4 ม.ค. 2023 เวลา 08:24
ฎีกาที่ 6114/2562
ในเรื่องถอนฟ้องนั้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 175 ไม่ได้ห้ามโจทก์ถอนฟ้องหลังจากชี้สองสถาน โดยบังคับศาลเพียงว่า ห้ามไม่ให้อนุญาตโดยมิได้ฟังจำเลยหรือผู้ร้องสอดถ้าหากมีก่อน ดังนั้น แม้โจทก์ทั้งห้าขอถอนฟ้องหลังจากชี้สองสถานและจำเลยคัดค้านก็อยู่ในดุลพินิจของศาลที่จะสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้โจทก์ทั้งห้าถอนฟ้องก็ได้
ซึ่งดุลพินิจของศาลดังกล่าวย่อมมาจากการพิจารณาข้อเท็จจริงในสำนวนความประกอบเหตุผลในคำร้องขอถอนฟ้องของโจทก์ทั้งห้าและคำคัดค้านของจำเลยตลอดจนความสุจริตในการดำเนินคดีของทั้งสองฝ่ายนั่นเอง สำหรับคดีนี้ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องและคำให้การเกี่ยวกับที่ดินพิพาทได้ความว่า โจทก์ทั้งห้ากล่าวอ้างว่า
โจทก์ทั้งห้าเป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของนาง ป. ซึ่งเป็นมารดาของโจทก์ทั้งห้ากับนาง ร. ภริยาของจำเลย เดิมที่ดินพิพาทเป็นที่ดินแปลงใหญ่ของนาง ป. ต่อมาที่ดินถูกเวนคืนบางส่วนโดยกรมทางหลวง นาง ป. จึงรังวัดแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวและนำที่ดินส่วนที่ไม่ถูกเวนคืนไปออกเอกสารสิทธิใหม่เป็นโฉนดเลขที่ 17654 แต่นาง ป. ไม่ได้จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทซึ่งคงเหลือเฉพาะที่ดินส่วนที่ถูกเวนคืนให้กรมทางหลวงเพราะยังไม่ได้รับเงินค่าทดแทนการเวนคืน
โดยนาง ป. ไม่ได้จดทะเบียนโอนจนกระทั่งนาง ป. ถึงแก่ความตายโดยไม่ได้ทำพินัยกรรมเกี่ยวกับที่ดินที่ถูกเวนคืนและสิทธิเรียกร้องค่าทดแทนไว้ ต่อมาทายาททุกคนตกลงกันให้นาย จ. บิดาเป็นผู้จัดการมรดกของนาง ป. และยินยอมให้นาย จ. จดทะเบียนใส่ชื่อนาย จ. ในฐานะผู้จัดการมรดกไว้ หลังจากนั้นนาง ร. ซึ่งเป็นพี่สาวคนโตอาสาจะดำเนินการฟ้องร้องเรียกค่าทดแทนการเวนคืนจากกรมทางหลวง นาย จ. จึงจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้นาง ร. มีชื่อในโฉนดที่ดินแทนทายาททุกคนเพื่อความสะดวกในการดำเนินการฟ้องร้องกรมทางหลวง
ต่อมาเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2560 ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้กรมทางหลวงจ่ายเงินค่าทดแทนแก่เจ้าของที่ดินพิพาท แต่ปรากฏว่านาง ร. ถึงแก่ความตายไปก่อน โดยถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2560 จำเลยในฐานะทายาทของนาง ร. ได้ไปติดต่อขอรับเงินค่าทดแทนจากกรมทางหลวงและขอจดทะเบียนโอนใส่ชื่อจำเลยในโฉนดที่ดินเพื่อนำไปขอรับเงินค่าทดแทน แต่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องไม่ดำเนินการให้ และแจ้งให้โจทก์ทั้งห้าในฐานะทายาทของนาง ป. ทราบซึ่งโจทก์ทั้งห้าได้ยื่นคำคัดค้านไว้แล้ว
ขอให้พิพากษาบังคับให้จำเลยจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ทั้งห้าในโฉนดที่ดินพิพาทเลขที่ 4228 หากไม่ดำเนินการขอให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย จำเลยให้การว่า คดีขาดอายุความ คำฟ้องของโจทก์ทั้งห้าเป็นความเท็จ ความจริงนาย จ. ในฐานะผู้จัดการมรดกของนาง ป. ได้จัดการแบ่งมรดกของนาง ป. โดยจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้นาง ร. ภริยาของจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์แต่ผู้เดียว
เนื่องจากโจทก์ทั้งห้าไม่สนใจที่จะรับมรดกที่ดินแปลงนี้เพราะเข้าใจว่าไม่ได้เงินค่าทดแทนการเวนคืน จึงเลือกรับมรดกเป็นที่ดินแปลงอื่น คำขอบังคับของโจทก์ทั้งห้าที่ให้บังคับจำเลยจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ทั้งห้าในโฉนดที่ดินพิพาทไม่อาจบังคับได้ เพราะจำเลยจดทะเบียนโอนเปลี่ยนชื่อจากจำเลยเป็นกรมทางหลวงแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ซึ่งต่อมาศาลชั้นต้นก็กำหนดประเด็นข้อพิพาทไปตามคำฟ้องและคำให้การดังกล่าว แต่ก่อนการกำหนดประเด็นข้อพิพาทมีข้อเท็จจริงปรากฏจากคำร้องขอถอนคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวในระหว่างการพิจารณาของโจทก์ทั้งห้าและรายงานกระบวนพิจารณาในวันไต่สวนคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวในระหว่างการพิจารณา ลงวันที่ 18 ธันวาคม 2560 ว่าโจทก์ทั้งห้าเพิ่งทราบจากการตรวจเอกสารว่าจำเลยโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 4228 ให้แก่กรมทางหลวงไปแล้ว
โดยจำเลยและทนายจำเลยแถลงยอมรับต่อศาลว่าจำเลยโอนไปภายหลังวันฟ้องไม่กี่วัน ซึ่งก็ปรากฏจากสำเนาโฉนดที่ดินดังกล่าวที่โจทก์ทั้งห้าส่งมาเป็นเอกสารท้ายฟ้องหมายเลขที่ 5 ว่าขณะที่โจทก์ยื่นคำฟ้องเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2560 นั้นนาง ร. ยังมีชื่ออยู่ในโฉนดที่ดินพิพาท ข้อเท็จจริงที่ว่ามีการโอนให้กรมทางหลวงแล้วเพิ่งปรากฏจากคำให้การของจำเลยและสำเนาโฉนดที่ดินพิพาทที่จำเลยส่งเป็นเอกสารท้ายคำให้การว่ามีการจดทะเบียนโอนที่ดินไปเป็นของกรมทางหลวงแล้วเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2560
แสดงว่าพฤติการณ์ในการโอนที่ดินดังกล่าวเกิดจากการกระทำของจำเลยซึ่งอยู่นอกเหนือการรู้เห็นของโจทก์ทั้งห้า ทั้งเกิดขึ้นภายหลังจากที่โจทก์ยื่นคำฟ้องแล้ว การที่ฟ้องของโจทก์ทั้งห้าไม่ถูกต้องครบถ้วนและคำขอบังคับของโจทก์ทั้งห้าในส่วนนี้ไม่อาจบังคับได้จึงไม่ใช่เกิดจากความผิดของโจทก์ทั้งห้า การที่โจทก์ทั้งห้าขอถอนฟ้องโดยระบุเหตุผลมาชัดเจนว่า
ขอถอนฟ้องเนื่องจากฟ้องของโจทก์ทั้งห้าไม่ถูกต้องครบถ้วน จึงขอถอนฟ้องคดีนี้เพื่อดำเนินการยื่นฟ้องจำเลยใหม่อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 176 ก็ไม่ได้ห้ามโจทก์ที่ถอนฟ้องยื่นฟ้องใหม่ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยอายุความ และมาตรา 175 ก็ไม่ได้ห้ามโจทก์ถอนฟ้องหลังจากชี้สองสถาน ศาลจึงไม่อาจนำข้อกฎหมายเรื่องกำหนดเวลาในการขอแก้ไขคำฟ้องซึ่งต้องขอก่อนการชี้สองสถานตามมาตรา 180
และการที่ถอนคำฟ้องเพื่อไปแก้ไขข้อบกพร่องแล้วยื่นฟ้องจำเลยเข้ามาเป็นคดีใหม่มาเป็นเงื่อนไขในการสั่งคำร้องขอถอนฟ้องได้ ทั้งคดีนี้ทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้มีการนำพยานหลักฐานเข้าสืบให้อีกฝ่ายเห็นข้อเท็จจริงที่เป็นการสนับสนุนข้ออ้างตามคำฟ้องและข้อเถียงตามคำให้การของฝ่ายตนแต่อย่างไร จึงฟังไม่ได้ว่าการถอนฟ้องของโจทก์ทั้งห้าเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ทำให้จำเลยเสียเปรียบในการต่อสู้คดี
กรณีมีเหตุสมควรอนุญาตให้โจทก์ทั้งห้าถอนฟ้องเกี่ยวกับที่ดินพิพาทได้ แต่เนื่องจากคำฟ้องมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับที่ดินแปลงอื่นซึ่งก็เป็นทรัพย์มรดกของนาง ป. เช่นเดียวกัน จึงเห็นควรอนุญาตให้โจทก์ทั้งห้าถอนคำฟ้องไปทั้งหมดในคราวเดียวกัน เพื่อให้โจทก์ทั้งห้านำไปรวมฟ้องเป็นคดีเดียวกันต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย (พิพากษากลับเป็นว่า อนุญาตให้โจทก์ทั้งห้าถอนฟ้อง จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา