6 ม.ค. 2023 เวลา 11:00 • ท่องเที่ยว
ตอนที่ 21: เริ่มต้นปีด้วยการมู - ทัวร์ไหว้พระในเกาะรัตนโกสินทร์ (แบบตามใจฉัน)!
เรามาต้อนรับปีใหม่ด้วยคอนเทนต์น่ารัก ๆ เก็บเอาไว้เป็นความสุขเล็ก ๆ กับตัวเองก่อนเลยดีกว่าค่ะ!
สำหรับคอนเทนต์ต่อไปนี้ จะเป็นการบันทึกเรื่องราวของกิจกรรมแรกที่ดิฉันที่ได้ทำในปี 2023 นี้….
ซึ่งดิฉันก็เชื่อว่ากิจกรรมนี้ก็อาจเป็นสิ่งที่ใครหลาย ๆ คนก็ทำเหมือนกันแหละ อารมณ์เหมือนเป็น‘ธรรมเนียม’ สำหรับการเริ่มต้นปีที่ดี นั่นก็คือการ ‘ทัวร์ตระเวณไหว้พระ’ เพื่อเสริมสร้างสิริมงคลและความมั่นคงทางใจแก่ตนเองนั่นเอง
และการตระเวณไหว้พระนี้ก็ไม่ใช่วัดที่ไหนไกล เป็นวัดในโซน ‘เกาะรัตนโกสินทร์’ ในกรุงเทพฯ ใกล้ ๆ นี่เอง โดยเหตุผลที่เลือกเป็นวันโซนนี้ก็เพราะว่าวัดในโซนแถวนี้มีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม บวกกับเดินง่ายเพราะอยู่ติด ๆ กัน กับเสียงลือเสียงเล่าอ้างของวัดแถว ๆ นี้ก็ค่อนข้างมีความศักดิ์สิทธิ์อยู่พอสมควร สืบเนื่องจากประวัติศาสตร์ของวัดที่มีความเก่าแก่มาแสนนาน
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ขอเริ่มบันทึการเดินทางเลยแล้วกัน!
ณ เวลา 10 นาฬิกา ดิฉันพร้อมกับลูกทัวร์ 2 ชีวิต (ไม่ใช่ใครอื่นไกล ก็เจ้าคุณพ่อและเจ้าคุณแม่ของดิฉันนี่แหละ! 55555) ได้เดินทางออกจากบ้านเพื่อเดินทางไปที่สถานีรถไฟฟ้า MRT สนามไชย สถานที่ตั้งต้นของการไหว้พระในทริปนี้
พวกเราเดินทางจากสถานีรถไฟฟ้า BTS พระโขนง ไปเปลี่ยนสายลงรถไฟฟ้า MRT ที่สถานีอโศก เพื่อนั่งรถต่อไปที่สถานีสนามไชยตามที่แพลนกเอาไว้ ซึ่งก็ใช้ระยะเวลาสักพักหนึ่งกว่าจะถึงเลยแหละ (นั่งรถจาก BTS พระโขนงถึง BTS อโศก 5 สถานี + เปลี่ยนไปขึ้น MRT ที่สถานีสุขุมวิทถึงสถานีมหาไชย 10 สถานี) กว่าจะถึงสถานีมหาไชยก็เกือบใกล้เที่ยง แสงแดดเริ่มจ้าแยงตาอยู่พอสมควร แต่อากาศไม่ได้ร้อนอบอ้าวมากเนื่องจากอยู่ในช่วงหน้าหนาว (ซึ่งเป็นอาการที่ดิฉันชอบมาก เพราะเป็นอากาศที่ดูแพงเหมือนเวลาอยู่ต่างประเทศ 5555)
ไหว้พระทัวร์จุดที่ 1: วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาคราม (วัดโพธิ์)
หลังจากที่เดินออกมาจากสถานีมหาไชยหน้ามิวเซียมสยามมาสักพัก เจ้าคุณพ่อของเราก็อยากเข้าห้องน้ำค่ะ 55555 เราเลยตัดสินใจแวะเข้าไปในวัดโพธิ์เพื่อเข้าห้องน้ำ (เพราะมิวเซียมสยามปิด - ปกติแล้วมันจะมีห้องน้ำข้าง ๆ พิพิธภัณฑ์ที่สามารถเข้าฟรีได้แหละ) ซึ่งจากเหตุการณ์นั้นพวกเราก็เลยตัดสินใจไหว้พระที่นี่เป็นที่แรกเลยละกัน (เพราะไหน ๆ ก็เข้ามาแล้วหนิเนอะ)
เนื่องจากวันที่เรามายังอยู่ในช่วงปีใหม่ บวกกับวัดนี้เป็นวัดที่ขึ้นชื่อในด้านการท่องเที่ยวอยู่แล้ว คนก็เลยเยอะอยู่พอประมาณเลยแหละค่ะ ทั้งคนจีน ญี่ปุ่น ยุโรป และคนอีกหลากหลายเชื้อชาติต่างเข้ามาชื่นชมสถาปัตยกรรมและความสวยงามของวัดนี้กันหมด มันก็เลยค่อนข้างครึกครื้นอยู่พอสมควร ซึ่งก็ยอมรับว่าดิฉันก็ไม่ค่อยชอบบรรยากาศคนเยอะแบบนี้สักเท่าไหร่เพราะมันค่อนข้างอึดอัด
แต่พอเราได้สำรวจมองไปรอบ ๆ วัด มองไปเห็นสถาปัตยกรรม รูปปั้น หรือได้เห็นความเอนจอยของนักท่องเที่ยวที่ตื่นตาตื่นใจกับควมสวยงามของวัด มันก็สร้างความเพลิดเพลินทางสายตาแก่เราอยู่ไม่ใช่น้อย
พวกเราได้เข้าไปไหว้พระในพระอุโบสถ รวมถึงได้เข้าไปไหว้ ‘พระนอนยักษ์’ หรือ ‘พระพุทธไสยาส - พระนอนวัดโพธิ์’ หนึ่งใน signature ของวัดที่ทุกคนแห่เข้ามาเยี่ยมชมถึงความมหัศรรย์และความอลังการงานสร้างของพระพุทธรูป
พวกเราได้ต่อแถวเข้าคิวเพื่อรับชมพระพุทธรูปที่ยาวมาจากหน้าประตูทางเข้าศาลาด้านนอก เดินผ่านลานหน้าศาลาเพื่อเข้าไปรับน้ำมนต์และสายคล้องข้อมือศักดิ์สิทธิ์ที่ทางวัดมอบให้เป็นสิริมงคลเทศกาลปีใหม่ ถึงจะมาถึงทางเข้าศาลาด้านข้าง และได้ถอดรองเท้าใส่ถุงผ้าสีเขียวที่ทางวัดแจกไว้ให้เดินหิ้วเข้าไปรับชมพระพุทธรูปอย่างใกล้ชิด (เดี๋ยวรองเท้าหายแหละเลยอยากให้นักท่องเที่ยวดูแลสินทรัพย์ของตัวเอง ซึ่งดิฉันว่าเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่เยี่ยมเลย)
สร้อยข้อมือที่ทางวัดมอบให้ - พระท่านอวยพรว่า 'แฮปปี้ นิวเยียร์' ด้วยนะ 555
ภายในศาลาก็มีความสวยงามตามท้องเรื่องค่ะ ตั้งแต่ลายผนัง เสา หรือเพดานด้านบน (ส่วนตัวชอบลายของเสามาก มันเป็นลายดอกไม้สไตล์ไทย ๆ จีน ๆ หน่อย ไม่รู้ว่าเรียกว่าดอกอะไร แต่รู้สึกมันสวยแบบเรียบง่ายดี) ส่วนพระพุทธรูปไสยาสก็ยิ่งใหญ่จริง ๆ พวกเราตื่นตาตื่นใจมากจนสุดท้ายลืมไหว้พระพุทธรูปกันเลยทีเดียว (เพราะมัวแต่ถ่ายรูปอยู่ 55555)
ไหว้พระทัวร์จุดที่ 2: ศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร
ขอบคุณภาพจาก https://bangkokcitypillarshrine.com/
จะเรียกว่าเป็นการไหว้พระก็ไม่เชิงนะคะ 5555 เพราะสถานที่ที่ 2 ที่เราหยุดไหว้ศักการะก็คือ ‘ศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร’ นั่นเอง ซึ่งก็ห่างจากวัดโพธิ์มาด้วยระยะเกือบ 1 กิโลเมตรด้วยกัน (แต่เดินชิวมากนะ ไม่รู้สึกเหนื่อยเลย อาจจะเป็นเพราะอากาศที่ไม่ได้ร้อนอบอ้าวมาก บวกกับมีร่มไม้เดินตลอดระหว่าง และวิวข้างทางที่สวยงามจากความเป็นระเบียบของพื้นที่สีเขียวและถนนรอบพระราชวัง กับยอดเจดีย์และยอดศาลาข้างในพระราชวังที่เห็นเล็ดลอดออกมาจากกำแพงวังสีขาวขนาดใหญ่ ดิฉันว่ามันเป็นภาพที่สวยดี)
ศาลหลักเมืองก็คนเยอะใช่ย่อยเหมือนกันค่ะ 5555 เพราะที่นี่มีความศักดิ์สิทธิ์มาก ดิฉันเข้าใจว่าส่วนใหญ่คนเขาจะมาไหว้เสริมดวงด้านการงานกันเยอะ จะทำให้การงานรุ่งเรืองและราบรื่น การไหว้ศาลหลักเมืองก็เลยเป็นหนึ่งในจุดมุ่งหมายของดิฉันในทริปนี้หลัก ๆ เลยค่ะ เพราะอยากเสริมดวงเรื่องการงานของตัวเองสักหน่อย หลังจากที่จิตใจเปราะบางกับเรื่องงานมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว 55555
(มาดูกันว่าหลังจากไหว้ไปแล้วเรื่องการงานจะปังมั้ยนะ 55555)
พักยก! แวะริวิวร้านอาหารและร้านขนมกันสักเล็กน้อย!
หลังจากไหว้ศาลหลักเมืองเสร็จก็จวนใกล้เที่ยงพอดีค่ะ ดิฉันก็เลยตัดสินใจโบกตุ๊กตุ๊กพาครอบครัวไปกินข้าวที่ร้านแถว ๆ เสาชิงช้า เพราะแถวนั้นมีร้านอาหารอร่อยเยอะ (จำได้ว่าเพื่อนเคยพาไป มีร้านขนมจีนไหหลำชื่อดังอยู่แถวนั้น อร่อยมาก!)
แต่เนื่องด้วยความเทศกาลปีใหม่ไทยล่ะค่ะ ร้านก็เลยเปิดน้อยหน่อย แต่พวกร้านดัง ๆ ก็เปิดอยู่ไม่ใช่น้อยเหมือนกัน แต่คนเยอะมากทุกร้านเลยค่ะ! ไม่ว่าจะเป็นร้านขนมจีนที่เคยไปรับประทาน ร้านข้าวหมูแดงหมูกรอบเจ้าดังอย่างร้าน ศิริพรโภชนา หรือแม้กระทั่งร้านขนมไทยอย่างเซ็งซิมอี๊คนยังแน่นร้านเลย 55555
แต่สุดท้ายเราก็มาจบกันที่ร้านอาหาร ‘นันฟ้า’เป็นร้านขายข้าวหมูแดง หมูกรอบ ข้าวหน้าเป็ดย่างต่าง ๆ ซึ่งดิฉันได้ยินมาว่าเป็นร้านอาหารที่เปิดมานานเกือบ 70 ปีแล้ว (ข้อมูลจากถ้าโลกนี้ไม่มี GPS ตอนของพี่โป๊บและไอซ์ พาริส 55555) ก็ค่อนข้างเป็นร้านที่เก่าแก่อยู่พอสมควร
สิ่งที่อยากจะบอกต่อก็คือ หมูกรอบของเขาอร่อยมากเลยค่ะทุกคน 55555 เป็นหมูกรอบนุ่ม ๆ ดูจากหน้าตาของน้องแล้วก็คือมีมันแทรกอยู่ในเนื้อหมูกรอบประมาณ 80% (มันล้วน ๆ แทบไม่ติดเนื้อเท่าไหร่) พอกินเข้าแล้วมันหมูละลายในปากเลย แทบไม่ต้องเคี้ยว แล้วหนังบางกรอบมั๊ก เคี้ยวเพลินสุด ๆ แบบไม่ทรมานฟัน แล้วทางร้านเสิร์ฟข้าวหมูกรอบมาแบบไม่มีผักเคียงด้วย! ถูกใจสายอาหารเด็กอ้วนอย่างดิฉันอย่างถึงที่สุด ถึงแม้ว่าทางร้านเขาจะดังเรื่องเป็ดย่างก็ตาม
(ต้องขออภัยที่ไม่มีภาพประกอบนะคะ เพราะมันอร่อยมากจริง ๆ จนลืมถ่ายรูปเก็บไว้เพราะหมดจานแล้ว 55555)
หลังจากนั้นเราก็เดินทางไปรับประทานของหวานกันต่อกับร้านชื่อดังอย่าง ‘บ้านขนมปังขิง’ นั่นเอง จริง ๆ ร้านนี้จะดังเรื่องเซตขนมไทยที่เสริฟมาแบบ ‘afternoon tea’ แต่เนื่องจากตอนที่เราไปขนมไทยหมดพอดี ก็เลยได้รับประทานน้ำหวานกับเค้กของทางร้านแทน
ซึ่งต้องบอกเลยว่าบรรยากาศน่ารักมั๊ก ๆ ตัวร้านเป็นบ้านไม้โบราณ 2 ชั้นเล็ก ๆ ข้างในมีรูปภาพที่ถ่ายด้วยกล้องฟิล์มเก่า ๆ เฟอร์นิเจอร์เก่า ๆ อยู่รอบ ๆ ห้อง ถึงแม้ว่าจะดูแออัดกันเล็กน้อยเพราะว่าพื้นที่ร้านมีจำกัด แต่เขาก็จัดโซนการรับประทานขนมได้น่ารักมาก ๆ
ส่วนตัวขนมเค้กก็รสชาติอร่อยเหมือนกัน (ส่วนตัวคิดว่าไม่น่าแพ้ขนมไทย แม้ว่าจะไม่ได้ลองชิมขนมไทยก็ตาม 5555) ดิฉันได้สั่ง white chocolate cheese cake ของทางร้านมาลองทาน รสชาติชีสเค้กมีความเข้มข้นพอควรเลย มีความ buttery ของ crust ด้านล่างชัดมาก ๆ กินคู่กัรกับไวท์ช็อคโกแลตหวานอ่อน ๆ ก็คือนัวลงตัวพอดีมาก ๆ ไม่ค่อยรู้สึกเลี่ยนเท่าไหร่ (แต่อาจจะเป็นเพราะดิฉันชอบทานรสจัดอยู่แล้วด้วย 55555)
ส่วนตัวน้ำหวานดิฉันสั่งชาไทยหวานน้อยไป รสชาติก็หวานน้อยจริง ๆ มีความเข้มข้นของตัวชา ทานกับขนมเค้กรสชาติเข้มข้นก็คือเข้ากันสุด ๆ
สรุปก็คือขนมอร่อยสมคำร่ำลือ และร้านก็น่ารักมาก ๆ เยี่ยมยอดไปเลย!
ไหว้พระทัวร์จุดที่ 3: เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ เสาชิงช้า
หลังจากเติมพลังกันเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็เดินทางไปที่เทวสถานโบสถ์พราหมณ์กันต่อ ซึ่งก็อยู่ใกล้ร้านขนมปังขิงมาก ๆ เลย
ดิฉันได้เข้าไปไหว้พระพิฆเนศ พระนารายณ์ และพระพรหมตามลำดับที่เพี่เจ้าหน้าที่ได้บอกไว้ ส่วนตัวแล้วดิฉันเพิ่งเข้ามาสู่วงการบูชาพระพิฆเนศได้ไม่นานจากการเชื้อเชิญของลูกพี่ลูกน้อง (ตอนนี้มีรูปพระพิฆเนศแปะไว้หลังโทรศัพท์มือถือแล้ว 5555) ซึ่งส่วนตัวพอบูชาแล้วก็รู้สึกว่าท่านได้ช่วยเหลือเรื่องการงานของตนเองไว้เหมือนกัน ก็เลยตัดสินใจบูชามาเรื่อย ๆ พอเดินผ่านโบสถ์พราหมณ์แล้วก็ถือโอกาสไหว้ท่านไว้เสียเลย ซึ่งขอบอกเลยว่าตั้งใจไหว้มาก นี่คือหลักฐานที่เจ้าคุณพ่อเก็บเอาไว้ 555555
ไหว้พระทัวร์จุดที่ 4: วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรวิหาร
หลังจากไหว้โบสถ์พราหมณ์เสร็จ เราก็เดินข้ามถนนไปอีกไม่ไกลเพื่อไปไหว้พระใน ‘วัดสุทัศน์’ กันต่อ ซึ่งนี่ถือว่าเป็นครั้งแรกของดิฉันที่ได้เข้ามาไหว้พระในวัดนี้เลยเพราะก่อนหน้านี้เขาซ่อมบูรณะวัดอยู่
พอเข้าไปในวัดก็รู้สึกทึ่งอยู่เหมือนกันนะ โดยเฉพาะซีนที่เห็นพระพุทธรูปข้างในลอดผ่านประตูทางเข้าโบสถ์ตรงกลาง ภาพนั้นดูขลังอยู่ไม่ใช่น้อยเลย แถมพอมองออกไปจากโบสถ์แล้วเห็นยอดของเสาชิงช้าสีแดงอยู่ไกล ๆ ก็เป็นโมเมนต์ที่สวยอยู่เหมือนกัน
ไหว้พระทัวร์จุดที่ 5: วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร
และแล้วก็มาถึงวัดสุดท้ายของทริปนี้ (เนื่องจากเจ้าคุณพ่อเริ่มไม่ไหวละ 55555) ก็คือ ‘วัดราชประดิษฐ์’ นั่นเองค่ะ
ส่วนตัวแล้วดิฉันชอบและอยากมาวัดนี้ที่สุดจากทั้งหมดเพราะแต่ก่อนเคยมาแล้วจำโมเมนต์ได้ว่าบรรยากาศมันเงียบ ๆ สงบ แล้วผนังวัดเป็นหินอ่อนหมดเลยซึ่งสวยมาก ๆ ก็เลยอยากเข้ามาชมอีกสักครั้งหนึ่ง ซึ่งสำหรับการเยี่ยมชมครั้งนี้บรรยากาศก็ยังเหมือนเดิม คนไม่ค่อยพลุกพล่าน เป็นวัดเล็ก ๆ เย็น ๆเงียบ ๆ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วถือว่าเป็นวัดหลวงและเป็นวัดประจำของรัชกาลที่ 4 เลยนะ ดิฉันเลยถือว่าวัดนี้เป็นอีก unseen หนึ่งที่หลายคนอาจจะยังไม่เคยรู้จักละกัน
พวกเราได้เข้าไปไหว้พระในอุโบสถแล้วก็ได้เจอหลวงพ่อด้วย หลวงพ่อได้พรมน้ำมนต์กับพวกเรากับญาติโยมที่เหลือที่มาสักการะบูชาพระในโบสถ์ และด้วยความที่คนไม่ได้เยอะ พวกเราก็เลยได้รับน้ำมนต์จากหลวงพ่อกันไปเต็ม ๆ ไปเลยค่ะ 55555 เปียกปอนกันไปตามระเบียบ แต่ก็รู้สึกดีมาก ๆ เลย
หลังจากที่ไหว้พระที่วัดสุดท้ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเราก็แอบเดินวนกลับไปแถวลานหน้าวังอีกรอบหนึ่ง!? เนื่องจากเจ้าคุณพ่ออยากเดินไปดู ‘อุโมงค์หน้าพระลาน’ ที่เพิ่งสร้างเสร็จไม่นานมานี้
ซึ่งข้างในอุโมงค์ก็เป็นลานกว้าง ๆ มีรูปภาพเกาะรัตนโกสินทร์ใหญ่ ๆ หลายรูปแปะผนังไว้ให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูป มีม้านั่งอยู่กลางลานเต็มไปหมดให้คนได้นั่งพัก และที่สำคัญคือมีห้องน้ำอยู่ข้างล่างด้วย ซึ่งใหญ่มาก! และก็สะอาดมากด้วย
เอาล่ะ! ดิฉันขอจบการบันทึกทริป ‘ทัวร์ไหว้พระในเกาะรัตนโกสินทร์ 2023’ เอาไว้เพียงเท่านี้ โดยพวกเราได้เดินทางกลับจากลานอุโมงค์หน้าวังในช่วงบ่ายสามโมงกว่า ๆ และกลับมาถึงบ้านประมาณ 5 โมงเย็นโดยสวัสดิภาพ :)
โฆษณา