Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เบื่อเมือง
•
ติดตาม
1 ม.ค. 2023 เวลา 04:07 • ไลฟ์สไตล์
๏ เรื่องอนาถบิณฑกเศรษฐี
"ผู้เลิศกว่าอุบาสก ผู้ถวายทาน"
**********
อนาถบิณฑิกเศรษฐี หรือ สุทัตตอนาถปิณฑิกคฤหบดี
เป็นชาวเมืองสาวัตถีในสมัยพุทธกาล
เดิมท่านมีนามว่า "สุทัตตะเศรษฐี"
เกิดในตระกูลของสุมนะเศรษฐีผู้เป็นบิดา
ท่านเป็นเศรษฐีที่ใจบุญ ชอบช่วยเหลือคนตกยาก
ทำให้ท่านถูกเรียกจากชาวเมืองสาวัตถีว่า "อนาถบิณฑิกเศรษฐี"
แปลว่า "เศรษฐีผู้เป็นที่พึ่งของคนยาก"
(แปลตามศัพท์ว่า เศรษฐีผู้มีก้อนข้าวให้กับคนยากจน)
**********
~ อนาถบิณฑกคหบดีเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าครั้งแรก ~
สมัยนั้น อนาถบิณฑิกคหบดี
เป็นน้องเขยของ ราชคหเศรษฐี
(และผู้เป็นสหายที่รักของตน)
ครั้งนั้น อนาถบิณฑิกคหบดี ไปเมืองราชคฤห์
ด้วยเกวียน ๕๐๐ เล่ม บรรทุกสินค้า เพื่อไปค้าขาย
สมัยนั้น ราชคหเศรษฐีได้นิมนต์พระสงฆ์
มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข เพื่อฉันในวันรุ่งขึ้น
จึงได้สั่งทาสและกรรมกรทั้งหลายว่า
"พนาย ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ต้มข้าว หุงข้าว ต้มแกง
จงช่วยกันจัดหาอาหารที่มีรสอร่อย ฯ"
ขณะนั้น อนาถบิณฑิกคหบดีได้คิดว่า เมื่อเรามาคราวก่อน
ท่านคหบดีผู้นี้จัดทำธุระทุกอย่างเสร็จแล้ว
สนทนาปราศรัยกับเราผู้เดียว
บัดนี้เขามีท่าทีเปลี่ยนไป สั่งทาสและกรรมกรทั้งหลายอยู่...
บางทีคหบดีผู้นี้จักมีงานอาวาหมงคล วิวาหมงคล
หรือประกอบมหายัญ หรือจักทูลเชิญเสด็จพระเจ้าพิมพิสาร
จอมเสนามาคธราช พร้อมทั้งกองพลมาเลี้ยงในวันรุ่งขึ้นกระมัง ฯ
**********
ครั้นราชคหเศรษฐีสั่งทาสและกรรมกรแล้ว เข้าไปหาอนาถบิณฑิกคหบดี
ได้นั่งสนทนากัน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
อนาถบิณฑิกคหบดีได้ถามว่า
"ท่านคหบดี คราวก่อนเมื่อฉันมาแล้ว ท่านได้จัดทำธุระทุกอย่างเสร็จแล้ว
ก็สนทนากับฉันผู้เดียว บัดนี้ท่านนั้นมัวสาละวนสั่งทาสและกรรมกร..."
"บางทีท่านคหบดี จักมีงานอาวาหมงคล วิวาหมงคล หรือประกอบ
มหายัญ หรือจักทูลเชิญเสด็จพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช
พร้อมทั้งกองพลมาเลี้ยงในวันพรุ่งนี้กระมัง ฯ
ราชคหเศรษฐีตอบว่า
"ท่านคหบดี ฉันจะได้มีงานอาวาหมงคล หรือวิวาหมงคล ก็หาไม่
แม้พระเจ้าพิมพิสาร... ฉันก็มิได้เชิญเสด็จมาเลี้ยงในวันพรุ่งนี้
"ที่ถูกฉันจะประกอบมหายัญ (ทำบุญให้ทาน) คือ ฉันได้นิมนต์พระสงฆ์
มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข เพื่อเลี้ยงในวันพรุ่งนี้"
อนาถบิณฑกคหบดี : "ท่านคหบดี ท่านกล่าวว่า พระพุทธเจ้า ดังนี้หรือ"
ราชคหเศรษฐี : "ท่านคหบดี ฉันกล่าวว่า พระพุทธเจ้า ดังนี้จ้ะ"
(ท่านอนาถบิณฑกคหบดี ถามอย่างนี้ถึง ๓ ครั้ง...)
อนาถบิณฑกคหบดี : "ท่านคหบดี แม้เสียงว่า พุทธะ นี้ก็ยากที่จะหาได้ในโลก
ท่านคหบดี ฉันสามารถจะเข้าเฝ้าเยี่ยมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา
สัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ในเวลานี้ได้ไหม"
ราชคหเศรษฐี : " ท่านคหบดี เวลานี้ยังไม่ควรที่จะเข้าเฝ้า
เยี่ยมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พรุ่งนี้ท่านจึงจะได้เข้าเฝ้าเยี่ยมพระผู้มีพระภาค
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ฯ"
**********
หลังจากนั้น อนาถบิณฑิกคหบดีนอนนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ว่า
"พรุ่งนี้ เราจะได้เข้าเฝ้าเยี่ยมพระผู้มีพระภาค
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น"
ได้ยินว่าครั้งนั้น
อนาถบิณฑิกคหบดีลุกขึ้นในกลางคืนถึงสามครั้ง เข้าใจว่า "สว่างแล้ว"
จึงได้เดินไปโดยทางอันจะไปประตูป่าสีตวัน พวกอมนุษย์เปิดประตูให้
ขณะเมื่อเดินออกจากพระนคร แสงสว่างได้หายไป ความมืดปรากฏแทน
ความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้าได้บังเกิดแล้ว
เธอได้คิดกลับจากที่นั้นอีก ฯ
ขณะนั้น สีวกยักษ์ไม่ปรากฏร่าง ให้ได้ยินแต่เสียงโดยคาถาว่าดังนี้
"ช้าง ๑ แสน ม้า ๑ แสน รถม้าอัสดร ๑ แสน
สาวน้อยประดับต่างหูเพชร ๑ แสน
ก็ยัง (มีค่า) ไม่เท่า เสี้ยวที่ ๑๖ แห่งการย่างเท้าไปก้าวหนึ่ง..."
"เชิญก้าวไปข้างหน้าเถิด ท่านคหบดี
เชิญก้าวไปข้างหน้าเถิด ท่านคหบดี
ท่านก้าวไปข้างหน้าดีกว่า อย่าถอยกลับเลย ฯ"
ทันใดนั้น ความมืดหายไป แสงสว่างได้ปรากฏแก่อนาถบิณฑิกคหบดี
ความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า
อันใดได้มีแล้ว อันนั้นได้สงบแล้ว
แม้ครั้งที่สอง ...
แม้ครั้งที่สาม แสงสว่างหายไป ความมืดได้ปรากฏแก่อนาถบิณฑิกคหบดี
ความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้าได้บังเกิด
เธอคิดจะกลับจากที่นั้นอีก
แม้ครั้งที่สาม สีวกยักษ์ไม่ปรากฏร่าง ให้ได้ยินแต่เสียง อีกดังนี้
แม้ครั้งที่สาม ความมืดหายไป แสงสว่างได้ปรากฏแก่อนาถบิณฑิกคหบดี
ความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้าอันใดได้มีแล้ว
อันนั้นได้สงบแล้ว จึงอนาถบิณฑิกคหบดีเดินเข้าไปยังสีตวันแล้ว ฯ
**********
สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จลุกขึ้นจงกรมในที่แจ้ง
ณ เวลาปัจจุสสมัยแห่งราตรี
ได้ทอดพระเนตรเห็นอนาถบิณฑิกคหบดีนั้นเดินมาแต่ไกล
ครั้นแล้วเสด็จลงจากที่จงกรมประทับนั่งเหนืออาสนะที่ปูลาดไว้
ครั้นแล้วได้ตรัสกะอนาถบิณฑิกคหบดีว่า
มาเถิด "สุทัตตะ" ทันใดนั้น อนาถบิณฑิกคหบดีเบิกบานใจ ดีใจว่า
"พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกชื่อเรา"
แล้วเข้าไปเฝ้าซบเศียรลงแทบพระบาทพระผู้มีพระภาค ทูลถามว่า
"พระองค์ประทับสำราญ หรือ พระพุทธเจ้าข้า ฯ"
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบโดยคาถา ว่าดังนี้:-
"พราหมณ์ผู้ดับทุกข์ได้แล้ว ย่อมอยู่เป็นสุขแท้ทุกเวลา
ผู้ใดไม่ติดในกาม มีใจเย็น ไม่มีอุปธิ ตัดความเกี่ยวข้องทุกอย่างได้แล้ว
บรรเทาความกระวนกระวายในใจ ถึงความสงบแห่งจิต
เป็นผู้สงบระงับแล้ว ย่อมอยู่เป็นสุข ฯ"
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสอนุปุพพิกถาแก่อนาถบิณฑิกคหบดี
คือ บรรยายถึงทาน ศีล สวรรค์ อาทีนพ ความต่ำทราม
ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย
แล้วทรงประกาศอานิสงส์ในการออกจากกาม
ขณะที่พระองค์ทรงทราบว่า อนาถบิณฑิกคหบดีมีจิตควรแก่การงาน
มีจิตอ่อน มีจิตปราศจากนิวรณ์ มีจิตสูง มีจิตเลื่อมใสแล้ว
จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้า
ทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง
คือ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์
ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์...
**********
~ อนาถบิณฑิกคหบดีได้ดวงตาเห็นธรรม ~
ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทินว่า
"สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา"
ได้เกิดแก่อนาถบิณฑิกคหบดี ณ ที่นั่งนั้นแล
ดุจผ้าที่สะอาดปราศจากมลทินควรได้รับน้ำย้อม ฉะนั้น ฯ
ครั้นอนาถบิณฑิกคหบดี ได้เห็นธรรมแล้ว ได้บรรลุธรรมแล้ว
ได้รู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว มีธรรมหยั่งลงแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้ว
ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัย ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า
ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา
ได้ทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก
ภาษิตของพระองค์ไพเราะนัก พระพุทธเจ้าข้า"
พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยายอย่างนี้
"เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำเปิดของที่ปิด
บอกทางแก่คนหลงทาง
หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยตั้งใจว่า คนมีจักษุจักเห็นรูป ดังนี้"
"ข้าพระพุทธเจ้านี้ขอถึงพระผู้มีพระภาค พระธรรม และพระสงฆ์
ว่าเป็นสรณะ ขอพระองค์จงทรงจำข้าพระพุทธเจ้าว่า
เป็นอุบาสกผู้มอบชีวิตถึงสรณะ"
"จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป และขอพระองค์พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์
จงทรงรับภัตตาหาร เพื่อเจริญบุญกุศล ปีติและปราโมทย์
ในวันพรุ่งนี้ ของข้าพระพุทธเจ้า"
พระผู้มีพระภาคทรงรับอาราธนา โดยดุษณีภาพ
ครั้นอนาถบิณฑิกคหบดีทราบว่าพระผู้มีพระภาคทรงรับอาราธนาแล้ว
จึงลุกจากที่นั่ง ถวายบังคม ทำประทักษิณกลับไป ฯ
**********
~ ชาวเมืองทราบข่าว อนาถบิณฑิกคหบดีนิมนต์พระพุทธเจ้า ~
ราชคหเศรษฐีได้ทราบข่าวว่า
อนาถบิณฑิกคหบดีนิมนต์พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
เพื่อฉันในวันพรุ่งนี้
จึงได้ถามอนาถบิณฑิกคหบดีว่า "ท่านคหบดี ข่าวว่าท่านได้นิมนต์
พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข เพื่อฉันในวันพรุ่งนี้
แลท่านก็เป็นแขกแรกมา ฉันจะให้ยืมทรัพย์ที่จะจับจ่ายสิ่งของแก่ท่าน
เพื่อท่านจะได้จัดทำอาหารเลี้ยงพระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข"
อนาถบิณฑิกคหบดีตอบว่า "ไม่ต้อง ท่านคหบดี ทรัพย์สำหรับที่จะจับจ่าย
สิ่งของเป็นเครื่องทำอาหารถวายพระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขนั้น
ของฉันมีแล้ว ฯ"
ชาวนิคมเมืองราชคฤห์ได้ทราบข่าวว่า
อนาถบิณฑิกคหบดี นิมนต์พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
เพื่อฉันในวันพรุ่งนี้ จึงได้ถามอนาถบิณฑิกคหบดีว่า
"ท่านคหบดี ข่าวว่าท่านได้นิมนต์พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็น
ประมุขเพื่อฉันในวันพรุ่งนี้ แลท่านก็เป็นแขกแรกมา
ฉันจะให้ยืมทรัพย์ที่จะจับจ่ายสิ่งของแก่ท่าน
เพื่อท่านจะได้จัดทำอาหารเลี้ยงพระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข"
อนาถบิณฑิกคหบดีตอบว่า "ไม่ต้อง ท่านผู้เจริญ ทรัพย์สำหรับที่จะจับจ่าย
สิ่งของเป็นเครื่องทำอาหารถวายพระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขนั้น
ของฉันมีแล้ว ฯ"
พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราชได้ทรงสดับข่าวว่า
อนาถบิณฑิกคหบดี นิมนต์พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข เพื่อฉันในวันพรุ่งนี้
จึงตรัสถามอนาถบิณฑิกคหบดีว่า
"ดูกรคหบดี ข่าวว่า ท่านนิมนต์พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
เพื่อฉันในวันพรุ่งนี้ แลท่านก็เป็นแขกเมือง ฉันจะให้ยืมทรัพย์ที่จะจับจ่ายสิ่งของแก่ท่าน
เพื่อท่านจะได้จัดทำอาหารเลี้ยงพระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข"
อนาถบิณฑิกคหบดีกราบทูลว่า "ขอเดชะ เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นเกล้า
ทรัพย์ที่จะจับจ่ายเป็นเครื่องทำอาหารถวายพระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขนั้น
ของข้าพระพุทธเจ้ามีแล้ว ฯ"
**********
~ อนาถบิณฑิกคหบดีถวายภัตตาหาร ~
หลังจากนั้น อนาถบิณฑิกคหบดีสั่งให้ตกแต่งอาหารของเคี้ยว
ของฉันอันประณีตในนิเวศน์ของราชคหเศรษฐี โดยล่วงราตรีนั้น
แล้วให้กราบทูลภัตกาลแด่พระผู้มีพระภาคว่า
"ได้เวลาแล้ว ภัตตาหารสำเร็จแล้ว พระพุทธเจ้าข้า"
ครั้นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสก
ทรงถือบาตรจีวร เสด็จเข้านิเวศน์ของราชคหเศรษฐี
ครั้นแล้วประทับนั่งเหนืออาสนะที่ปูลาดถวายพร้อมกับภิกษุสงฆ์
จึงอนาถบิณฑิกคหบดีอังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
ด้วยอาหารของเคี้ยวของฉันอันประณีตด้วยมือตนเอง
จนพระผู้มีพระภาคเสวยเสร็จ ลดพระหัตถ์จากบาตร ห้ามภัตรแล้ว
จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลว่า
"พระพุทธเจ้าข้า ขอพระองค์พร้อมกับภิกษุสงฆ์จงทรงรับอาราธนาอยู่จำพรรษา
ในเมืองสาวัตถีของข้าพระพุทธเจ้า"
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า "ดูกรคหบดี พระตถาคตทั้งหลาย
ย่อมยินดีในสุญญาคาร (เรือนว่าง)"
อนาถบิณฑิกคหบดีทูลว่า "ทราบเกล้าแล้ว พระผู้มีพระภาค
ทราบเกล้าแล้ว พระสุคต"
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้อนาถบิณฑิกคหบดีเห็นแจ้ง
สมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถาแล้วทรงลุกจากอาสนะเสด็จกลับ ฯ
**********
~ อนาถบิณฑิกคหบดีสร้างพระเชตวัน ~
สมัยนั้น อนาถบิณฑิกคหบดีเป็นคนมีมิตรสหายมาก มีวาจาควรเชื่อถือ
ครั้นเสร็จกิจนั้นในเมืองราชคฤห์แล้ว กลับไปสู่พระนครสาวัตถี
ได้ชักชวนชาวบ้านระหว่างทางว่า
"ท่านทั้งหลาย จงช่วยกันสร้างอาราม จงช่วยกันสร้างวิหาร เริ่มบำเพ็ญทาน
เพราะเวลานี้พระพุทธเจ้าอุบัติในโลกแล้ว"
"อนึ่ง พระองค์อันข้าพเจ้าได้นิมนต์แล้ว จักเสด็จมาโดยทางนี้"
ครั้งนั้น ชาวบ้านเหล่านั้น ที่อนาถบิณฑิกคหบดีชักชวนไว้
ต่างพากันสร้างอาราม สร้างวิหาร เริ่มบำเพ็ญทานแล้ว
**********
~ ปูลาด กหาปณะ จำนวน ๑๘ โกฏิ ~
ครั้นอนาถบิณฑิกคหบดีไปถึงพระนครสาวัตถีแล้ว
เที่ยวตรวจดูพระนครสาวัตถีโดยรอบว่า
"พระผู้มีพระภาคควรจะประทับอยู่ที่ไหนดีหนอ ซึ่งเป็นสถานที่ไม่ไกลนัก ไม่ใกล้นัก
จากหมู่บ้าน มีคมนาคมสะดวก ชาวบ้านบรรดาที่มีความประสงค์ไปมาได้ง่าย
กลางวันมีคนน้อย กลางคืนเงียบ มีเสียงอึกทึกน้อยปราศจากกลิ่นไอของคน
เป็นสถานควรแก่การประกอบกรรมในที่ลับของมนุษย์ชน สมควรเป็นที่หลีกเร้น"
อนาถบิณฑิกคหบดีได้เห็น "พระอุทยานของเจ้าเชตราชกุมาร"
ครั้นแล้ว จึงเข้าเฝ้าเชตราชกุมาร กราบทูลว่า
"ขอใต้ฝ่าพระบาทจงทรงประทานพระอุทยานแก่เกล้ากระหม่อม
เพื่อจัดสร้างพระอาราม พระเจ้าข้า"
เจ้าเชตราชกุมารรับสั่งว่า "ท่านคหบดี อารามเราให้ไม่ได้
แต่ต้องซื้อด้วยลาดทรัพย์เป็นโกฏิ"
อนาถบิณฑิกคหบดี : "อาราม พระองค์ทรงตกลงขายหรือ พระเจ้าข้า"
เจ้าเชตราชกุมาร : "อาราม ฉันยังไม่ตกลงขาย ท่านคหบดี"
(เมื่อตกลงกันไม่ได้...)
เจ้าชายกับคหบดี ได้ถามมหาอำมาตย์ผู้พิพากษาความว่า
"เป็นอันตกลงขายหรือไม่ตกลงขาย"
มหาอำมาตย์ผู้พิพากษาตอบว่า
"เมื่อพระองค์ตีราคาแล้ว อารามเป็นอันตกลงขาย"
จึงอนาถบิณฑิกคหบดี สั่งให้คนเอาเกวียนบรรทุกเงินออกมาเรียงลาด
ริมจดกัน ณ อารามเชตวัน เงินที่ขนออกมาคราวเดียว
(ด้วยเงิน ๑๘ โกฏิ = ๑๘๐,๐๐๐,๐๐๐)
โดยการปูลาด กหาปณะ (เงิน) จำนวน ๑๘ โกฏิ
ลงบนพื้นที่ดิน...
เหลือเนื้อที่บริเวณหน่อยหนึ่ง ใกล้ซุ้มประตู...
**********
~ เจ้าเชตราชกุมารร่วมบุญ ~
เมื่อเห็นว่า ยังไม่พอ...
ท่านอนาถบิณฑิกคหบดี จึงสั่งคนทั้งหลายว่า
"พนาย พวกเธอจงไปขนเงินมา..."
ขณะนั้น เจ้าเชตราชกุมารทรงพระรำพึงว่า
"ที่อันน้อยนี้จักไม่มีเหลือ โดยที่คหบดีนี้บริจาคเงินมากเพียงนั้น
เจ้าเชตราชกุมารตรัสกะอนาถบิณฑิกคหบดีว่า
"พอแล้ว ท่านคหบดี ท่านอย่าได้ลาดโอกาสนี้เลย
ท่านจงให้โอกาสนี้แก่ฉัน ที่ว่างนี้ฉันจักยกให้"
ดังนั้น อนาถบิณฑิกคหบดีใคร่ครวญว่า
"เจ้าเชตราชกุมารนี้ ทรงเรืองพระนาม มีคนรู้จักมาก
อันความเลื่อมใสในพระธรรมวินัยนี้
ของคนที่มีคนรู้จักมากเห็นปานนี้ ยิ่งใหญ่นักแล"
จึงได้ถวายที่ว่างนั้นแก่เจ้าเชตราชกุมาร
เจ้าเชตราชกุมารรับสั่งให้สร้าง "ซุ้มประตู" ลงในที่ว่างนั้น
(วัดพระเชตวัน)
**********
ก็สมัยนั้น ชาวบ้านตั้งใจทำการก่อสร้าง
แลอุปัฏฐากภิกษุ ผู้อำนวยการก่อสร้าง
ด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และเภสัชบริขาร
อันเป็นปัจจัยของภิกษุอาพาธ โดยเคารพ ฯ
**********
~ บริจาคเงินอีก ๑๘ โกฏิ สร้างเสนาสนะ ~
ท่านอนาถบิณฑิกคหบดี
ได้ให้ทรัพย์แสนหนึ่งสร้างวิหาร (ระยะทางห่างกัน) โยชน์หนึ่ง
แล้วให้สร้างพระคันธกุฏีเพื่อพระทศพลตรงกลาง
แล้วให้สร้างวิหารอันน่ารื่นรมย์ใจ
รายล้อมพระคันธกุฏีนั้น ในภูมิภาคอันน่ารื่นรมย์
ด้วยการบริจาคเงิน ๑๘ โกฏิ... (๑๘๐,๐๐๐,๐๐๐)
คือ สร้างบริเวณสร้างซุ้มประตู ให้สร้างเสนาสนะ
สร้างศาลาหอฉัน สร้างโรงไฟ สร้างกัปปิยกุฎี
สร้างวัจจกุฎี สร้างที่จงกรม สร้างโรงจงกรม
สร้างบ่อน้ำ สร้างศาลาบ่อน้ำ สร้างเรือนไฟ
สร้างศาลาเรือนไฟ สร้างสระโบกขรณี สร้างมณฑป ฯ
สร้างกุฏิหลังเดียว กุฏิสองหลัง กุฏิทรงหงส์เวียน
ศาลาราย และปะรำเป็นต้น
ที่พักกลางคืน และที่พักกลางวัน
สร้างอาวาสสำหรับอยู่อาศัยเฉพาะผู้เดียว
ตามลำดับ ๆ เพื่อพระเถระผู้ใหญ่ ๘๐ องค์
แล้วส่งทูตไปเพื่อต้องการให้พระทศพลเสด็จมา.
**********
พระศาสดาได้ทรงสดับคำของทูตแล้ว
มีภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เป็นบริวาร.
เสด็จออกจากกรุงราชคฤห์ เสด็จถึงกรุงสาวัตถีโดยลำดับ.
ฝ่ายมหาเศรษฐีแลเตรียมการฉลองพระวิหาร
ในวันที่พระตถาคตเสด็จเข้าพระเชตวันวิหาร
ได้ตกแต่งประดับประดาบุตรด้วย อลังการเครื่องประดับทั้งปวง
แล้วส่งไปพร้อมกับกุมาร ๕๐๐ คนผู้ตกแต่งประดับประดาแล้ว.
บุตรเศรษฐีนั้นพร้อมทั้งบริวาร
ถือธง ๕๐๐ คันอันเรื่องรองด้วยผ้าห้าสี
ได้อยู่ข้างเบื้องพระพักตร์ของพระทศพล.
ข้างหลังของกุมารเหล่านั้น
มีธิดาเศรษฐี ๒ นาง คือ สุภัททา และจุลลสุภัททา
พร้อมกับกุมารี ๕๐๐ นาง ถือหม้อเต็มด้วยน้ำเดินออกไป.
ข้างหลังของกุมารีเหล่านั้น
ภรรยาของท่านเศรษฐีประดับ ด้วยอลังการทั้งปวง
พร้อมกับมาตุคาม ๕๐๐ นาง ถือถาดเต็ม (ด้วยอาหาร)
ออกไปเบื้องหลังของตนทั้งหมด
ท่านมหาเศรษฐีเองนุ่งผ้าใหม่
พร้อมกับเศรษฐี ๕๐๐ คนผู้นุ่งผ้าใหม่
มุ่งไปเฉพาะพระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำอุบาสกบริษัทนี้ไว้ข้างหน้า
เเวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่
ทรงกระทำระหว่างป่าให้เป็นดุจสีแดงเรื่อ ๆ อันราดรดด้วยรสน้ำทอง
ด้วยพระรัศมีแห่งพระสรีระของพระองค์
เสด็จเข้าสู่พระเชตวันวิหารด้วยพุทธลีลาอันต่อเนื่องกัน
และด้วยพุทธสิริอันหาที่เปรียบมิได้.
**********
~ อานิสงส์แห่งวิหารทาน ~
ลำดับนั้น
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จะปฏิบัติในพระวิหารนี้อย่างไร ?"
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "ดูก่อนคฤหบดี
ถ้าอย่างนั้นท่านจงถวายแก่ภิกษุสงฆ์ผู้ที่มาแล้ว ๆ ยังวิหารนี้เถิด"
(ถวายเป็นวิหารทาน)
ท่านมหาเศรษฐีรับพระพุทธฎีกาแล้วถือเต้าน้ำทอง
หลั่งน้ำลงบนพระหัตถ์ของพระทศพล
แล้วกล่าวถวายด้วยคำว่า "ข้าพระองค์ขอถวายพระเชตวันวิหาร
นี้แก่สงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานซึ่งมาแล้วทั้ง ๕ ทิศ."
พระศาสดาทรงรับวิหารแล้ว
เมื่อจะทรงกระทำอนุโมทนาได้ตรัสอานิสงส์ของการถวายวิหารว่า
"เสนาสนะย่อมป้องกันเย็นและร้อนและแต่นั้น
ย่อมป้องกันเนื้อร้าย งู ยุง น้ำค้างและฝน
แต่นั้นลมและแดดอันกล้าเกิดขึ้นแล้ว ย่อมบรรเทาไป"
"การถวายวิหารแก่สงฆ์ เพื่อเร้นอยู่ เพื่อความสุข
เพื่อเพ่งพิจารณา และเพื่อเห็นแจ้ง"
(เพื่อบรรลุธรรม)
"พระพุทธเจ้าทั้งหลายสรรเสริญว่าเป็นทานอันเลิศ."
"เพราะเหตุนั้นแลบุรุษบัณฑิตเมื่อเล็งเห็นประโยชน์ตน
พึงสร้างวิหารอันรื่นรมย์ ให้ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นพหูสูตอยู่เลิศ."
"อนึ่งพึงถวายข้าว น้ำ ผ้า และเสนาสนะ แก่ท่านเหล่านั้น
ด้วยน้ำใจอันเลื่อมใส ในท่านผู้ซื่อตรง
เขารู้ธรรมอันใดในโลกนี้แล้ว จะเป็นผู้ไม่มีอาสวะปรินิพพาน
ท่านย่อมแสดงธรรมนั้น อันเป็นเครื่องบรรเทาทุกข์ทั้งปวงแก่เขา."
**********
จำเดิมแต่วันที่สองไป
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีเริ่มการฉลองวิหาร.
(การฉลองวิหารของนางวิสาขา ๔ เดือนเสร็จ)
แต่การฉลองวิหาร (ทำบุญ) ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ๙ เดือนจึงเสร็จ.
หมดทรัพย์ไป ๑๘ โกฏิทีเดียว
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีบริจาคทรัพย์นับได้ ๕๔ โกฏิ (๕๔๐,๐๐๐,๐๐๐)
(ซื้ออุทยาน ๑๘ โกฏิ)
(สร้างวิหารทาน ๑๘ โกฏิ
(ฉลองวิหารทาน ๑๘ โกฏิ)
เฉพาะวิหารหลังเดียวเท่านั้น ด้วยประการฉะนี้.
**********
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
ได้เป็นผู้ให้ความอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธเจ้า
และพระสงฆ์อย่างดีมาก
เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พระพุทธเจ้าเสด็จ
ประทับจำพรรษาที่วัดพระเชตวัน
ที่ท่านสร้างมากกว่าที่ประทับใด ๆ ถึง 19 พรรษา
ท่านได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้าให้เป็น
"อุบาสกผู้เลิศในการเป็นผู้ถวายทาน"
(เอตทัคคะในฝ่ายผู้เป็นทายก)
**********
ก็ในอดีตกาล
ในสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าวิปัสสี
เศรษฐีนามว่าปุนัพพสุมิตต์
ซื้อที่โดยการปูลาดอิฐทองคำ
แล้วให้สร้างสังฆารามประมาณหนึ่งโยชน์ (๑๖ กิโลเมตร)
ลงในที่นั้นนั่นแหละ
ในสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าสิขี
เศรษฐีนามว่า สิริวัฑฒะ
ซื้อที่โดยการปูลาดข่ายทองคำ
แล้วให้สร้างสังฆารามประมาณ ๓ คาวุต (๑๒ กิโลเมตร)
ลงในที่นั้นนั่นแหละ.
ในสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าเวสสภู
เศรษฐีนามว่า โสตถิยะ
ซื้อที่โดยการปูลาดรอยเท้าช้างทองคำ
แล้วให้สร้างสังฆารามประมาณกึ่งโยชน์ (๘ กิโลเมตร)
ลงในที่นั้นนั่นแหละ
ในสมัยแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้ากกุสันธะ
เศรษฐีนามว่า อัจจุตะ
ซื้อที่โดยการปูลาดอิฐทองคำเหมือนกันแล้ว
ให้สร้างสังฆารามประมาณหนึ่งคาวุต (๔ กิโลเมตร)
ลงในที่นั้นนั่นแหละ.
ในสมัยแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าโกนาคมนะ
เศรษฐีนามว่า อุคคะ
ซื้อที่โดยการปูลาดเต่าทองคำ
แล้วให้สร้างสังฆารามประมาณกึ่งคาวุต (๒ กิโลเมตร)
ลงในที่นั้นนั่นแหละ
ในสมัยแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้ากัสสปะ
เศรษฐีนามว่า สุมังคละ
ซื้อที่โดยการปูลาดเต่าทอง
คำ แล้วให้สร้างสังฆารามประมาณ ๑๖ กรีส (๑ กิโลเมตร)
ลงในทีนั้นนั่นแหละ
แต่ในสมัยแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย
เศรษฐีนามว่า อนาถบิณฑิกะ
ซื้อที่โดยการปูลาดกหาปณะจำนวนโกฏิ
แล้วให้สร้างสังฆารามประมาณ ๘ กรีส (๕๐๐ เมตร)
ลงในพื้นที่นั้นนั่นแหละ.
ได้ยินว่า ที่นั้นเป็นสถานที่อันพระพุทธเจ้าทั้งปวง
มิได้ทรงละเลยแล้ว.
**********
ที่มา :
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๗ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗ จุลวรรค ภาค ๒
บันทึก
2
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
พุทธประวัติ
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย