตฺถ ตปฺปติ
ปาปํ เม กตนฺติ ตปฺปติ ภิยฺโย ตปฺปติ ทุคฺคตึ คโต"
"ผู้มีปกติทำบาป ย่อมเดือดร้อนในโลกนี้
ละไปแล้ว ย่อมเดือดร้อน เขาย่อมเดือดร้อนในโลกทั้งสอง,"
"เขาย่อมเดือดร้อนว่า ‘กรรมชั่วเราทำแล้ว’,
ไปสู่ทุคติ ย่อมเดือดร้อนยิ่งขึ้น (เดือดร้อนอย่างยิ่ง) "
ในกาลจบคาถา
ชนเป็นอันมากได้เป็นพระอริยบุคคล มีพระโสดาบันเป็นต้นแล้ว.
เทศนาเป็นประโยชน์แก่มหาชน ดังนี้แล.
**********
บันทึก
2
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
พุทธประวัติ
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย