10 ม.ค. 2023 เวลา 22:36 • ประวัติศาสตร์

👸🏼 เคล็ดลับความงามตามอย่างราชินี

ความงามในอดีตไม่ได้มาง่าย ๆ ดังเช่นในปัจจุบัน สตรีสูงศักดิ์จำนวนไม่น้อยในอดีตที่พยายามรักษาความงามซึ่งตามมาตรฐานคนในปัจจุบันนั้นออกจะดูแปลกประหลาดหรือพิสดารไปมาก
วันนี้จะมาเล่าเกร็ดเคล็ดลับความงามของบรรดาจักรพรรดินี ราชินี และเจ้าหญิง ที่เราอาจจะรู้จักคุ้นตากันดีในประวัติศาสตร์ แต่อาจจะไม่คุ้นหูว่าสตรีเหล่านี้มีเคล็ดลับความงามอย่างไร โดยจะนำมาเล่าพอหอมปากหอมคอสัก 6 พระองค์
1. เนเฟอร์ตีตี ราชินีอียิปต์ที่มีรูปปั้นอันงดงาม
ประเดิมด้วยเนเฟอร์ตีตี (Nefertiti) ราชินีอียิปต์ผู้ขึ้นชื่อลือชาในประวัติศาสตร์ยุคโบราณว่าแสนงดงามเสียนี่กระไร ยิ่งพระนามของพระนางนั้นยังมีความหมายว่า “สตรีแสนสวยผู้ได้มาถึง” และความงามของพระนางก็เป็นดังเยี่ยงที่พระนามบ่งบอก
หลักฐานที่บ่งชี้ว่าราชินีเนเฟอร์ตีตีนั้นงามเหลือเกินคือรูปปั้นตั้งแต่ส่วนคอขึ้นไปจนจรดศีรษะ ซึ่งเมื่อมีการค้นพบรูปปั้นนี้ในต้นศตวรรษที่ 20 ก็สร้างความเกรียวกราวไปทั่วโลก แม้เวลาจะผ่านไปร่วม 3,000 ปีแล้วความงามของพระนางยังขึ้นข่าวหน้าหนี่ง
1
แล้วเคล็ดลับอะไรที่ทำให้พระนางงดงามจนเป็นที่กล่าวขาน มีการอนุมานเอาจากหลุมฝังศพของสตรีในยุคเดียวกันกับพระนาง (เพราะหลุมพระศพของพระนางไม่ปรากฏว่าอยู่แห่งหนตำบาลใด)
1
ราชินีในช่วงเวลาร่วมสมัยกับเนเฟอร์ตีตีจะถูกฝังพร้อมกับการแต่งหน้า นอกจากนี้ ราชินีเนเฟอร์ตีตียังงดงามด้วยการใช้มีดโกนโกนขนทุกเส้นให้เกลี้ยงเกลาตั้งแต่พระเศียรหรือศีรษะจนจรดปลายเท้า ดังนั้นศีรษะของพระนางจึงไร้เส้นผมแล้วประดับศีรษะด้วยวิก (ซึ่งคงเป็นมาตรฐานความงามในเวลานั้น)
เท่านั้นยังไม่พอ ถ้าพินิจพิจารณาจากรูปปั้นจะพบว่าพระนางทรงแต่งหน้า ในยุคนั้นมีการเขียนตาด้วยอายแชโดว์แล้วนะ พระนางทาเปลือกตาสีดำที่ทำมาจากผงสีดำชนิดหนึ่ง แต่ผงสีดำ ณ เวลานั้นทำมาจากแร่ตะกั่วชนิดซัลไฟด์ ดังนั้น ทุกครั้งที่เนเฟอร์ตีตีแต่งหน้าพระนางจึงวางยาพระองค์เองให้ค่อย ๆ ตายอย่างช้า ๆ ด้วยสารพิษอย่างตะกั่ว (แต่เชื่อกันว่าพระนางไม่ได้สิ้นพระชนม์จากสารตะกั่ว)
2
และกระบวนการเสริมความงามไม่อาจเสร็จสมบูรณ์ได้หากพระนางไม่ได้ทาลิปสติก ซึ่งลิปสติกที่พระนางทาบนริมฝีปากนั้นก็เป็นสารพิษอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งเข้าสู่ร่างกายของพระนางมานานก่อนที่จะใช้ผงสีดำจากตะกั่วมาทาเปลือกตา และทรงปัดแก้มให้มีสีสันแดงชมพูสวยงามด้วยที่ทาแก้มที่ทำมาจากเต่าทองบด
1
การค้นพบรูปปั้นราชินีเนเฟอร์ตีตีในปี 1912 (National Geographic)
รูปปั้นราชินีเนเฟอร์ตีตีที่สร้างความเกรียวกราวไปทั่วโลกถึงความงามของราชินีอียิปต์ยุคโบราณ (National Geographic)
รูปปั้นราชินีเนเฟอร์ตีตีที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ (Wikipedia)
2. คลีโอพัตรา เสน่ห์ราชินีอียิปต์
เรื่องความงามของคลีโอพัตรา (Cleopatra) ค่อนข้างจะเป็นที่ถกเถียง ว่าพระนางไม่ได้งามจริงอย่างที่เล่าลือต่อกันมาหรือตามที่ภาพยนตร์นำเสนอที่เอาอีลิซาเบธ เทเลอร์ มาแสดง แต่ที่แน่ ๆ พระนางเป็นราชินีมหาเสน่ห์ที่ดึงดูดให้บุรุษหลงใหลจนหน้ามืดตามัว อย่างน้อยก็แม่ทัพโรมันผู้เกรียงไกรอย่างจูเลียส ซีซาร์ และมาร์ก แอนโทนี
เอาล่ะ ถึงไม่สวยแต่เรามาดูกันว่าอะไรที่ทำให้พระนางมีเสน่ห์ดึงดูดบุรุษ
ถ้าตัดเรื่องความสง่าและเสน่ห์ในตัว ว่ากันว่าอาจจะเป็นเพราะกลิ่นหอมเย้ายวนใจของพระนางที่มาจากมูลสัตว์และไส้แมลง
ส่วนเคล็ดที่ไม่ลับของความงามของสตรีในยุคพระนางกระทำกันเพื่อเสริมแต่งก็คือการแต่งหน้า คลีโอพัตราทาลิปสติกที่บดมาจากจากไส้แมลงเต่าทอง และทาแป้งที่ทำมาจากขี้จระเข้ใต้ตาพระนาง
ในฐานะราชินีพระนางย่อมไม่ได้จำกัดการใช้เครื่องประทินโฉมความงามจากวัสดุบ้าน ๆ อย่างเดียว พระนางยังบำรุงความงามด้วยสิ่งที่มีราคาแพงอย่างน้ำนมลาหมัก (ก็คือบูดแล้วนั่นเอง) ซึ่งกรดในน้ำนมลาบูดคงจะทำให้ผิวพระนางผุดผ่อง เหมือนเราเอามะขามมาถูตัวนั่นแหละ
แต่การอาบน้ำนมลานี้พระนางทำเป็นกิจวัตรทุกวัน สาวใช้ต้องรีดนมลาถึง 700 ตัวต่อวันถึงจะเพียงพอสำหรับการลงไปแช่ในอ่าง พอนมลาบูดได้ที่ พระนางก็จะลงไปสรงน้ำในอ่างนั้น
1
เชื่อกันว่าน้ำนมลาบูดจะช่วยลดเลือนริ้วรอย และน่าจะได้ผลจริง เพราะน้ำตาลแล็กโตสในนมที่บูดจะกลายเป็นกรดแล็กติก ซึ่งจะทำให้ชั้นผิวหนังบนเรือนร่างสตรีหลุดออก เผยผิวใหม่ชั้นล่างที่นุ่มนวลกว่าและเรียบเนียนไร้ริ้วรอยกระด่างกระดำ
เคล็ดลับข้างต้นสาว ๆ เอาไปลองได้ แต่อีกเคล็ดลับความงามของราชินีคลีโอพัตราที่ไม่ควรเอาไปลอง คือเผาลอกหนังพระนางออก จ๊ากกกก
1
เชิญทัศนาใบหน้าของคลีโอพัตราจากรูปด้านล่างแล้วตัดสินเอาเองว่าพระนางงดงามเยี่ยงอีลิซาเบธ เทเลอร์ ตามภาพยนตร์ไหม หรือจะเอาไปเทียบกับรูปปั้นราชินีเนเฟอร์ตีตีด้านบนก็ได้
รูปปั้นราชินีคลีโอพัตรายุคโรมัน (Wikipedia)
เหรียญเงินที่มีใบหน้าของราชินีคลีโอพัตรา (Wikipedia)
อีกหนึ่งเหรียญเงินที่แสดงใบหน้าของคลีโอพัตรา (Wikipedia)
ภาพวาดที่วาดหลังการสิ้นพระชนม์ของคลีโอพัตรา (Wikipedia)
อีบิซาเบธ เทเลอร์ ในบทคลีโอพัตรา (Huffpost)
3. พระราชินีอีลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษผู้ฉาบหน้าด้วยตะกั่ว
ขึ้นชื่อว่าผู้หญิงใคร ๆ ก็อยากสวย แม้ไม่สวยมากก็ต้องพยายามสวยขึ้น อย่างพระราชินีอีลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษก็แม้จะเป็นราชินีที่โด่งดังมากในประวัติศาสตร์ แต่พระนางมิได้โด่งดังในเรื่องความงามแต่อย่างใด
แม้ราชินีเนเฟอร์ตีตีแห่งอียิปต์จะใช้ผงที่มีตะกั่วเขียนตา แต่คงเทียบไม่ได้กับพระราชินีอีลิซาเบธที่ 1 ที่เอาแป้งที่มีสารตะกั่วมาฉาบทั้งหน้าทั้งตัว
ในยุคของพระนาง ผลิตภัณฑ์ประทินผิวที่เป็นที่นิยมกันมากเรียกกันว่า “Venetian ceruse-ผงตะกั่วขาวชาวเวนิส” ซึ่งทำมาง่าย ๆ ด้วยการเอาน้ำส้มสายชูมาผสมกับตะกั่วขาว ซึ่งสตรีนิยมนำเอามาทาทั่วทั้งร่างเพื่อให้ผิวขาวประหนึ่งราวกระเบื้องเคลือบสีขาว (สตรีในยุคนั้นมีค่านิยมความงามแบบผิวซีดเซียว ไม่ได้นิยมผิวแทนแบบทุกวันนี้)
คงไม่มีใครในช่วงเวลานั้นที่จะใช้ผลิตภัณฑ์ชิ้นนี้มากไปกว่าพระราชินีอีลิซาเบธที่ 1 เหตุที่พระนางใช้มันมากขนาดนั้นเพราะพระนางนำมาใช้ปกปิดรอยแผลเป็นทั่วพระวรกายจากโรคฝีดาษที่พระนางเคยประชวรเมื่อ 29 ชันษา และเพื่อรักษาภาพลักษณ์ในการเป็นราชินีที่บริสุทธิ์ผุดผ่องโดยให้ผิวขาวบริสุทธิ์จนซีด
1
แต่นอนว่าพระนางนั้นอับอายมากที่จะเผยแผลเป็นเหล่านี้ต่อหน้าธารกำนัลไปจนเหล่าขุนนาง ดังนั้นพระนางจึงปกปิดริ้วรอยนี้ทุกอณูรูขุมขนด้วยสีขาวที่มีสารพิษตัวนี้ ซึ่งยุคนั้นถือว่าเป็นตัวที่ทำให้ผิวขาว
ใช้มากไม่มากก็จนไม่มีใครจำพระนางได้ถ้าพระนางไม่ได้ฉาบพระองค์ด้วยแป้งตัวนี้ ครั้งหนึ่ง ขุนนางคนโปรดของพระองค์คือโรเบิร์ต เดเวอรู เอิร์ลแห่งเอสเส็กส์ (Robert Devereux, 2nd Earl of Essex) บุ่มบ่ามเข้ามาหาพระองค์ในห้องบรรทมก่อนที่พระองค์จะแต่งองค์ทรงเครื่อง เขาจึงได้เห็นองค์ราชินีโดยที่ไม่ได้แต่งหน้า ซึ่งเวลานั้นพระองค์ทรงอยู่ในวัยร่วงโรยพระชันษาปาเข้าไปหกสิบกว่าแล้ว
3
แต่แทนที่จะปิดปากเงียบไว้ กลับเอาไปโพทะนาทั่วราชสำนักอย่างคะนองปากว่าพระนางซ่อน “ซากศพที่หงิกงอ” ไว้ภายใต้ชั้นแป้งผงตะกั่วขาวหนาเป็นคืบ พระนางทรงกริ้วมาก ดังนั้นขุนนางคนโปรดปากพาจนผู้นี้จึงจบชีวิตด้วยโทษประหารข้อหากบฏด้วยวัยเพียง 35 ปี
นอกจากนี้ ค่านิยมความงามตอนนั้นที่ยังสืบทอดมาจากยุคกลางคือหน้าผากต้องกว้างถึงจะงาม ดังนั้นผมมงผมม้าไม่ได้กินสตรีบรรดาศักดิ์ในยุคนั้น มิหนำซ้ำจะต้องโกนหรือถอนไรผมริมหน้าผากให้สูงหรือดูเถิกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำไดั พระราชินีอีลิซาเบธที่ 1 ก็ไม่มีข้อยกเว้น พระนางก็ตามเทรนด์ความงามนี้เช่นกัน
พระฉายาลักษณ์ของพระราชินีอีลิซาเบธที่ 1 (Wikipedia)
พระฉายาลักษณ์ของพระราชินีอีลิซาเบธที่ 1 (Britannica)
พระฉายาลักษณ์ของพระราชินีอีลิซาเบธที่ 1 (Wikipedia)
พระราชินีอีลิซาเบธที่ 1 ที่สะท้อนในภาพยนตร์ (Pinterest)
4. แมรี่ สจ็วร์ต ราชินีแห่งสก็อตแลนด์ผู้เลอโฉม
แมรี ราชินีแห่งสก็อต (Mary, Queen of Scots) แม้จะไม่โฉมงามจนหาที่ติไม่ได้ แต่ในยุคนั้นก็จัดว่าพระนางเป็นคนงามแห่งยุค สูงระหงสะโอดสะอง และกล่าวกันว่าความงามและความเยาว์วัยกว่านี้เป็นที่ริษยาของพระญาติอย่างพระราชินีอีลิซาเบธที่ 1
ข้อด้อยของพระองค์ที่มีคือพระนาสิกหรือจมูกโตไปสักหน่อยและคางแหลมไปนิด แต่ในภาพรวมคือทรงจัดว่างดงามไม่น้อย แถมพระองค์ก็ทรงมุ่งมั่นที่จะเป็นราชินีที่เลอโฉมด้วย
เพื่อให้ผิวของพระองค์โดดเด่นจนน่าตะลึงให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ พระนางจะสรงน้ำในอ่างโดยใช้ไวน์ขาว นางกำนัลจะต้องมาเติมไวน์ใส่ในอ่างให้แก่พระนาง แมรีจะเดินลุยน้ำไวน์ขาวโดยเชื่อว่าจะทำให้ผิวของพระองค์เปล่งปลั่งมากขึ้น ซึ่งสาว ๆ ในสมัยนี้หลายคนก็ใช้เทคนิคนี้อยู่เช่นกันเพื่อรักษาผิวพรรณที่เรียกว่า “vinotherapy-การบำรุงด้วยไวน์”
พระนางยังใช้ไวน์ขาวนี้ล้างพระพักตร์ด้วยเช่นกัน
กล่าวขวัญกันว่าราชินีแมรีมีผิวพรรณสวยงามละเอียดละออมากจนน่าเหลือเชื่อ (ในขณะที่ราชินีอังกฤษผิวพังจากฝีดาษ) แม้ในขณะที่ตกอยู่ในสภาพนักโทษของพระญาติพระราชินีอีลิซาเบธที่ 1 พระนางก็ยังมิได้หยุดรักษาความงาม ในช่วงที่ถูกจองจำในความดูแลของเอิร์ลแห่งชรูบิวรี (Earl of Shrewsbury) ท่านเอิร์ลผู้นี้บ่นมิได้ขาดถึงการต้องมารับผิดชอบค่าใช้จ่ายอันสูงลิ่วในกิจวัตรรักษาความงามของราชินีแห่งสก็อตผู้นี้
1
ภาพวาดแมรี ราชินีแห่งสก็อต (History.com)
ภาพวาดแมรี ราชินีแห่งสก็อต (Art UK)
5. มารี อังตัวเน็ต ราชินีแฟชั่นล้ำสมัย
เจ้าหญิงน้อยผู้ไร้เดียงสาจากออสเตรียผู้กลายมาเป็นราชินีแห่งฝรั่งเศสย่อมต้องงดงามหรูหราให้สมกับเป็นราชสำนักที่ขึ้นชื่อว่าฟู่ฟ่าที่สุดในยุโรป มารี อังตัวเน็ต (Marie Antoinette) ผู้มีความงามอยู่แล้ว จะต้องงามล้ำยิ่งขึ้นไปอีกโดยการแปลงโฉมเปลี่ยนพฤติกรรมโดยราชสำนักฝรั่งเศส
เวลาเข้าบรรทม พระนางจะพอกหน้าด้วยส่วนผสมจากไข่ บรั่นดีคอนยัค ผงนม และมะนาว เพื่อผลัดผิวหน้า ซึ่งดูส่วนผสมแล้วน่าเอามาเป็นขนมมากกว่าที่พอกหน้า
1
พอเมื่อตื่นมาในยามเช้า สิ่งแรกที่พระองค์ทำคือล้างหน้าด้วยครีมล้างหน้าที่ทำมาจากนกพิราบตุ๋น
หลังจากนั้นก็จะทรงแต่งพระวรกาย ซึ่งวันหนึ่ง ๆ จะอวค์จะต้องเปลี่ยนชุด 3 ครั้งต่อวัน และในฐานะราชินีแห่งฝรั่งเศสพระองค์จะถูกคาดหวังว่าจะไม่สวมชุดซ้ำ ดังนั้นพระองค์ทรงใช้จ่ายค่าชุดต่อปีคิดเป็นเงินปัจจุบันราว 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
เท่านั้นยังไม่พอ พระองค์ต้องตามแฟชั่นฝรั่งเศสให้ทัน ด้วยการหมกมุ่นไปกับการใช้ดินสอสีน้ำเงินขีดรอยไปตามเส้นเลือด และประดับใบหน้าด้วยการเขียนลวดลายลงไป มารี อังตัวเน็ตโปรดปรานการเขียนไว้ที่ริมมุมปากเพื่อสื่อว่าพระองค์นั้นต้องการการจูบ
ในยุคนั้น คนไม่นิยมอาบน้ำ แต่มารี อังตัวเน็ตมีสุขอนามัยที่ดีในเรื่องนี้มาก ทรงสรงน้ำบ่อยครั้งเท่าที่จะทำได้ น้ำในอ่างอาบน้ำนั้นจะผสมด้วยสิ่งบำรุงผิวอย่างเมล็ดสน ลินสีด อัลมอนด์หวาน พร้อมทั้งขัดผิวด้วยเปลือกเมล็ดข้าวที่ใส่ในแผ่นผ้ามัสลิน
ส่วนความงามของเส้นผมนั้นพระนางนิยมบำรุงด้วยสารที่ทำมาจากธรรมชาติที่ผสมเอง สีผมที่แท้จริงของพระนางเป็นสีบลอนด์สตรอเบอร์รี แต่ด้วยความที่แฟชั่นในตอนนั้นนิยมใส่วิก ยิ่งสูงใหญ่ยิ่งดูหรูหราอลังการคนจึงมักจะเห็นภาพวาดของพระนางสวมวิกสีเทาอันใหญ่โตประดับประดาไปด้วยสิ่งต่าง ๆ มากมาย
เพื่อให้สีผมของพระองค์ดูมีสีออกโทนทองแดงให้ดูสว่างไสวมากขึ้น พระองค์จะใช้ส่วนผสมจากพืชที่มีสีน้ำตาลแดงอมเหลือง (สีขิง-จิงเจอร์) เช่น ขมิ้น ไม้จันทน์ โกฐน้ำเต้า ที่อยู่ในรูปแป้งเปียกทาลงไปในม้วนผมลอนของพระองค์
และด้วยความที่พระราชวังแวร์ซายส์เต็มไปด้วยกลิ่นอันโสมมจากของเสียที่ผู้คนจำนวนมากเพราะห้องน้ำแทบจะไม่มี น้ำหอมจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับมารี อังตัวเน็ต ในห้องบรรทมจะต้องมีดอกไม้สดต่าง ๆ เช่น บุหงา ส่วนน้ำหอมที่พระองค์ประโคมโหมใส่ร่างกายนั้นทำมาจากดอกไม้หลายชนิด เช่น กุหลาบ มะลิ ดอกส้ม เป็นต้น
นอกจากใส่น้ำหอมแล้ว ยังทาน้ำมันสกัดจากลาเวนเดอร์ทั่วทั้งตัวด้วย กล่าวกันว่า มารี อังตัวเน็ตขึ้นชื่อในเรื่องหมกมุ่นกับน้ำหอมมาก พระนางจะให้ช่างทำน้ำหอมกลิ่นเฉพาะสำหรับพระนาง ซึ่งมีส่วนผสมรวมกันจากกุหลาบ มะลิ และมะกรูด ซึ่งพระนางจะติดตัวไว้เสมอ
จริงเท็จอย่างไรไม่ทราบ แต่มีเรื่องเล่าว่าแม้ขณะที่ถูกจองจำในหอคอยแห่งปารีสพระองค์ยังนำน้ำหอมติดตัวไปด้วย ก็ผู้หญิงเนอะ จะอย่างไรก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีที่สุด ยิ่งเป็นสตรีที่ถูกจับตามองมากที่สุดในแผ่นดินด้วย
ภาพวาดของมารี อังตัวเน็ต ราชินีฝรั่งเศส (Encyclopedia Britannica)
ภาพวาดของมารี อังตัวเน็ต ในปี 1775 (Wikipedia)
6. จักรพรรดินีซีซี โฉมงามผู้อาภัพ
ในบรรดาสตรีสูงศักดิ์ทั้งหมดทั้งมวล โดยส่วนตัวแล้วยกให้จักรพรรดินีอีลิซาเบธแห่งออสเตรีย (Empress Elisabeth of Austria และราชินีแห่งฮังการี) หรือซีซี (Sisi) เป็นสตรีที่งดงามและพริ้มเพราที่สุดแล้ว และพระองค์ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลกแห่งศตวรรษที่ 19 ด้วย หลักฐานที่พิสูจน์ได้โดยไม่จกตาคือภาพถ่ายของพระองค์นั่นเอง
ความงามของพระองค์เลื่องลือไปทั่วยุโรป โดยเฉพาะผิวพรรณอันไร้มลทินพร้อมกับผมอันหนาหนักสีน้ำตาลแก่เหมือนลูกเชสนัทที่ยาวจนจรดพระบาท และพระองค์ก็ทรงขึ้นชื่อในเรื่องความกลัวแก่เอามาก ๆ
แต่กระนั้นการรักษาความงามนี้ไว้ไม่ใช่เรื่องง่าย จัดว่าเป็นงานหนักสำหรับข้าราชบริพารส่วนพระองค์
เพื่อให้ผิวพรรณของพระองค์คงความงดงาม อ่อนเยาว์ และเปล่งปลั่งผ่องใส พระองค์จะขยี้สตรอเบอร์รีแล้วถูทั้งพระกรหรือมือ พระพักตร์หรือหน้า และพระศอหรือคอ
ทรงมีครีมเอาไว้ทาพระพักตร์ที่พระองค์เตรียมขึ้นเอง โดยจะฉาบครีมนี้ทุกวันมิได้ขาด ซึ่งประกอบไปด้วยขี้ผึ้งขาวที่ทำมาจากไขปลาวาฬ น้ำมันอัลมอนด์ และน้ำกุหลาบ ส่วนผสมที่ปรุงขึ้นโดยที่ทรงมั่นพระทัยว่าจะรักษาความงามตามธรรมชาติของพระองค์ไว้ได้ไปตลอด
เวลาสรงน้ำหรืออาบน้ำต้องอาบด้วยน้ำที่กลั่นแล้วกับน้ำมันมะกอกอุ่น ๆ สระผมด้วยไข่ผสมบรั่นดีคอนยัค และจะบรรทมโดยใช้เนื้อลูกวัวดิบ ๆ พอกหน้าและสตรอเบอร์รี่บดด้วยในระหว่างบรรทมหลับ
การบำรุงแต่ภายนอกเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ พระองค์ต้องบำรุงจากภายในด้วย อาหารจานโปรดของพระองค์คืออาหารที่สกัดมาจากไก่บด นกกระทา เนื้อกวาง และเนื้อวัว เพราะต้องการรักษาหุ่นให้ผอมเพรียว และอย่างอื่นที่เสวยมีเพียงส้ม ไข่ และนมเท่านั้น
เพื่อให้พระองค์ดูสะโอดสะอง ด้วยความสูง 173 เซนติเมตร ทรงอดอาหาร ทั้งยังสวมรัดทรงหรือคอร์เซ็ตอย่างแน่นเพื่อให้เอวของพระองค์มีขนาดเพียง 16 นิ้วเท่านั้น อุแม่เจ้า! และทรงออกกำลังกายอย่างหนักหน่วงเพื่อให้ผอม เช่นขี่ม้าและเล่นยิมนาสติก (ซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติในเวลานั้น) แม้จะท้อง 4 ครั้ง แต่ซีซีรักษาน้ำหนักไว้ที่ประมาณ 49-50 กิโลกรัมตลอด ซึ่งแม้จะงดงามแต่ดูผอมเกินไปสำหรับคนในราชสำนัก
1
ในแต่ละวันซีซีจะใช้เวลา 3 ชั่วโมงเฉพาะกับการแปรงผมทำผม แต่การที่ผมหนาใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี พอทำผมแล้วซีซีมักจะประสบปัญหาปวดพระเศียรอย่างรุนแรงเพราะผมอันหนาหนักพร้อมเครื่องประดับผมอย่างปิ่นปักผม
เป็นคนสวยนี่ลำบากจริง ๆ และการหมกมุ่นอยู่แต่ความสวยความงามแทนที่จะสนใจผลิตทายาทนี้ทำให้แม่สามีไม่พอใจในตัวลูกสะใภ้คนนี้มาก แม้จะทรงตั้งพระครรภ์ 4 ครั้ง และผลิตรัชทายาทให้ราชวงศ์ฮับส์บัวร์ก แต่ความเข้มงวดในราชสำนักทำให้ซีซีมีปัญหาสุขภาพจิต ทรงมีปัญหาเรื่องการกิน เป็นซึมเศร้าอย่างรุนแรง และสูบบุหรี่จัด (ซึ่งย้อนแย้งกับความพยายามรักษาความเยาว์วัยไว้)
ซีซีจึงใช้วิธีเดินทางท่องเที่ยวหลีกหนีออกจากพระราชสำนัก ทิ้งพระโอรสไว้กับราชสำนักออสเตรีย (ผู้ซึ่งเติบใหญ่มาได้ปลิดชีพตัวเอง) และยอมให้จักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟที่ 1 (Emperor Franz Joseph I) พระสวามีมีเมียน้อยได้ สุดท้ายซีซีก็ถูกลอบปลงพระชนม์โดยชายที่มาดักแทงพระองค์
1
ภาพถ่ายในวาระเป็นราชินีแห่งฮังการี (Wikipedia)
ภาพวาดอันงดงามของซีซี (National Geographic)
ภาพถ่ายกับสุนัขคู่พระทัย (Wikipedia)
ภาพถ่ายในวันราชาภิเษก (Wikipedia)
อ้างอิง:

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา