Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
จิตวิทยาแมวส้ม
•
ติดตาม
13 ม.ค. 2023 เวลา 01:30 • การศึกษา
ปัญหาการศึกษาไทย
🔸 ผลการจัดอันดับการศึกษาในปี 2020 โดยองค์กรเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) พบว่าประเทศไทยยังคงอยู่อันดับท้ายๆ และมีคะแนนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเหมือนเช่นทุกปีที่ผ่านมา รวมถึงข่าวฉาวในแวดวงการศึกษาที่พบเห็นได้ตามหน้าสื่อตลอดปี 2020 ทั้งครูทำร้ายร่างกายนักเรียน ครูลงโทษนักเรียนเกินกว่าเหตุ และการที่นักเรียนออกมาเรียกร้องสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่พวกเขาควรจะมี ภาพลักษณ์ของการศึกษาไทยยิ่งดูเลวร้ายลงไปอีก
ในบทความนี้เราจะมาคุยกันเกี่ยวกับปัญหาการศึกษาไทย ในประเด็นต่าง ๆ ผ่านมุมมองของแมวส้มกันครับ
++++อำนาจนิยมในสังคมไทย++++
🔸 อำนาจนิยม(Authoritarianism) คือ ลักษณะความสัมพันธ์ที่บุคคลหนึ่งมีอำนาจมากกว่าอีกบุคคลหนึ่ง ผู้ที่มีอำนาจมากกว่าสามารถควบคุม บีบบังคับ ให้ผู้ที่มีอำนาจน้อยกว่าทำตามที่ต้องการได้
🔸 การศึกษาไทยใช้ระบบบังคับบัญชา ครูเป็นผู้รับคำสั่งที่ถูกสั่งออกมาเป็นทอดๆ จากกระทรวงไปยังผู้บริหารไปถึงครู ตามลำดับ ระบบทำให้ครูกลายเป็นผู้รับคำสั่งแทนที่จะเป็นผู้สร้างสรรค์การเรียนการสอนที่เหมาะสมกับกลุ่มผู้เรียน ทำให้การเรียนการสอนในโรงเรียนไม่ตอบโจทย์ในการพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนให้เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวของผู้เรียน
🔸 เป้าหมายของการจัดการศึกษาไทยก็เหมือนจะไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้เต็มศักยภาพ แต่เต็มไปด้วยเป้าหมายเพื่อการปกครอง ปลูกฝังความรักชาติ เคารพผู้ที่มีคุณวุฒิและวัยวุฒิสูงกว่า ก้มหัวให้กับผู้ที่มีอำนาจมากกว่า โดยการสอนประวัติศาสตร์ที่ถูกเขียนขึ้นเอง เช่น แผนที่ประเทศไทยในสมัยสุโขทัย และอยุธยา ทั้งที่ประวัติศาสตร์โลกระบุไว้ว่าเส้นแบ่งเขตแดนประเทศไทยเพิ่งถูกตีขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชการที่ 5 เท่านั้น
หรือประวัติศาสตร์ไทยเรื่องต่าง ๆ ที่สอนในประเทศไทยที่ไม่ตรงกับประวัติศาสตร์ที่บันทึกในประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงคำคมคติสอนใจมากมายที่สอนให้เชื่อฟังผู้ที่มีอำนาจและผู้ที่อาวุโสกว่า เช่น “เดินตามหลังผู้ใหญ่หมาไม่กัด” และ “ผู้ใหญ่นั้นอาบน้ำร้อนมาก่อน”
🔸 ปัญหาเหล่านี้นำมาสู่การมองคนไม่เท่ากัน ผู้ใหญ่มีอำนาจมากกว่าเด็ก ผู้ที่มีอำนาจมีคุณค่ามากกว่าผู้ที่ไม่มีอำนาจ รวมถึงครูมีอำนาจมากกว่านักเรียน ครูมีอำนาจมีอิสระในการใช้กฎเพื่อควบคุมนักเรียน บังคับทรงผมทั้งที่ขัดกับกฎกระทรวง ทำให้นักเรียนไม่มีสิทธิในร่างกายของตนเอง บังคับให้เข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในหลักสูตร รวมไปถึงการมองคนไม่เท่ากันนำไปสู่ปัญหาการกลั่นแกล้งกันในโรงเรียนหรือการบูลลี่ (bully)
เราจะเห็นได้ว่าครูหลาย ๆ คนเรียกนักเรียนว่าไอ้แว่นบ้าง ไอ้อ้วนบ้าง จากการรายงานของกรมสุขภาพจิตพบว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการบูลลี่สูงเป็นอันดับ 2 ของโลกเลยทีเดียว
🔸 ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงทำให้ผู้ที่มีฐานะดีมีอำนาจมากกว่าผู้ที่มีฐานะต่ำกว่า มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพมากกว่า โรงเรียนนานาชาติที่มีคุณภาพสูง ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาผู้เรียนอย่างเต็มศักยภาพ มีค่าใช้จ่ายรายปีสูงแตะหลักล้านบาท ครอบครัวส่วนใหญ่ในประเทศไทยมีรายได้น้อย ต้องเรียนในโรงเรียนรัฐที่มีค่าใช้จ่ายน้อย และมีปัญหามากมายดังข้างต้น ผู้ที่มีอำนาจสูงก็มักเป็นผู้ที่มีฐานะดีทั้งนั้น
การที่เด็ก ๆ จากครอบครัวที่มีอำนาจเติบโตจากสิ่งแวดล้อมที่คนฐานะต่ำเข้าไม่ถึง ยิ่งทำให้เกิดเครือข่ายที่แน่นแฟ้นของกลุ่มผู้มีอำนาจฝังรากลึกไปยังอนาคต
++++ระบบอุปถัมภ์ในระบบการศึกษา ++++
🔸 ระบบอุปถัมภ์ (Patronage System) คือ ความสัมพันธ์ที่ผู้อุปถัมภ์มีสถานภาพทางสังคมและเศรษฐกิจระดับสูง ใช้อิทธิพลและทรัพยากรให้แก่ผู้ถูกอุปถัมภ์ที่มีสถานภาพต่ำกว่า ผู้ถูกอุปถัมภ์จะตอบแทนด้วยการสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือครูที่อุปถัมภ์ตน
🔸 แม้ว่าระบบอุปถัมภ์จะมีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่ข้อเสียที่เกิดขึ้นในการศึกษาไทยช่างเห็นชัดเหลือเกิน การขึ้นเงินเดือนในแต่ละปีของครูผู้น้อยจะถูกครูอาวุโสและผู้บริหารเป็นผู้ประเมินครูผู้น้อยว่ามีผลงานในระดับใด จะได้ขึ้นเงินเดือนร้อยละเท่าไหร่ของบประมาณที่โรงเรียนมี การวิจัยในชั้นเรียนที่ครูต้องทำเพื่อเลื่อนตำแหน่งก็ต้องถูกประเมินโดยผู้บริหารอีกเช่นกัน ทำให้ครูผู้น้อยต้องเกรงใจครูอาวุโส
นอกจากนี้ยังพบว่า ครูผู้น้อยในหลาย ๆ โรงเรียนที่มีเงินเดือนไม่ถึงสองหมื่นต้องทำงานมากกว่าครูอาวุโสที่มีเงินเดือนเกินครึ่งแสนเสียอีก
🔸 แต่ทั้งนี้ครูอาวุโสแต่ละคนก็มีความแตกต่างกันนะครับ บางคนมอบหมายงานให้ครูผู้น้อยทำแทนโดยมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ในระบบงาน และพร้อมที่จะดูแลช่วยเหลือเมื่อมีปัญหา แต่ครูอาวุโสบางคนก็เพียงโยนภาระการทำงานให้ผู้อื่นทำ ทั้ง ๆ ที่ตนเองก็มีความพร้อมที่จะทำงานนั้นได้
++++การสอนถูกลดทอนคุณค่าจากภาระงานอื่น++++
🔸 เด็ก ๆ ที่ฝันอยากเป็นครู ต่างจินตนาการถึงการสอนหน้าชั้นเรียน และการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อพัฒนานักเรียน แต่โลกแห่งความจริงของครูไทยไม่ได้เป็นเช่นนั้น ครูต้องทำหน้าที่ในงานฝ่ายต่าง ๆ ที่ไม่เคยได้เรียนตอนเป็นนักศึกษาครู ทั้งหน้าที่ธุรการ ดูแลการเบิกจ่ายพัสดุ ดูแลอาคารสถานที่ นอนเฝ้าเวรยามที่โรงเรียน และอื่น ๆ อีกมากมาย
🔸 งานที่ดูจะหนักหนาที่สุดก็คืองานเอกสารต่าง ๆ ที่ครูต้องทำจำนวนมาก ทั้งเอกสารประกันคุณภาพ และเอกสารประเมินต่าง ๆ ทำให้ครูแทบไม่มีเวลาเตรียมตัวสอน ต้องใช้แผนการสอนเก่า เอกสารการสอนเดิม ๆ ข้อสอบที่เคยใช้ปีก่อน ๆ ที่ไม่ได้ปรับปรุง รวมถึงบางครั้งถึงขั้นถูกตามตัวไปรับการประเมินขณะกำลังสอนเลยทีเดียว
🔸 ผู้บริหารเองก็ต้องการให้การประเมินออกมาดูดี จึงมักออกนโยบายให้ครูเต็มที่กับงานเหล่านี้ เพราะการประเมินเป็นตัวชี้ถึงคุณภาพของโรงเรียน ทั้งที่เอกสารเหล่านี้ไม่ได้สะท้อนถึงคุณภาพของการจัดการเรียนการสอนจริง ๆ จนอดสงสัยไม่ได้ว่า ระบบการศึกษาที่ดึงครูออกนอกห้องเรียนเช่นนี้ เป็นการศึกษาเพื่อนักเรียนหรือเพื่อตอบสนองความต้องการของเบื้องบนกันแน่
🔸 ระบบการศึกษานี้ยังบังคับให้นักเรียนต้องได้คะแนนดี เพื่อเพิ่มโอกาสในการสอบแข่งขันต่าง ๆ รวมไปถึงเป็นหนึ่งในเกณฑ์การประเมินคุณภาพของโรงเรียน จำเป็นให้ครูต้องติวสอบให้นักเรียนด้วยความรู้สำเร็จรูปที่พร้อมเอาไปใช้สอบ จนเป็นการเรียนแบบท่องจำเพื่อไปสอบ ทำให้นักเรียนไม่เกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย (Meaningful Learning) ไม่สามารถนำเนื้อหาบทเรียนไปใช้ประโยชน์ในชีวิตได้
++++ปัญหาการเข้าถึงการศึกษา++++
🔸 โรงเรียนตามชนบทหลาย ๆ โรงเรียนเป็นโรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียนไม่ถึง 120 คน และมีครูจำนวนน้อย ทำให้ครูแต่ละคนต้องสอนหลายวิชา รวมถึงต้องรับผิดชอบหน้าที่อีกหลายอย่างที่นอกเหนือจากการสอน ทำให้ครูมีเวลาให้การสอนน้อยลง การสอนจนถูกลดทอนคุณภาพลง นอกจากนี้โรงเรียนขนาดเล็กยังได้งบประมาณน้อยทำให้ขาดการพัฒนาคุณภาพในด้านต่าง ๆ
🔸 ในปีพ.ศ 2560 โรงเรียนขนาดเล็กถูกยุบไปมากกว่า 100 โรงเรียน นักเรียนจากโรงเรียนดังกล่าวถูกย้ายไปโรงเรียนที่ใกล้เคียง แต่คำว่าใกล้เคียงในที่นี้มันไม่ได้ใกล้จริง ๆ เด็กหลายคนเขาถึงโรงเรียนได้ยากลำบากมากยิ่งขึ้น บางครอบครัวก็ไม่มีรถไปรับส่งนักเรียน นักเรียนหลายคนต้องเดินเท้าไปโรงเรียนใหม่ที่อยู่ไกลกว่าโรงเรียนเดิม และความเหนื่อยล้าจากการเดินทางก็ส่งผลกระทบต่อการเรียนของนักเรียนอีก
🔸 ระบบขนส่งสาธารณะของประเทศไทยเองก็ยังไม่ดีพอ ต่างจังหวัดและกรุงเทพฯ มีระบบขนส่งสาธารณะที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ต่างจังหวัดไม่มีรถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน หรือรถประจำทางจนค่ำมืด รถประจำทางบางสายหมดตั้งแต่ 16:00 น. ทำให้เด็กหลาย ๆ คนเดินทางกลับบ้านไม่ทันหากเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ของโรงเรียน รวมถึงรถประจำทางที่ไม่มีคุณภาพเหล่านี้ก็ยังมีไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่
++++ค่านิยมของอาชีวศึกษา++++
🔸 อาชีวะถือเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ แต่ภาพลักษณ์ของอาชีวะในประเทศไทยกลับดูไม่ดีนัก จากข่าวการทะเลาะวิวาทระหว่างสถาบัน จนหลาย ๆ ครั้งถึงขั้นมีผู้เสียชีวิต พ่อแม่ผู้ปกครองหลาย ๆ คนจึงไม่ค่อยสนับสนุนให้บุตรหลานไปเรียนอาชีวะ
🔸 ปัจจุบันประเทศไทยมีปัญหาการขาดแคลนแรงงานอาชีวะ แต่เมื่อดูสถิติแล้วพบว่าจำนวนผู้สำเร็จการศึกษาอาชีวศึกษามีมากกว่าตำแหน่งงานที่ว่าง ซึ่งหมายความว่าปัญหาความขาดแคลนนี้เกิดจากปัญหาด้านคุณภาพของระบบอาชีวศึกษา ไม่ใช่ปัญหาจำนวนผู้เรียน โดยเฉพาะทักษะทางคณิตศาสตร์ที่นักเรียนอาชีวศึกษามีผลการเรียนต่ำมาก ส่วนหนึ่งนั้นก็เกิดจากปัญหาภาพลักษณ์ที่ไม่ดี เด็กที่เรียนเก่งไม่นิยมเข้าเรียนอาชีวะมากนัก รวมไปถึงปัญหาการขาดแคลนครูอาชีวะ จนในปีพ.ศ 2563 มีการเสนอให้ยกเว้นใบประกอบวิชาชีพสำหรับครูอาชีวะเลยทีเดียว
++++ปัญหาความเข้าใจในเด็กพิเศษ++++
🔸 ครูไทยมีความรู้เกี่ยวกับเด็กพิเศษน้อยมาก ซึ่งสวนทางกับจำนวนเด็กพิเศษที่เรียนปะปนกับนักเรียนปกติเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ (Learning Disabilities หรือ LD) และเด็กสมาธิสั้น (Attention Deficit Hyperactivity Disorder หรือ ADHD) ที่พบมากเป็นพิเศษ ทำให้ครูไม่สามารถจัดการเรียนการสอนแบบเรียนรวมในห้องเรียนที่มีเด็กพิเศษ ทำให้นักเรียนไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพได้ทุกคน
🔸 โดยเฉพาะเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้นั้นมีลักษณะคล้ายกับเด็กปกติอย่างมาก เมื่อเด็กมีปัญหาในการเรียนครูหลายๆ คนก็จะตีความว่าเด็กคนนี้ไม่ฉลาด หรือพยายามไม่มากพอ ซึ่งมันไม่ใช่ต้นตอของปัญหาเลย จนนำมาสู่ความช่วยเหลือแบบผิดๆ จนกลายเป็นส่งผลเสียต่อตัวเด็ก รวมถึงเด็กพิเศษมักจะเป็นเหยื่อของการบูลลี่จนทำให้สุขภาพจิตย่ำแย่
++++ปัญหาการไม่ให้ความสำคัญกับการแนะแนว++++
🔸 แทบทุกโรงเรียนในประเทศไทยมีจำนวนครูแนะแนวไม่เพียงพอต่อจำนวนนักเรียน ทำให้ครูแนะแนวต้องทำงานหนักมาก นอกจากนี้บางโรงเรียนไม่มีครูแนะแนวเลยสักคนด้วยซ้ำ ให้ครูประจำชั้นเข้าสอนในชั่วโมงแนะแนวแทน กลายเป็นทับซ้อนไปกลับชั่วโมงโฮมรูมซะอีก ทำให้ไม่มีการจัดบริการแนะแนวต่างๆ อย่างเป็นระบบ เช่นการสำรวจผู้เรียน การให้การปรึกษา และการติดตามผล
🔸 หลายๆ โรงเรียนถึงแม้ว่าจะมีครูแนะแนว แต่ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับวิชาแนะแนว จากที่แมวส้มได้สอบถามนักศึกษาที่แมวส้มสอน พบว่ามีไม่ถึงร้อยละ 30 ที่บอกว่ามีครูแนะแนวเข้าสอนในชั่วโมงแนะแนวจริง ๆ ส่วนใหญ่แล้วชั่วโมงแนะแนวจะกลายเป็นชั่วโมงว่าง ชั่วโมงสอนทำการบ้าน หรือให้ครูวิชาอื่นที่สอนไม่ทันเข้าสอนแทนเสียมากกว่า
🔸 ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญหาที่เกิดขึ้นในการศึกษาไทยเพียงเท่านั้น การแก้ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะปัญหาเหล่านี้เป็นเพียงปัญหาปลายเหตุจากปัญหาที่ใหญ่กว่าคือปัญหาสังคม ทั้งสังคมอำนาจนิยมนำมาสู่อำนาจนิยมในโรงเรียน สังคมระบบอุปถัมภ์ที่ส่งผลต่อวัฒนธรรมในโรงเรียน ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ลำพังเพียงคนในแวดวงการศึกษาคงไม่สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้แน่
++++บทความนี้ขอขอบพระคุณครูอ๊อฟเพื่อนซี้ของแมวส้ม และครูพี่ปุ้มสุดสวย ที่ช่วยแบ่งปันและให้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์ครับผม++++
จิตวิทยา
ข่าวรอบโลก
การศึกษา
4 บันทึก
1
1
3
4
1
1
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย